สถาบันราชภัฏสกลนคร ได้เปิดทำการเรียนการสอนในหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต

บทคัดย่อวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท

สาขาการบริหารการศึกษา สถาบันราชภัฏสกลนคร

สถาบันราชภัฏสกลนคร ได้เปิดทำการเรียนการสอนในหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต(ค.ม.) สาขาการบริหารการศึกษา ตั้งแต่ปีการศึกษา 2541 โดยมี รศ.ดร. ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร เป็นประธานคณะกรรมการบริหาร สาขาการบริหารการศึกษา ระดับบัณฑิตศึกษา ซึ่งกรรมการประกอบด้วย ผศ.ดร.วัฒนา สุวรรณไตรย์ ผศ.ดร.พนมพร จินดาสมุทร์ และ ผศ.นิตยา นวลนิ่ม โดยมี ดร.ศิกานต์ เพียรธัญญกรณ์ เป็นกรรมการและเลขานุการ ปัจจุบันรับนักศึกษาไปแล้วจำนวน 2 รุ่น คือ รุ่นแรกรับในปีการศึกษา 2541 และ รุ่นที่ 2 รับในปีการศึกษา 2543 มีผู้สำเร็จการศึกษาแล้วจำนวน 30 คน

ในที่นี้จะได้นำเสนอบทคัดย่อวิทยานิพนธ์ของนักศึกษา 30 คน ดังกล่าว ถ้าหากผู้ใดต้องการรายละเอียดมากกว่านี้สามารถศึกษาค้นคว้าฉบับสมบูรณ์ได้ที่ห้องศึกษาค้นคว้า โครงการบัณฑิตศึกษา สถาบันราชภัฏสกลนคร หอสมุดแห่งชาติ หรือผู้ทำวิทยานิพนธ์โดยตรง

ชื่อเรื่อง การศึกษาผลการดำเนินงานกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาจังหวัดสกลนคร

ประจำปีการศึกษา 2541

ผู้วิจัย นางสาววชิราวรรณ นาระดล (2543)

นักวิชาการระดับ 6 สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสกลนคร

อ. เมือง จ. สกลนคร 47000

กรรมการควบคุม รองศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร

อาจารย์ ดร.ศิกานต์ เพียรธัญญกรณ์

การศึกษาครั้งนี้มีความหมายมุ่งเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ตามความคิดเห็นของผู้บริหารงานกองทุน นักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืมเงินกองทุนเพื่อการศึกษา และผู้ปกครองนักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืมเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา โดยใช้แบบสอบถาม ที่มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.97 และแบบสัมภาษณ์ (Structured Interview) แบบปลายปิด ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น กลุ่มตัวอย่างได้แก่ผู้บริหารงานกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา จำนวน 116 คน นักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืมเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาจำนวน 371 คน และผู้ปกครองนักเรียนนักศึกษาผู้กู้ยืมเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา จำนวน 57 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และทดสอบสมมุติฐาน โดยใช้ t-test (Independent Samples)

ผลการศึกษาวิจัย พบว่า

1. ผลการดำเนินงานกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาภาพรวม มีผลการดำเนินงานอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีผลการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ผลการดำเนินงานด้านการประชาสัมพันธ์ และด้านผลการำเนินงาน

2. ผลการดำเนินงานกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ตามความคิดเห็นของผู้บริหารงานกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ภาพรวม มีผลการดำเนินงานอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านทีมีผลการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ผลการดำเนินงาน ด้านการประชาสัมพันธ์ และด้านการกำหนดระยะเวลาในการดำเนินงาน

3. ผลการดำเนินงานกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ตามความคิดเห็นของ นักเรียน นักศึกษา ผู้กู้ยืมเงินกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ภาพรวม มีผลการดำเนินงานอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านที่มีผลการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ผลการดำเนินงานด้านประชาสัมพันธ์และด้านผลการดำเนินงาน

4. ผลการดำเนินงานกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ตามความคิดเห็นของผู้ปกครองนักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืมเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พบว่า ผู้ปกครองนักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืมเงินกองทุน ส่วนใหญ่ทราบการดำเนินงานเกี่ยวกับกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา

5.ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ตามความคิดเห็นของผู้บริหารงานกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และนักเรียนนักศึกษาผู้กู้ยืมเงินกองทุนเงินเพื่อการศึกษา ในจังหวัดสกลนคร ภาพรวม พบว่า ผู้บริหารงานกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และนักเรียนนักศึกษา ผู้กู้ยืมเงินกองทุนเพื่อการศึกษามีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายพบว่า ความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านการกำหนดระยะเวลาในการดำเนินงานของผู้บริหารงานกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาและนักเรียนนักศึกษาผู้กู้ยืมเงินกองทุนเงินเพื่อให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

