ชายฝั่งทะเลของประเทศไทย
ความหมายของชายฝั่งทะเล
ชายฝั่งทะเล ( COAST ) คือแถบแผ่นดินนับจากแนวชายทะเลขึ้นไปบนบก จนถึงบริเวณที่มีลักษณะภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัด จึงมีความกว้างกำหนดไม่ได้แน่นอนชายฝั่งทะเลของประเทศไทยมีความยาวทั้งสิ้น 2,614 กิโลเมตร แบ่งออกเป็นชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทย 1,660 กิโลเมตร ชายฝั่งด้านทะเลอันดามัน 954 กิโลเมตร และครอบคลุมพื้นที่ 24 จังหวัด เมื่อพิจารณาสภาพภูมิศาสตร์หรือลักษณะการกำเนิดของชายฝั่งทะเล
สามารถแบ่งได้เป็น 5 ประเภท คือ
1. ชายฝั่งทะเลยุบจม (Submerged Shoreline )
2. ชายฝั่งทะเลยกตัว ( Emerged Shoreline )
3. ชายฝั่งทะเลคงระดับ ( Neutral Shoreline )
4. ชายฝั่งทะเลรอยเลื่อน ( Fault Shoreline )
5. ชายฝั่งทะเลแบบผสม ( Compounded Shoreline )
1. ชายฝั่งทะเลยุบจม ( Submerged Shoreline )
เกิดจากการที่เปลือกโลกบริเวณริมฝั่งทะเลยุบจมลง หรือการที่น้ำทะเลยกระดับขึ้นทำให้บริเวณที่เคยโผล่พ้นระดับน้ำทะเลกลับจมอยู่ใต้ผิวน้ำ ปรากฏเป็นหน้าผาชันไม่ค่อยมีที่ราบชายฝั่ง แนวชายฝั่งเว้าแหว่งมาก หากภูมิประเทศเดิมเป็นภูเขาและเมื่อเกิดการยุบจมขึ้นแล้ว มักก่อให้เกิดเกาะต่างๆ บริเวณชายฝั่ง เช่น ชายฝั่งทะเลบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันตกหรือฝั่งทะเลอันดา มันแถบจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรังและสตูล
2. ชายฝั่งทะเลยกตัว ( Emerged Shoreline )
เกิดจากการที่เปลือกโลกยกตัวขึ้นหรือการที่น้ำทะเลลดระดับลง ทำให้บริเวณที่เคยจมอยู่ใต้ระดับน้ำทะเลกลับโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา หากแผ่นดินเดิมที่เคยจมอยู่ใต้ระดับน้ำทะเลเป็นบริเวณที่มีตะกอน กรวด ทราย ตกทับถมกันมาเป็นเวลานานแล้ว จะทำให้เกิดที่ราบชายฝั่งที่มีบริเวณกว้าง แนวชายฝั่งเรียบตรงไม่เว้าแหว่งมาก เช่น ชายฝั่งทะเลภาคใต้ฝั่งตะวันออกหรือฝั่งอ่าวไทยตั้งแต่จังหวัดชุมพร ถึงจังหวัดนราธิวาส ชายฝั่งทะเลยกตัวบางแห่งมีฝั่งชันเป็นภูเขา เนื่องจากภูมิประเทศเดิมที่อยู่ใต้ทะเลมีความลาดชันมาก เช่น ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก บริเวณอ่าวพัทยา อำเภอสัตหีบ และอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เป็นต้น
3. ชายฝั่งทะเลคงระดับ ( Neutral Shoreline )
หมายถึงชายฝั่งทะเลที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ระหว่างระดับน้ำทะเลและบริเวณชายฝั่งของทวีป แต่ยังคงมีการทับถมของตะกอนต่างๆ เกิดขึ้น ลักษณะชายฝั่งทะเลประเภทนี้ได้แก่ ชายฝั่งดิน ตะกอนรูปพัด ชายฝั่งดินดอนสามเหลี่ยม ชายฝั่งภูเขาไฟ ชายฝั่งแนวหินปะการัง ชายฝั่งหินปะการังแนวขวาง ชายฝั่งปะการังรูปวงแหวน
4. ชายฝั่งทะเลรอยเลี่อน ( Fault Shoreline )
เกิดจากการเลื่อนตัวของเปลือกโลกตามบริเวณชายฝั่ง ถ้ารอยเลื่อนมีแนวเลื่อนลงไปทางทะเลจะทำให้ระดับของทะเลลึกลงไปหรือถ้ารอยเลื่อนมีแนวเลื่อนลึกลงไปทางพื้นดินจะทำให้น้ำทะเลไหลเข้ามาในบริเวณพื้นดิน
