เผยแพร่ใน น.ส.พ. กสิกร ปีที่ 76 ฉบับที่2 มี.ค-เม.ย 2546 นาหว่านน้ำตม ( แบบเดิม ) ทำนาแบบภูมิปัญญาชาวบ้านป้องกันวัชพืช พิสิฐ พรหมนารท กลุ่มปรับปรุงการผลิต ศูนย์วิจัยข้าวปราจีนบุรี อ. บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี 25150
|
ความหลากหลายของวิธีการปลูกข้าว
ชาวนามีวิธีการปลูกข้าวหลากหลายถือปฏิบัติตามความเหมาะสมของสภาพพื้นที่และปัจจัยการผลิตหลักคือน้ำ 1) ในพื้นที่สูงมีความลาดเทมากชาวไร่จะใช้วิธีหยอดโดยไถดะกำจัดวัชพืช 1 ครั้ง ไถพรวน 1 ครั้ง หลังจากนั้นใช้แรงงานคนแรกใช้วัสดุปลายแหลมพอเหมาะกระทุ้งทำหลุมแล้วจึงหยอดข้าวแห้งและกลบหลุม 2) ในพื้นที่ดอนน้ำไม่พอเพียงในช่วงต้นฤดูก็จะเตรียมแปลงเหมือนข้าวไร่แต่ปลูกโดยวิธีหว่านข้าวแห้ง 3) ที่ลุ่มอาศัยน้ำฝนพื้นที่มีระดับแตกต่างกันมากชาวนาจึงทำคันดินกั้นแบ่งเป็นกระทงนาเล็กๆให้มีระดับใกล้เคียงกันในแปลงเดียวกัน คันดินนั้นช่วยกักเก็บน้ำฝนไว้ในระยะเวลานานพอที่จะรอฝนครั้งต่อไป ชาวนาจึงเลือกปลูกด้วยวิธีตกกล้าให้ได้ต้นกล้าที่โตพอสมควรแล้วจึงปลูกด้วยวิธีปักดำและหลังจากปลูกข้าวสามารถกักน้ำได้มาก 4) ที่ลุ่มมีระบบชลประทานชาวนาสามารถจัดหาน้ำได้ตามต้องการจึงเลือกวิธีการทำนาโดยทำเทือกเหมือนนาดำ แต่ทำด้วยความปราณีตกว่าทั้งนี้เนื่องจากพื้นที่นาผ่านการจัดรูปที่ดินหรือปรับระดับอย่างดีมาแล้ว ชาวนาจึงเลือกวิธีการปลูกแบบนาหว่านน้ำตมแผนใหม่ที่มีการใช้เมล็ดข้าวงอกหว่านบนเทือก หลังหว่าน 2-3 สัปดาห์ข้าวตั้งตัวแล้วจึงเริ่มกักน้ำในระดับ 5-10 ซ.ม. 5) ในพื้นที่ลุ่มน้ำลึกมีน้ำขังลึก 1-2 เมตรในช่วงน้ำหลากชาวนาจะเตรียมดินในช่วงที่ดินยังแห้งอยู่โดยไถดะด้วยรถแทรคเตอร์ชุดไถผาล 7 อาจคราดอีก 1 ครั้งแล้วจึงหว่านข้าวแห้งรอฝนโดยกะให้ข้าวมีเวลาเจริญเติบโต 2-3 เดือนก่อนที่น้ำจะเพิ่มระดับสูง ระยะเวลาดังกล่าวจะมากพอให้ข้าวมีความสามารถยืดตัวหนีระดับน้ำลึกได้
วิธีการปลูกข้าวที่กล่าวมาทั้งหมดนี้มีความแตกต่างของปัจจัยต่างๆ ดังได้กล่าวมาแล้ว หลังปลูกข้าวจะมีวัชพืชรบกวนมากน้อยจนต้องมีการกำจัดหลังปลูกข้าวแตกต่างกันไปตามความปราณีตและความพร้อมของปัจจัยการผลิตที่สำคัญคือน้ำ การปลูกที่ไม่มีน้ำขังตั้งแต่ข้าวเริ่มงอกจะมีวัชพืชที่ชอบสภาพดินค่อนข้างแห้งขึ้นรบกวน หากแปลงข้าวไม่มีน้ำขังเป็นเวลานานข้าวก็จะต่อสู้กับวัชพืชเป็นเวลานาน แต่หากมีน้ำขังเร็ววัชพืชหลายชนิดจะแพ้น้ำและเจริญเติบโตในสภาพน้ำขังได้ไม่ดีเท่าข้าว การปลูกข้าวด้วยวิธีปักดำหากมีน้ำขังตลอดไปหลังปักดำหรือหลังข้าวตั้งตัวภายใน 1 สัปดาห์ก็คงมีปัญหาวัชพืชน้อย แต่ในความเป็นจริงชาวนามักปล่อยน้ำหลังปักดำเพื่อให้ข้าวตั้งตัวและป้องกันปัญหาปูกัดกินต้นกล้า หากทิ้งช่วงนานกว่า 1 สัปดาห์แล้วจึงมีน้ำขังก็คงมีปัญหาวัชพืชไม่แพ้วิธีการปลูกแบบอื่น การปลูกแบบหว่านน้ำตมแผนใหม่นั้นคล้ายกับว่าเป็นการพบกันครึ่งทางระหว่างวิธีหว่านข้าวแห้งกับวิธีปักดำเพราะมีการเตรียมดินอย่างปราณีตแล้วปลูกด้วยเมล็ดข้าวงอก หากมีการขังน้ำช้าก็จะมีปัญหาวัชพืชมากเช่นกัน