ชื่อเรื่อง คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารโรงเรียน ตามความคิดเห็นของครู

ในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร

ผู้วิจัย นายพรศักดิ์ จันทร์อ่อน (2543)

ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล อ. เมือง จ. สกลนคร 47000

กรรมการควบคุม อาจารย์ ดร.ศิกานต์ เพียรธัญญกรณ์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วัฒนา สุวรรณไตรย์

ในการวิจัยครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร ที่มีต่อคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดกรมสามัญศึกษาในจังหวัดสกลนคร ในด้านบุคลิกภาพ ด้านวิชาการ และด้านทักษะการบริหาร จำแนกตามวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการเป็นครู และขนาดของโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร จำนวน 326 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า มีความเชื่อมั่น .97 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการหาค่าคะแนนเฉลี่ย หาค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบความแตกต่างของค่าคะแนนเฉลี่ยโดยใช้ค่าสถิติค่าที (t – test) แบบกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม ที่เป็นอิสระ (Independent Samples)

และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว (F-test ; One Way Analysis of Variance)

การวิจัยปรากฎผล ดังนี้

1. ครูโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษาจังหวัดสกลนคร เห็นว่าผู้บริหารโรงเรียน มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ด้านบุคลิกภาพ สูงกว่าด้านอื่น

2. จากการเปรียบเทียบความคิดเห็นคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร ตามความคิดเห็นของครูในโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดสกลนคร ที่มีความแตกต่างกันด้านวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการเป็นครู และขนาดของโรงเรียนที่ปฏิบัติการสอน พบว่า

2.1 ครูที่มีวุฒิการศึกษาปริญญาตรีหรือสูงกว่า มีความคิดเห็นต่อคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารโรงเรียน ในภาพรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน

2.2 ครูที่มีประสบการณ์ในการเป็นครูน้อยกว่า 10 ปี และตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไป มีความคิดเห็นต่อคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารโรงเรียน ในภาพรวมและรายด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าด้านทักษะการบริหาร และด้านวิชาการ มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนด้านบุคลิกภาพ ไม่พบความแตกต่างกัน

2.3 ครูที่ปฏิบัติการสอนในโรงเรียนขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ มีความคิดเห็นต่อคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารโรงเรียน ในภาพรวม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เมื่อพิจารณาเป็นรายคู่ พบว่าครูในโรงเรียนขนาดกลาง กับขนาดใหญ่ และครูในโรงเรียนขนาดเล็ก กับขนาดใหญ่ มีความคิดเห็น ด้านทักษะการบริหารวิชาการ และด้านวิชาการ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนครูในโรงเรียนขนาดเล็กกับขนาดกลางมีความคิดเห็นในทุกด้าน ไม่แตกต่างกัน

ชื่อเรื่อง ระดับการใช้กระบวนการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา

สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร

ผู้วิจัย นายวีระวัฒน์ งอยผาลา (2543)

อาจารย์ใหญ่โรงเรียนบ้านหนองบึงทวาย อ. เต่างอย จ. สกลนคร 47260

กรรมการควบคุม อาจารย์ ดร.ศิกานต์ เพียรธัญญกรณ์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วัฒนา สุวรรณไตรย์

งานวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาระดับการใช้กระบวนการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร ใน 5 ด้าน ได้แก่ การวางแผน การจัดองค์การ การบังคับบัญชาและสั่งการ การประสานงาน และการควบคุม และเพื่อเปรียบเทียบระดับการใช้กระบวนการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียน ตามความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอน จำแนกตามขนาดโรงเรียน และประสบการณ์ในการบริหาร

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยมีทั้งสิ้น จำนวน 452 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียน จำนวน 228 คน และ ครูผู้สอน จำนวน 224 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า จำนวน 50 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (F – test ; One Way ANOVA)

ผลการวิจัย พบว่า

1. ผู้บริหารโรงเรียน และครูผู้สอนมีความคิดเห็นต่อระดับการใช้กระบวนการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าด้านการวางแผน ด้านการจัดองค์การ ด้านการบังคับบัญชาและสั่งการ และด้านการประสานงานมีระดับการใช้อยู่ในระดับมาก ส่วนด้านการควบคุมมีระดับการใช้อยู่ในระดับปานกลาง