5. ชายฝั่งทะเลแบบผสม ( Compounded Shoreline )
เป็นชายฝั่งทะเลที่เกิดจากหลายๆ ลักษณะที่กล่าวมาแล้วปะปนกัน ชายฝั่งทะเลประเภทต่างๆ ดังกล่าวจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทั้งในรูปแบบของการกัดเซาะและการทับถม โดยมีตัวการที่สำคัญคือ คลื่น ลม และกระแสน้ำทำให้เกิดเป็นลักษณะภูมิประเทศชายฝั่งที่แตกต่างกันออกไป เช่น ลักษณะเป็นชายหาด (Beach Shore ) ซึ่งอาจปรากฏเป็นหาดหิน หาดโคลน หาดทราย นอกจากนี้อาจมีลักษณะเป็นสันทรายหรือสันหาด (Berm) สันดอน (Bar) ทะเลสาบน้ำเค็ม (Lagoon) หน้าผาสูงชันริมทะเล (Sea Cliff) เว้าทะเล (Sea Notch) ถ้ำทะเล (Marine Cave) สะพานหินธรรมชาติ (Natural Bridge) ชะวากทะเล (Estuary) และเกาะต่างๆ เป็นต้น
ลักษณะภูมิประเทศชายฝั่งทะเล
ชายฝั่งทะเลประเภทต่าง ๆ ดังกล่าว จะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทั้งในรูปแบบของการกัดเซาะ และการทับถม โดยมีตัวการที่สำคัญ คือ คลื่น ลม และกระแสน้ำ ทำให้เกิดเป็นลักษณะภูมิประเทศชายฝั่งที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้คือภูมิประเทศที่เกิดจากการตกตะกอนทับถม
มักจะเกิดขึ้นในบริเวณชายฝั่งทะเลที่มีน้ำตื้น ลักษณะชายฝั่งราบเรียบและลาดเทลงไปสู่ก้นทะเล ทำให้ความเร็วของคลื่นและกระแสน้ำลดลงเมื่อเคลื่อนตัวเข้าสู่ฝั่ง การกระทำจึงเป็นในรูปแบบของการตกตะกอนทับถมเกิดเป็นภูมิประเทศลักษณะต่าง ๆ เช่น สันทราย (Bar) และทะเลสาบที่มีน้ำไหลเข้าออกได้ (Lagoon) เป็นต้น
ภูมิประเทศที่เกิดจากการกัดเซาะ
มักจะเกิดขึ้นในบริเวณชายฝั่งทะเลน้ำลึก ลักษณะชายฝั่งลาดชันลงสู่ท้องทะเล ทำให้การกัดเซาะของคลื่นและกระแสน้ำเป็นไปอย่างรุนแรง เกิดเป็นภูมิประเทศลักษณะต่าง ๆ เช่น หน้าผาชันริมทะเล (Sea Cliff) เว้าทะเล (Sea Notch) ถ้ำทะเล (Sea Cave) เกาะทะลุ (Sea Arch) สะพานหินธรรมชาติ(Natural Bridge) และชะวากทะเล (Estuary) เป็นต้นลักษณะชายฝั่งทะเลที่เกิดจากการกัดเซาะ และทับถมของคลื่น ลม และกระแสน้ำ
หาด (Beach Shore)
คือ พื้นที่ระหว่างขอบฝั่งกับแนวน้ำลงเต็มที่มีลักษณะเป็นแถบยาวไปตามริมฝั่ง เกิดขึ้นเนื่องจากการกระทำของคลื่น และกระแสน้ำในทะเลหรือทะเลสาบ หรือแม่น้ำ หาดโดยทั่วไปจะประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
หาดส่วนหน้า (Fore Shore) หมายถึง บริเวณหาดที่นับจากแนวน้ำลงต่ำสุดไปจนถึงยอดของสันทราย (Berm) ซึ่งเป็นแนวแบ่งเขตหาดส่วนหน้าและหาดส่วนหลัง หาดส่วนนี้จะเป็นบริเวณที่อยู่ใต้น้ำเกือบตลอดเวลา คือ เมื่อน้ำขึ้นน้ำจะท่วม
หาดส่วนหลัง (Back Shore) หมายถึง บริเวณหาดที่นับจากยอดสันทรายไปจรดขอบฝั่ง พื้นที่ส่วนนี้ปกติจะแห้งยกเว้นในขณะที่มีมรสุม คลื่นจะสามารถซัดขึ้นไปถึงได้
ลักษณะของหาดที่พบมีอยู่ 3 ประเภท คือ หาดหน้ากว้างหาดหน้าแคบ และหาดสองชั้นโดยมีรายละเอียดแสดงในตารางที่ 1-1