นาหว่านน้ำตม ( แบบเดิม )
ยังมีการปลูกข้าวที่น่าสนใจอีกวิธีหนึ่งที่แม้ไม่แพร่หลายนักแต่มีชาวนาปฏิบัติมานานและยังคงทำอยู่ในปัจจุบันคือนาหว่านน้ำตม ( แบบเดิม ) คาดว่าคงจะเป็นต้นแบบของนาหว่านน้ำตมแผนใหม่ ท่านผู้อ่านสามารถพบวิธีการปลูกข้าวแบบนี้ในชาวนาบางรายแถบอำเภอเมือง, ศรีมหาโพธิ์, ศรีมโหสภ และบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา และในพื้นที่อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรีก็ใช้วิธีการปลูกข้าวแบบนี้ด้วยเช่นกัน
ชาวนาจะเริ่มฤดูทำนาในช่วงที่เริ่มเข้าหน้าฝนและมีน้ำเพียงพอ โดยทำเทือกแบบนาดำแล้วขังน้ำในระดับลึก 10-30 ซ.ม. หลังทำเทือกและปล่อยให้น้ำตกตะกอนใสพอสมควรแล้วจึงหว่านเมล็ดข้าวที่งอกน้อยกว่าหรือใกล้เคียงกับข้าวงอกในการทำนาหว่านน้ำตมแผนใหม่ เมล็ดข้าวจะงอกและเติบโตเป็นกล้าข้าวโผล่พ้นน้ำในระยะเวลา 5-7 วันแล้วแต่ความลึกของน้ำ ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือข้าวสามารถงอกและเจริญเติบโตจนโผล่พ้นน้ำในสภาพน้ำลึกระดับนี้ได้อย่างไร ในสภาพอย่างนี้วัชพืชที่สำคัญเกือบทุกชนิดไม่สามารถเจริญเติบโตแข่งขันกับข้าวได้เลย
จากการสังเกตุวิธีปฏิบัติและการสัมภาษณ์ชาวนาหลายราย ตลอดจนการทดลองเบื้องต้นของผู้เขียนเองพบว่าชาวนาจะสามารถใช้วิธีการปลูกแบบนี้ในฤดูนาปีเท่านั้นเพราะใช้พันธุ์ข้าวนาสวนต้นสูงเช่น ขาวดอกมะลิ105, เหลืองประทิว123 และขาวหลวง ( พันธุ์พื้นเมือง ) พันธุ์ข้าวเหล่านี้มีลักษณะต้นสูงและน่าจะมีความสามารถเติบโตใต้น้ำได้ดี จากการทดลองเบื้องต้นพบว่าข้าวพันธุ์ชัยนาท 1 ไม่สามารถเติบโตใต้ระดับน้ำลึก 10 ซ.ม. ในขณะที่ข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ105 และพลายงามปราจีนบุรีเติบโตได้ดีในสภาพนี้ น่าจะเนื่องจากชัยนาท 1 เป็นข้าวนาสวนต้นเตี้ย หลังเตรียมดินชาวนาจะทิ้งให้น้ำตกตะกอนนานพอสมควรจึงหว่านข้าวงอกที่เตรียมไว้ ในบางพื้นที่ดินมีลักษณะเป็นดินเปรี้ยวน้ำจะตกตะกอนใสเร็วใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถมองเห็นพื้นดินได้ แต่ในพื้นที่ไม่เป็นดินเปรี้ยวน้ำตกตะกอนช้าและน้ำไม่ใสมากหลังเตรียมดินแล้วชาวนาจะทิ้งไว้ข้ามคืนจึงหว่านข้าวงอกในวันรุ่งขึ้น ระดับน้ำที่ใช้อยู่ในระหว่าง 10-30 ซ.