2. ผู้บริหารโรงเรียนมีความคิดเห็นต่อระดับการใช้กระบวนการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียน โดยรวมทุกด้านและรายด้านอยู่ในระดับมาก

3. ครูผู้สอนมีความคิดเห็นต่อระดับการใช้กระบวนการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการวางแผน ด้านการจัดองค์การ ด้านการบังคับบัญชาและสั่งการ และด้านการประสานงาน มีระดับการใช้อยู่ในระดับมาก ส่วนด้านการควบคุมมีระดับการใช้อยู่ในระดับปานกลาง

4. ผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอนมีความคิดเห็นต่อระดับการใช้กระบวนการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนที่ปฏิบัติงานตามขนาดของโรงเรียน และประสบการณ์ในการบริหารงานแตกต่างกัน มีระดับการใช้กระบวนการบริหารงานไม่แตกต่างกัน

ชื่อเรื่อง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างขวัญในการปฏิบัติงานกับพฤติกรรมการปฏิบัติงานของ

ครูสายผู้สอนในโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร

ผู้วิจัย นายสุวัฒนา เวชมานิตกุล (2543)

อาจารย์ 1 ระดับ 5 โรงเรียนบ้านกุดฮู ต. โพธิไพศาล

อ. กุสุมาลย์ จ. สกลนคร 47210

กรรมการควบคุม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วัฒนา สุวรรณไตรย์

อาจารย์ ดร.ศิกานต์ เพียรธัญญกรณ์

การศึกษาครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อศึกษา 1. ระดับขวัญในการปฏิบัติงานและพฤติกรรมการปฏิบัติงานของครูสายผู้สอนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา จังหวัดสกลนคร 2.ความสัมพันธ์ระหว่างขวัญในการปฏิบัติงานกับพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของครูสายผู้สอนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร 3.สร้างสมการพยากรณ์พฤติกรรมการปฏิบัติงานของครูสายผู้สอนในโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ครูสายผู้สอนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนครจำนวน 376 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า จำนวน 68 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สัน (Pearson’s product-moment Correlation Coefficient) และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression)

ผลการวิจัยพบว่า

1. ครูสายผู้สอนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนครมีขวัญในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับสูง รวม 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความพึงพอใจ ในการทำงาน ด้านความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงาน และด้านความมั่นคงปลอดภัย ขวัญในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับปานกลาง 6 ด้าน ได้แก่ ด้านโอกาสก้าวหน้า ด้านความสัมพันธ์ในหน่วยงาน ด้านการยอมรับนับถือ ด้านพฤติกรรม

ของผู้บริหาร ด้านสภาพในการทำงาน และด้านผลประโยชน์ตอบแทน

2. พฤติกรรมการปฏิบัติงานของครูสายผู้สอนในโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร โดยส่วนรวมมีพฤติกรรมการปฏิบัติงานอยู่ในระดับสูง และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ปรากฏว่า มีพฤติกรรมการปฏิบัติงานอยู่ในระดับสูง จำนวน 2 ด้าน ได้แก่ ด้านพฤติกรรม การปฏิบัติงานที่ส่งเสริมคุณภาพนักเรียน ด้านพฤติกรรมการปฏิบัติงานที่ส่งเสริมการเรียนการสอน ระดับปานกลาง 1 ด้าน คือ ด้านพฤติกรรมการปฏิบัติงานที่ส่งเสริมการบริหารโรงเรียน

3. ขวัญในการปฏิบัติงานกับพฤติกรรมการปฏิบัติงานของครูสายผู้สอนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร มีความสัมพันธ์กันในทางบวก

4. ขวัญในการปฏิบัติงานที่สามารถพยากรณ์พฤติกรรมการปฏิบัติงานของครูสายผู้สอนในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร โดยส่วนร่วม มี 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความสัมพันธ์ในหน่วยงาน ด้านการยอมรับนับถือ และด้านความมั่นคงปลอดภัย

ชื่อเรื่อง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจในการปฏิบัติงานและผลสำเร็จใน

การบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัด

สกลนคร

ผู้วิจัย นางเพ็ญประภา วงศ์ประชา (2543)

ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวานรนิวาส อ. วานรนิวาส จ. สกลนคร 47120

กรรมการควบคุม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วัฒนา สุวรรณไตรย์