เนื่องจากหาดแต่ละแห่งจะมีวัตถุที่มาตกทับถมแตกต่างไป จึงเรียกชื่อหาดตามประเภทของวัตถุที่พบบนหาดนั้น ๆ คือ หาดหิน หรือหาดโคลน เป็นหาดที่ประกอบด้วยหินหรือกรวดขนาดใหญ่เกิดจากการทับถมของเศษหินซึ่งถูกคลื่นซัดขัดสีกันและกันจนแบนเรียบและมน หาดทราย มักพบอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีหินเปลือกโลกเป็นหินทรายหรือ หินแกรนิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหินแกรนิต เมื่อสลายตัวจะให้ทรายเม็ดกลมมนมีสีขาวทำให้เกิดหาดทรายที่สวยงาม และหาดโคลน มักพบอยู่ตามบริเวณใกล้ปากแม่น้ำสายใหญ่ ๆ ที่มีโคลนตะกอนจากแม่น้ำพัดพามาเป็นจำนวนมาก มีลักษณะเป็นลานปริ่มน้ำ เวลาน้ำขึ้นน้ำจะท่วมมิดลานนั้น และเวลาน้ำลงลานจะโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา โดยรายละเอียดแสดงในตารางที่ 1-2
สันทรายหรือสันหาด (Berm)
เป็นสันทรายขนาดเล็กมีลักษณะคล้ายที่ราบเป็นชั้นที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำ และเปลี่ยนแปลงได้ เกิดจากดินหรือทรายที่พังลงจากของฝั่งหรือเป็นทรายที่ถูกคลื่นและนำพาไปกองรวมบนหาดเป็นแนวยาวขนานไปกับชายฝั่ง เมื่อเกิดขึ้นรวมกันหลาย ๆ แนวบนหาดจะทำให้บริเวณด้านในของหาดมีลักษณะเป็นสันสูงขึ้น มักเป็นที่สูงพ้นจากระดับคลื่นซัดท่วมถึงในยามปกติ
ตารางที่ 1-1 แสดงรายละเอียดของหาดที่พบ |
|
ลักษณะของหาด |
รายละเอียด |
หาดหน้ากว้าง |
เป็นหาดเรียบ มีทั้งหาดส่วนหลังและหาดส่วนหน้าลักษณะหาดมีความชันน้อย คลื่น มักจะซัดขึ้นมาไม่ถึงหาดส่วนหลัง หาดแบบนี้มีบริเวณกว้างขวาง เหมาะแก่การเป็นสถานที่พักตากอากาศ เช่น ชายหาดชะอำ จังหวัดเพชรบุรี |
หาดหน้าแคบ |
เป็นหาดเรียบตั้งแต่ขอบฝั่งลงไปจนถึงแนวน้ำลงมีแต่หาดส่วนหน้าโดยไม่มีหาดส่วนหลัง ลักษณะของหาดมีความชันไม่มากนัก |
หาดสองชั้น |
เป็นหาดไม่สู้เรียบนัก มีทั้งหาดส่วนหลังและส่วนหน้าและมีที่ราบเป็นชานยื่นออกไปเป็นชั้น บางชั้นก็จะอยู่เหนือแนวน้ำลงเต็มที่ ลักษณะหาดจะค่อนข้างชัน หาดแบบนี้เหมาะแก่การเป็นสถานที่พักตากอากาศ เช่นกัน |
ตารางที่ 1-2 แสดงรายละเอียดการเรียกชื่อหาดตามประเภทของวัตถุที่พบบนหาด |
|
ลักษณะของหาด |
รายละเอียด |
หาดหินหรือหาดกรวด (Shingle Beach) |
เป็นหาดที่ประกอบด้วยหินหรือกรวดขนาดใหญ่ เกิดจากการทับถมของเศษหินซึ่งถูกคลื่นซัดขัดสีกันและกันจนแบนเรียบและมน เช่น หาดที่เกาะหินงาม อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จังหวัดสตูล |
หาดทราย (Sand Beach) |
มักพบอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีหินเปลือกโลกเป็นหินทรายหรือหินแกรนิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหินแกรนิต เมื่อสลายตัวจะให้ทรายเม็ดกลมมน มีสีขาวทำให้เกิดหาดทรายที่สวยงาม เช่น หาดต่าง ๆ ในจังหวัดภูเก็ต หาดชะอำ จังหวัดเพชรบุรี หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และหาดสมิหรา อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นต้น |
หาดโคลน (Mud Flat) |