ม. หากเตรียมแปลงสม่ำเสมอดีก็จะใช้ระดับน้ำเพียง 10 ซ.ม. หากเตรียมแปลงไม่สม่ำเสมออาจต้องใช้ระดับน้ำลึกถึง 30 ซ.ม. น้ำจึงจะขังครอบคลุมแปลงได้ทั้งหมด ซึ่งระดับน้ำยิ่งลึกข้าวก็จะยิ่งใช้เวลานานกว่าจะงอกโผล่พ้นน้ำ การงอกเติบโตจากใต้น้ำจนโผล่พ้นน้ำชาวนาเรียกว่า ”ลอยใบบัว” การเตรียมข้าวงอกก็เป็นเทคนิคของชาวนาแต่ละราย ข้าวงอกที่ใช้อาจเป็นข้าวที่งอกเพียงเล็กน้อยผ่านการแช่น้ำเพียง 1 คืนและหุ้มอีก 1 คืน ข้าวงอกเพียงตุ่มตาขาวๆเล็กนิดเดียวและถูกเรียกว่า ”ข้าวเบียม” หรือบางรายอาจใช้ข้าวที่งอกใกล้เคียงกับที่ใช้ในนาหว่านน้ำตมแผนใหม่ทั่วไป
* ข้อดีและข้อเสีย
การปลูกข้าวด้วยวิธีนี้มีข้อดีและเสียตลอดจนข้อจำกัดหลายประการ
1. พันธุ์ข้าวที่ใช้ต้องเป็นพันธุ์ข้าวที่มีความสามารถเติบโตใต้สภาพน้ำลึก 10-30 ซ.ม. ซึ่งพันธุ์ข้าวนาสวนต้นสูงทุกพันธุ์น่าจะมีลักษณะนี้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามในระดับน้ำที่ไม่ลึกนักข้าวพันธุ์ชัยนาท 1 สามารถเติบโตใต้น้ำลึก 5 ซ.ม. จากการทดลองในถังซีเมนต์เส้นผ่าศูนย์กลาง 80 ซ.ม. ดินร่วนทรายชุดมาบบอนหลังตีเลนทำเทือกเติมน้ำใสให้ได้ระดับ 5 ซ.ม. แล้วรักษาระดับน้ำนี้ไว้ 3 สัปดาห์ ข้าวเติบโตได้ไม่แตกต่างจากระดับน้ำ 0 ซ.ม.
2. การเตรียมดินและการรอเวลาให้น้ำใสเป็นเทคนิคที่ต้องเรียนรู้เพื่อปฏิบัติให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ หากหลังทำเทือกแล้วดินเละอ่อนนุ่มมากข้าวงอกที่ใช้ต้องงอกมากพอที่เมล็ดจะไม่จมลงไปในดินเลน เทือกที่แข็งตัวกว่าต้องใช้ข้าวที่งอกน้อยกว่าเพื่อเมล็ดที่งอกจะไม่หลุดลอยขึ้นมาบนผิวน้ำได้ การขังน้ำที่ไม่ลึกนักก็ไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำใสจนมองเห็นพื้นดินชัดเจนเพียงมองเห็นเมล็ดข้าวงอกที่หว่านลงไปก็เพียงพอ
3. การเจริญเติบโตจากเมล็ดข้าวงอกใต้ระดับน้ำลึกเป็นต้นกล้าในระยะเวลา 5-7 วัน ข้าวจะมีลักษณะผอมและอ่อน กล้าข้าวบางต้นที่รากเกาะยึดดินไม่ดีอาจถูกกระแสลมที่แรงเกินไปซัดทำให้กล้าเหล่านี้หลุดลอยขึ้นเสียหายได้ ในประเด็นนี้ชาวนาต้องมีความชำนาญในการเตรียมแปลงให้สม่ำเสมอเพื่อให้มีระดับน้ำน้อยที่สุด เมล็ดข้าวงอกที่ใช้ต้องงอกได้พอเหมาะกับสภาพเทือกและน้ำในแปลงนั้นเพื่อกล้าข้าวที่เติบโตมาจะไม่มีปัญหาการหลุดลอยได้ กล้าข้าวที่ผอมและฉ่ำน้ำคงจะอ่อนแอต่อการทำลายของศัตรูข้าวหลายชนิด อย่างไรก็ตามจากการปฏิบัติของชาวนาไม่มีปัญหาในเรื่องนี้
4. การปลูกข้าวด้วยวิธีนี้แทบจะไม่มีวัชพืชรบกวนข้าวเลย แต่สัตว์น้ำหลายชนิดอาจเป็นปัญหาได้เช่นหอยชนิดต่างๆ และปลากินพืช อย่างไรก็ตามปัญหานี้ไม่เกิดในการปฏิบัติจริงของชาวนา