มักพบอยู่บริเวณใกล้ปากแม่น้ำสายใหญ่ ๆ ที่มีโคลนตะกอนจากแม่น้ำพัดพามาเป็นจำนวนมาก มีลักษณะเป็นลานปริ่มน้ำ เวลาน้ำขึ้นน้ำจะท่วมมิดลานนั้น และเวลาน้ำลงลานจะโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา เช่น บริเวณดอนหอยหลอดปากแม่น้ำแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม ถ้าหากหาดโคลนนั้นมีขนาดใหญ่ และมีตะกอนสะสมมากจนโผล่พ้นระดับน้ำขึ้นมา เรียกว่า ที่ราบลุ่มชายเลน ซึ่งมักจะมีพืชบางชนิด เช่นต้นแสม และต้นโกงกางขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น จึงมักเรียกว่า ป่าชายเลน หรือป่าเลนน้ำเค็ม เช่น ป่าชายเลนจังหวัดสุราษฎร์ธานี ระนอง พังงา กระบี่ ตรัง และสตูล เป็นต้น |
สันดอน (Bar)
หมายถึง พืดสันทรายหรือตะกอนอื่น ๆ ที่กระแสน้ำพัดพามาตกทับถมสะสมไว้มากจนเกิดเป็นสันหรือพืดยื่นขวางหรือปิดปากน้ำทางเข้าท่าเรือและปากอ่าว ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งกีดขวางต่อการเดินเรือได้ สันดอนอาจแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามรูปร่าง และสถานที่เกิดดังนี้ คือ สันดอนที่เกิดจากตะกอนทับถมบริเวณก้นอ่าว หรือปากอ่าว หรือเป็นแนวยาวใกล้ปากอ่าว โดยรายละเอียดแสดงในตารางที่ 1-3
ทะเลสาบน้ำเค็ม (Lagoon)
เกิดขึ้นทั้งในทะเลและบริเวณชายฝั่งทะเล ซึ่งลักษณะการเกิดและรายละเอียด แสดงในตารางที่ 1-4
หน้าผาสูงชันริมทะเล (Sea Cliff)
หมายถึง หน้าผาสูงชันที่อยู่ริมฝั่งทะเลและหันออกไปทางทะเล มักเกิดขึ้นในบริเวณชายฝั่งทะเลยุบจมที่มีภูมิประเทศเป็นภูเขาติดทะเล หรือเป็นชายฝั่งที่ชั้นหินวางตัวในแนวเอียงเท หรือในแนวตั้ง คลื่นจะกัดเซาะฝั่ง ทำให้เกิดเป็นหน้าผาริมทะเล
เว้าทะเล (Sea Notch)
หมายถึง รอยเว้าที่มีลักษณะเป็นแนวยาวเกิดขึ้นบริเวณฐานของหน้าผาชันริมทะเล ตอนที่อยู่ในแนวระดับน้ำขึ้นน้ำลง เกิดจากการกัดเซาะของคลื่นและการชะละลายของหินปูน เป็นหลักฐานแสดงถึงระดับน้ำทะเลในอดีต
ตารางที่ 1-3 แสดงรายละเอียดของลักษณะสันดอน |
|
ลักษณะของสันดอน |
รายละเอียด |
สันดอนก้นอ่าว (Bay-Head Bar) | เป็นสันดอนที่เกิดจากตะกอนทับถมอยู่ในบริเวณก้นอ่าว |
สันดอนปากอ่าว (Bay-Mouth Bar) |
เป็นสันดอนที่เกิดจากตะกอนทับถมอยู่ในบริเวณปากอ่าว |
สันดอนจะงอยปากอ่าว (Bay Mouth Spit) | เป็นสันดอนที่เกิดจากตะกอนทับถมเป็นแนวยาว อยู่ใกล้ปากอ่าว ปลายด้านหนึ่งติดกับฝั่ง อีกด้านหนึ่งยื่นขวางปากอ่าวตอนปลายจะงอโค้งเป็นจะงอยตามอิทธิพลของกระแสน้ำ และคลื่นสันดอนจะงอยปากอ่าวที่มีขนาดใหญ่ในประเทศไทยมี 2 แห่ง คือแหลมตะลุมพุก อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช และแหลมตาซี อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี |
สันดอนเชื่อมเกาะ (Tomboio) |
เป็นสันดอนที่เชื่อมเกาะขนาดเล็กเข้ากับชายฝั่ง ตัวอย่าง สันดอนประเภทนี้ได้แก่ สันดอนเชื่อมเกาะบริเวณอ่าวคุ้งกระเบน อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี และสันดอนเชื่อมเกาะยกในบริเวณ ทะเลสาบสงขลา |
ตารางที่ 1-4 แสดงลักษณะของทะเลสาบน้ำเค็ม |
|
ลักษณะของทะเลสาบน้ำเค็ม |
รายละเอียด |
ทะเลสาบน้ำเค็มในทะเล |
เกิดจากการปิดกั้นของปะการัง โดยมากมักเป็นรูปวงกลม มีทางน้ำแคบ ๆ เข้าออกได้ |
ทะเลสาบน้ำเค็มชายฝั่งทะเล | เกิดจากการปิดกั้นของสันดอนบริเวณปากอ่าว แต่ยังมีทางออก ให้น้ำไหลผ่านได้ ในประเทศไทยพบทะเลสาบน้ำเค็ม ชายฝั่งทะเลเพียงแห่งเดียว คือ ทะเลสาบสงขลา ซึ่งเกิดจากการงอกของสันดอนมาปิดล้อมบริเวณที่เป็นอ่าวอยู่แต่เดิม ทำให้เกิดเป็นพื้นที่ภายในแผ่นดินขึ้น สันทรายที่งอกยื่นยาวมาปิดกั้นทะเลสาบสงขลานั้น มีความยาวจากเหนือไปใต้ประมาณ 100 กิโลเมตร |
โพรงหินชายฝั่ง (Grotto) หรือถ้ำทะเล (Sea Cave, Marine Cave)
หมายถึง ถ้ำที่เกิดขึ้นตามบริเวณชายฝั่งทะเล ซึ่งอาจเป็นชายฝั่งของผืนแผ่นดินใหญ่ หรือชายฝั่งของเกาะต่าง ๆ ก็ได้ ถ้ำชนิดนี้เกิดจากการกัดเซาะของคลื่นที่หินผาชายฝั่ง ทำให้เป็นช่องหรือเป็นโพรงลึกเข้าไปในช่วงแรกอาจเป็นเพียงช่องหรือโพรงขนาดเล็ก (Grotto) แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปนาน ๆ ก็กลายเป็นช่องหรือโพรงขนาดใหญ่มากขึ้น (Cave) ถ้าหากเป็นบริเวณหินปูนจะทำให้เกิดเป็นถ้ำขนาดใหญ่ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมีการกระทำของน้ำฝนและน้ำใต้ดินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ปากถ้ำทะเลมักอยู่ตรงบริเวณที่มีน้ำขึ้นน้ำลงสูงสุดและต่ำสุด เพราะเป็นช่วงที่คลื่นสามารถกัดเซาะหินชายฝั่งได้ แต่ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลอันเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลก หรือเหตุอื่นใดก็ตามอาจทำให้บริเวณปากถ้ำอยู่สูง หรือต่ำกว่าระดับน้ำทะเลในปัจจุบันได้
ถ้ำลอด (Sea Arch)
หมายถึง โพรงหรือถ้ำ อกทะเล ทั้งสองด้าน ถ้ำลอดที่มีชื่อเสียงเป็นแหล่งท่องเที่ยวของไทย คือ ถ้ำลอดที่เกาะทะลุในอ่าวพังงา และเขาช่องกระจก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
สะพานหินธรรมชาติ (Natural Bridge)
เป็นโพงหินชายฝั่ง ที่ทะลุออกทางทะเลทั้งสองด้าน คล้ายคลึงกับถ้ำลอดที่เกิดขึ้นบนเกาะ แต่สะพานหินธรรมราชจะเกิดบริเวณหัวแหลม ซึ่งมีการกัดเซาะทั้งสองด้านพร้อมกัน จนโพรงนั้นทะลุถึงก้น โดยหินส่วนที่เหลืออยู่เหนือโพรงจะมีลักษณะคล้ายสะพาน ตัวอย่างของสะพานหินธรรมชาติที่มีความสวยงามากแห่งหนึ่ง คือที่เกาะไข่ในอุทยานแห่งชาติทางทะเลหมู่เกาะตะรุเตา จังหวัดสตูล และเกาะทะลุปากน้ำชุมพร
เกาะหินโด่ง หรือเกาะหินชะลูด (Stack)
หมายถึง เกาะโขดหินขนาดเล็กที่แยกออกจากผืนแผ่นดินใหญ่ หรือเกาะที่อยู่ใกล้เคียง เกิดจากแหลมหินที่ยื่นออกไปในทะเล และถูกคลื่นเซาะทั้ง 2 ข้างจนส่วนปลายแหลมที่ตัดออกเป็นเกาะลักษณะเหมือนปล่องเรือเรียงราย ตัวอย่างเกาะหินโด่งที่รู้จักกันดี คือ เขาตะปู ในอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา
ชะวากทะเล (Estuary)
คือ บริเวณส่วนล่างของปากแม่น้ำที่มีความกว้างมากกว่าปกติ จนมีลักษณะคล้ายอ่าว เป็นบริเวณที่มีการผสมกันระหว่างน้ำจืดกับน้ำทะเล เนื่องจากอิทธิพลของน้ำทะเล ชะวากทะเลเป็นลักษณะหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเป็นชายฝั่งทะเลยุบจม ตัวอย่างชะวากทะเลของไทย คือ บริเวณปากแม่น้ำกระบุรี จังหวัดระยอง ปากแม่น้ำเวฬุ จังหวัดจันทบุรี และปากแม่น้ำชุมพร ซึ่งมีลักษณะของชะวากทะเลที่เด่นชัดคือ ปากน้ำกว้างและสอบแหลมเป็นรูปกรวยเกิดจากพื้นที่บริเวณปากแม่น้ำยุบตัวลง
เกาะ (Island)
หมายถึง ส่วนของแผ่นดินที่มีน้ำล้อมกรอบโดยตลอดและมีขนาดเล็กกว่าแผ่นดินที่เป็นทวีป อาจเกิดขึ้นจากการเกาะซัดของคลื่น และกระแสน้ำจนทำให้แผ่นดินบางส่วนถูกตัดขาดออกจากแผ่นดินใหญ่ เกิดจากการกระทำของภูเขาไฟในทะเล เกิดจากการดันของเปลือกโลกให้สูงพื้นน้ำ หรือเกิดจากการก่อตัวของปะการัง ถ้าจำแนกตามสถานที่ตั้งแล้ว เกาะจะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. เกาะริมทวีป (Continental Island) เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ตามชายฝั่งทะเล หรือไม่ไกลจากแผ่นดินมากนัก เกาะริมทวีปส่วนใหญ่จะมีลักษณะทางธรณีวิทยาคล้ายคลึงกับแผ่นดินใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียง เนื่องจากเดิมเคยเป็นแผ่นดินเดียวกัน ต่อมาภายหลังจึงถูกตัดขาดแยกออกไปเพราะการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกหรือการกัดเซาะของคลื่นและกระแสน้ำ เช่น เกาะภูเก็ตและเกาะภูเขาหินปูนในอ่าวพังงา ซึ่งมีหลักฐานทางธรณีวิทยาบ่งชี้ว่าในอดีตเคยเป็นผืนแผ่นดินเดียวกับจังหวัดพังงา แต่ต่อมาถูกน้ำทะเลตัดขาดออกไป เกาะในประเทศไทยทั้งหมดจัดอยู่ในประเภทนี้ทั้งสิ้น
2. เกาะกลางมหาสมุทร (Oceanic Island) เป็นเกาะที่ตั้งห่างจากทวีปมาก ๆ และโดยทั่วไปจะอยู่ในมหาสมุทร เกาะประเภทนี้จะถือ กำเนิดตามลำพังไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผืนแผ่นดินใหญ่ ได้แก่
ความสำคัญของชายฝั่งทะเล
ชายฝั่งทะเลมีความสำคัญ เนื่องจากเป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ ด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่ามากมายต่อระบบเศรษฐกิจ สังคมและนิเวศวิทยา อาทิ ป่าชายเลน ชายหาด ปะการังหญ้าทะเล สัตว์ทะเล และทรัพยากรประมงอื่นๆ ปัจจุบันพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่ครอบคลุม 24 จังหวัดของประเทศไทยได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ที่ดินในรูปแบบต่าง ๆ กัน เช่น ใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่ป่าไม้และป่าชายเลนพื้นที่อยู่อาศัย พื้นที่ว่างเปล่าและพื้นที่อื่น ๆ ที่ไม่ได้จำแนกหมวดหมู่ไว้ลักษณะการใช้ที่ดินเหล่านี้ เป็นดัชนีหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงพื้นฐานผลิตทางด้านเศรษฐกิจของพื้นที่ชายฝั่งทะเล ตัวอย่างเช่น พื้นที่ได้ใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรกรรมมากจะส่งผลให้การเกษตรกรรมคือกิจกรรมเศรษฐกิจที่สำคัญ
การใช้ที่ดินของพื้นที่ชายฝั่งทะเล มีลักษณะคล้ายพื้นที่บนบกกล่าวคือ มีการเปลี่ยนแปลงไปตามแนวโน้มของการพัฒนาพื้นที่ตัวอย่างเช่น พื้นที่ชายฝั่งทะเลที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหรือมีแนวโน้มที่จะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว มักจะมีการขยายตัวของชุมชนสูงและมีการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคส่งผลให้การใช้ที่ดินเปลี่ยนจากเดิมเป็นพื้นที่ชุมชน ที่อยู่อาศัย หรือพื้นที่พาณิชย์กรรม นอกจากนี้แนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงที่ดินอื่น ๆ ได้แก่ การพัฒนาเศรษฐกิจ เช่น การสร้างคอนโดมิเนียม บังกะโล บ้านพักตากอากาศ บ้านพักอาศัยตลอดจนการพัฒนาขบวนการขนส่งทางน้ำ เช่น การสร้างท่าเรือน้ำลึก ท่าเรือประมง เป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินอันเนื่องมาจากการพัฒนาต่าง ๆ ดังกล่าว จะส่งผลให้เกิดการบุกรุก และหากมีการใช้ประโยชน์ที่ดินผิดประเภท อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ชายฝั่งอย่างมากมายและต่อเนื่องจากได้
ปัญหาที่เกิดกับชายฝั่งทะเลของประเทศไทย
ความเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินชายฝั่งทะเลและเกิดการขยายตัวด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ โครงการถมทะเลเพื่อพัฒนาพื้นที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ การพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลเป็นแหล่งท่องเที่ยว การแปรสภาพป่าชายเลนมาเป็นนากุ้งหรือนาเกลือ การสร้างบ้านพักอาศัย การสร้างท่าเทียบเรือ ต่าง ๆ ซึ่งล้วนแต่ทำให้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศตามธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม บริเวณชายฝั่ง กล่าวคือ ส่งผลให้คุณภาพน้ำชายฝั่งทะเลเสื่อมโทรมลง ทรัพยากรสัตว์น้ำเริ่มมีปริมาณลดลงเนื่องจากการทำประมงผิดวิธี สภาพป่าชายเลนเสื่อมโทรมหรือถูกทำลายโดยผู้บุกรุก ปะการังถูกทำลาย เป็นต้น
นอกจากนี้โครงการพัฒนาหรือการขยายตัวด้านโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าว อาจทำให้สูญเสียดุลยภาพตามธรรมชาติของชายฝั่งด้วยอิทธิพลของกระแสน้ำ คลื่น ลม ที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละฤดูกาล กล่าวคือ ส่งผลให้พื้นที่ชายฝั่งทะเลบางบริเวณถูกกัดเซาะซึ่งอาจเป็นพื้นที่ชายหาด แหล่งท่องเที่ยว หรือสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ แต่ในทางตรงข้ามบางพื้นที่อาจเกิดการตกตะกอนดินทราย ทับถม ก่อให้เกิดการตื้นเขินหรือมีพื้นที่งอกออกมา ทำให้เป็นอันตรายต่อการเดินเรือ และรัฐต้องเสียงบประมาณหรือค่าใช้จ่ายจำนวนมากในแต่ละปีในการขุดลอกบำรุงรักษาร่องน้ำ การก่อสร้างป้องกันและฟื้นฟูที่ชายฝั่งทะเลที่ถูกกัดเซาะ ตลอดจนแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นการทำลายเศรษฐกิจของสังคมโดยส่วนรวม
ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลได้ปรากฏอย่างเด่นชัดในบริเวณอ่าวไทยตอนบนครอบคลุมพื้นที่เป็นระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร ตั้งแต่จังหวัดเพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยองโดยมีระยะการกัดเซาะชายฝั่งเข้ามา ประมาณ 100 เมตรจากการสำรวจและตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่ชายฝั่งทะเล บริเวณจังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์โดยความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่กรมอุทกศาสตร์และเจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่าระหว่างวันที่ 20-22 ตุลาคม 2541ที่ผ่านมานี้ พบว่าพื้นที่ชายฝั่งทะเลจังหวัดเพชรบุรี บริเวณหาดชะอำ หาดเจ้าสำราญ แหลมผักเบี้ย และพื้นที่ชายทะเลหัวหินบริเวณหาดทรายใหญ่ และพระราชวังไกลกังวล ได้ประสบปัญหาการกัดเซาะอย่างรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณแหลมผักเบี้ยมีสภาพของป่าชายเลนเสื่อมโทรมลงมาก ส่วนบริเวณพระราชนิเวศน์มฤคทายวันมีความแตกต่างไปจากเดิมคือ ขณะนี้มีการตกตะกอนทรายทับถมจนปรากฏเป็นพื้นที่งอกออกมาตลอดแนวชายฝั่งด้านหน้าของพระราชนิเวศน์ฯ มิได้ถูกกัดเซาะดังที่เคยปรากฏ ดังนั้น ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของสภาพชายฝั่งเหล่านี้จึงมีความสำคัญและจำเป็นต้องทำการสำรวจ/ตรวจสอบ/ศึกษา/วิเคราะห์/วิจัย ถึงสาเหตุต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องทั้งด้านสมุทรศาสตร์ และด้านวิศวกรรมชายฝั่ง เพื่อกำหนดมาตรการแก้ไขหรือบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน
มาตรการแก้ไขปัญหา
มาตรการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลในแต่ละพื้นที่จะมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิศาสตร์หรือลักษณะของชายฝั่งทะเล และอิทธิพลของลมมรสุมประจำท้องถิ่น โดยทั่วไปอาจแบ่งมาตรการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลได้เป็น 2 แบบคือ
1. การจัดการทรัพยากรชายฝั่งที่เหมาะสม
เป็นวิธใช้กับบริเวณชายฝั่งที่มีชุมชนไม่หนาแน่น และมีปัญหาการกัดเซาะไม่รุนแรง โดยการนำตะกอนทรายจากแหล่งอื่นมาถมที่ชายหาดเพื่อเสริมส่วนที่ถูกกัดเซาะไปให้มึสภาพเดิม ( Beach Nourishment ) และปลูกหญ้าหรือต้นไม้ขนาดเล็กชนิดที่มีรากยาวให้ช่วยยึดเกาะพื้นทรายให้แน่นขึ้นหรืออาจเสริมขนาดสันทรายริมชายฝั่งให้กว้างขึ้น และควบคุมสิ่งปลูกสร้างไม่ให้ชิดของฝั่งมากเกินไป
2. การแก้ไขปัญหาด้านวิศวกรรม
เป็นการควบคุมปัญหาด้วยการก่อสร้างโครงสร้างป้องกันชายฝั่งในลักษณะต่างกัน ( Structurat Control ) เช่น กำแพงกัน คลื่นขนานกับฝั่ง ( Sea Wall ) การปูพื้นหาดด้วยหินหรือคอนกรีต ( Revetment ) แนวหินหัวหาดขนานกับชายฝั่ง ( Headland ) กำแพงกันคลื่นนอกชายฝั่ง ( Breakwater ) รอดักทรายตั้งฉากกับชายฝั่ง ( Groyne ) เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การกำหนดมาตรการหรือแนวทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับชายฝั่งทะเล จำเป็นต้องอาศัยบุคลากรที่มีประสบการณ์ ความรู้ ความเข้าใจและความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายทั้งภาครัฐบาลและเอกชนในการศึกษาวิเคราะห์ปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเหล่านี้อย่างจริงจัง เพื่อกำหนดนโยบายและแผนปฏิบัติการระดับชาติ อันจะส่งผลทำให้เกิดการพัฒนาแบบยั่งยืนสำหรับประเทศไทยสืบต่อไป
บรรณานุกรม