อาจารย์ ดร.ศิกานต์ เพียรธัญญกรณ์

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน และผลสำเร็จในการบริหารงานของผู้ริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร และศึกษาอำนาจการพยากรณ์ขององค์ประกอบความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน และผลสำเร็จในการบริหารงานของผู้บริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยผู้บริหารโรงเรียน ผู้ช่วยบริหารและครู-อาจารย์ รวม 320 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของผู้บริหารและครู-อาจารย์ และผลสำเร็จในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียน จำนวน 86 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ

ผลการวิจัยพบว่า

1. ระดับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของผู้บริหารและครู-อาจารย์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับสูง เมื่อพิจารณาตามองค์ประกอบกระตุ้นและองค์ประกอบค้ำจุน พบว่าผู้บริหารและครู-อาจารย์มีความพึงพอใจในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับสูง

2. ระดับผลสำเร็จในการบริหารงานของผู้บริหารของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร โดยภาพรวมและรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับสูง ยกเว้นงานโรงเรียนกับชุมชนและการบริหารอาคาร สถานที่ อยู่ในระดับปานกลาง

3. ความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน และผลสำเร็จในการบริหารงานของ ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร มีความสัมพันธ์กันในทางบวก

อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

4. ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของผู้บริหารและครู-อาจารย์ ที่สามารถพยากรณ์ผลสำเร็จในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ.05 รวม 7 ด้าน ได้แก่ นโยบายและการบริหารงาน ความสำเร็จของงานที่ปฏิบัติ สภาพแวดล้อมในการทำงาน ความรู้สึกมั่นคงในงาน ความเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ ความสัมพันธ์ในหน่วยงาน เงินเดือนและผลประโยชน์ตอบแทน

ชื่อเรื่อง ศึกษาพฤติกรรมการตัดสินใจสั่งการของหัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอ สังกัดสำนักงาน

การประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร

ผู้วิจัย นางบุหงา ดอนโคตรจันทร์ (2543)

บุคลากร 6 ว. สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร

อ. เมือง จ. สกลนคร 47000

กรรมการควบคุม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประสิทธิ์ กองสาสนะ

รองศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร

การวิจัยครั้งนี้ มีความมุ่งหมายเพื่อการศึกษาวิธีการตัดสินใจสั่งการ และระดับการมีส่วนร่วมใน

การตัดสินใจสั่งการ ในขอบข่ายงานบริหารสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอทั้ง 4 ด้าน คือ การบริหารงานบริหารทั่วไป การบริหารงานการเจ้าหน้าที่ การบริหารงานการเงินและพัสดุ และ การบริหารงานนิเทศการศึกษาของหัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอ สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร เปรียบเทียบวิธีการตัดสินใจสั่งการ และระดับการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจสั่งการของหัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอ ที่มีขนาดของสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์ในการดำรงตำแหน่งต่างกัน

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย หัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอ จำนวน 18 คน และบุคลากรประจำสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอ จำนวน 304 คน เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า มี 4 องค์ประกอบ คือ ด้านการบริหารงานบริหารทั่วไป การบริหารงานการเจ้าหน้าที่ การบริหารงานการเงินและพัสดุ และการนิเทศการศึกษา จำนวน 47 ข้อ สถิติที่ใช้ทดสอบสมมุติฐานคือ ค่าที (t-test ชนิด Independent Samples)

ผลการวิจัยได้ให้ข้อสรุปดังนี้

1. วิธีการตัดสินใจสั่งการของหัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอ สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร ตามทัศนะของหัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอและบุคลากรประจำสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอ โดยส่วนรวมใช้แบบวิธีที่ 4 คือ ตัดสินใจด้วยตนเองโดยอภิปรายปัญหาร่วมกับกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชา และเมื่อพิจารณาจากขอบข่ายงานบริหารสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอ ทั้ง 4 ด้าน พบว่า มีวิธีการตัดสินใจสั่งการเป็นแบบวิธีที่ 4 คือ หัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอตัดสินใจด้วยตนเองโดยอภิปรายปัญหาร่วมกับกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชา อยู่ 3 ด้าน คือ การบริหารงานนิเทศการศึกษา การบริหารงานการเงินและพัสดุ และการบริหารงานการเจ้าหน้าที่ ส่วนด้านการบริหารงานบริหารทั่วไปมีการใช้วิธีการตัดสินใจสั่งการเป็นแบบวิธีที่ 3 คือ หัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอตัดสินใจด้วยตนเองโดยอภิปรายปัญหาร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นรายบุคคล

2. ระดับการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจสั่งการของหัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอสังกัด สำนักงาน

การประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร ตามขอบข่ายงานการบริหารสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอ โดยส่วนรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการบริหารงานนิเทศการศึกษา การบริหารงานการเงินและพัสดุ และด้านการบริหารงานการเจ้าหน้าที่ อยู่ระดับมากเช่นกัน ส่วนด้านการบริหารงานบริหารทั่วไปอยู่ระดับปานกลาง

3. เปรียบเทียบวิธีการตัดสินใจสั่งการ และระดับการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจสั่งการของหัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอ สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร ซึ่งจำแนกตามขนาดของสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอ คือ ขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ พบว่าทั้งโดยส่วนรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน

4. เปรียบเทียบวิธีการตัดสินใจสั่งการ และระดับการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจสั่งการของหัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอ สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร ซึ่งจำแนกตามวุฒิการศึกษา คือ ปริญญาตรี และสูงกว่าปริญญาตรี พบว่า โดยส่วนรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน

5. เปรียบเทียบวิธีการตัดสินใจสั่งการ และระดับการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจสั่งการของหัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอ สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร ซึ่งจำแนกตามประสบการณ์ในการดำรงตำแหน่ง คือ ต่ำกว่า 10 ปี และตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป พบว่า โดยส่วนรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน

ชื่อเรื่อง ความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนเกี่ยวกับการจัดการเรียนร่วม

สำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษในโรงเรียนปกติ สังกัดสำนักงาน

การประถมศึกษาจังหวัดนครพนม

ผู้วิจัย นางเมธาวรรณ วงศ์เทวราช (2543)

อาจารย์ 1 ระดับ 5 โรงเรียนธารน้ำใจ อ. นาแก จ. นครพนม 48130

กรรมการควบคุม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนมพร จินดาสมุทร์

รองศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนเกี่ยวกับการจัดการการเรียนร่วมสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษในโรงเรียนปกติสังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดนครพนม กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย ผู้บริหาร 209 คน และครูผู้สอน 365 คน การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป SPSS/PC เพื่อหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย โดยใช้ t-test และ F-test

ผลการวิจัยพบว่า

1. ผู้บริหารและครูผู้สอนโรงเรียนประถมศึกษามีความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดการเรียนร่วมสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษในโรงเรียนปกติ โดยรวมทั้ง 3 ด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านแนวทางในการพัฒนาครูอยู่ในระดับมากที่สุด สำหรับด้านปัญหาและอุปสรรคในการจัดการเรียนร่วม และด้านรูปแบบการจัดและวิธีการจัดการเรียนร่วม อยู่ในระดับมาก

2. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนโรงเรียนประถมศึกษาพบว่ามีความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดการเรียนร่วมสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษในโรงเรียนปกติ โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน

3. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา เมื่อจำแนกตามขนาดโรงเรียนที่ปฏิบัติงาน พบว่าขนาดโรงเรียนที่ปฏิบัติงาน ไม่มีผลทำให้ความคิดเห็นของผู้บริหารแตกต่างกัน

4. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูผู้สอนโรงเรียนประถมศึกษา เมื่อจำแนกตามวุฒิการศึกษา อายุราชการ และขนาดโรงเรียนที่ปฏิบัติงาน พบว่าวุฒิการศึกษามีผลต่อความคิดเห็นของครูผู้สอนเกี่ยวกับการจัดการเรียนร่วมสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษด้านปัญหาและอุปสรรคในการจัดการเรียนร่วม และด้านแนวทางในการพัฒนาครู อายุราชการมีผลต่อความคิดเห็นของครูผู้สอนด้านปัญหาและอุปสรรคในการจัดการเรียนร่วมส่วนขนาดโรงเรียนที่ปฏิบัติงาน พบว่าไม่มีผลทำให้ความคิดเห็นของครูผู้สอนแตกต่างกัน

ชื่อเรื่อง การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครูและผู้บริหาร

โรงเรียนเอกชนในจังหวัดสกลนคร

ผู้วิจัย นายธีระนัน พิรุณสุนทร (2543)

อาจารย์โรงเรียนเทคโนโลยีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อ. เมือง จ. สกลนคร 47000

กรรมการควบคุม อาจารย์ ดร.ศิกานต์ เพียรธัญญกรณ์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนมพร จินดาสมุทร์

การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับขวัญกำลังใจของครูและ ผู้บริหารโรงเรียนเอกชนในจังหวัดสกลนคร (2) เปรียบเทียบระดับขวัญกำลังใจของครูและ ผู้บริหารโรงเรียนเอกชนในจังหวัดสกลนคร (3) ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อระดับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู และผู้บริหารโรงเรียนเอกชนในจังหวัดสกลนครกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน การวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครูและผู้บริหารโรงเรียนเอกชนในจังหวัดสกลนคร จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยใช้แนวคิดจากทฤษฎีของ มาสโลว์ (Maslow) ทฤษฎีสององค์ประกอบของเฮิร์ซเบิร์ก (Herzberg) ทฤษฎีเอ็กซ์ (X) ทฤษฎีวาย (Y) ของ แมคเกรเกอร์ (Macgregor) และทฤษฎีความต้องการของอัลเดอร์เฟอร์ (Alderfer) สำหรับสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test และค่า F-test และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression)

ผลการวิจัยพบว่า

1. ครูและผู้บริหารโรงเรียนเอกชนในจังหวัดสกลนคร มีระดับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานโดยรวมอยู่ในระดับสูง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับสูง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้สึกที่มีส่วนร่วมต่อหน่วยงาน ด้านสภาพการปฏิบัติงาน ด้านการยอมรับนับถือ และด้านนโยบายและการบริหารงาน ขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน อยู่ในระดับปานกลาง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการเงินและสวัสดิการต่าง ๆ ด้านโอกาสและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และด้านความสัมพันธ์ในหน่วยงาน

2. ครูและผู้บริหารโรงเรียนเอกชนในจังหวัดสกลนคร มีระดับขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานแตกต่างกันทุกด้าน รวม 7 ด้าน ได้แก่ ด้านสภาพการปฏิบัติงาน ด้านการเงินและสวัสดิการต่าง ๆ ด้านการยอมรับนับถือ ด้านความรู้สึกที่มีส่วนร่วมต่อหน่วยงาน ด้านความสัมพันธ์ในหน่วยงาน ด้านโอกาสและความก้าวหน้าในหน้าที่การงานและด้านนโยบายและการบริหารงาน

3. ปัจจัยที่สามารถพยากรณ์ระดับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครูและผู้บริหาร โรงเรียนเอกชนในจังหวัดสกลนคร โดยรวมมี 4 ด้าน ได้แก่ ตำแหน่งในหน่วยงาน อายุ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน

ชื่อเรื่อง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมผู้นำของผู้บริหารกับผลสำเร็จในการดำเนิน

งานในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดมุกดาหาร

ผู้วิจัย นายภักดี สมคะเณย์ (2543)

ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านโคกขามเลียน อ. เมือง จ. มุกดาหาร

กรรมการควบคุม อาจารย์ ดร.ศิกานต์ เพียรธัญญกรณ์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นิตยา นวลนิ่ม

การวิจัยครั้งนี้ มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาพฤติกรรมผู้นำและผลสำเร็จในการดำเนินงานในโรงเรียนของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาตามทัศนะของครู อาจารย์ สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดมุกดาหาร เพื่อเปรียบเทียบผลสำเร็จในการดำเนินงานในโรงเรียนประถมศึกษาที่ผู้บริหารโรงเรียนมีพฤติกรรมผู้นำแบบมุ่งงานและผู้บริหารโรงเรียนมีพฤติกรรมผู้นำแบบมุ่งสัมพันธ์กับผลสำเร็จในการดำเนินงานในโรงเรียนประถมศึกษาตามทัศนะของครู อาจารย์ สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดมุกดาหาร และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนแบบมุ่งงานและแบบมุ่งสัมพันธ์กับผลสำเร็จในการดำเนินงานในโรงเรียนประถมศึกษาตามทัศนะของครู อาจารย์ สังกัด สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดมุกดาหาร

ในการวิจัยครั้งนี้กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย ครู อาจารย์ ที่ปฏิบัติการสอน จำนวน 369 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถามวัดพฤติกรรมผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษามี 30 ข้อ และแบบสอบถามวัดผลสำเร็จของการดำเนินงานในโรงเรียนประถมศึกษาในลักษณะงาน 6 ด้าน คือ ด้านวิชาการ ด้านบุคลากร ด้านกิจการนักเรียน ด้านธุรการ ด้านอาคารสถานที่ และด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน จำนวน 60 ข้อ แบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) สถิติที่ใช้ คือ ร้อยละ ตัวกลางเลขคณิต ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test ชนิด Independent Samples) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Simple Correlation)

ผลการวิจัยสรุป ดังนี้

1. ผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา มีพฤติกรรมผู้นำแบบมุ่งงานและแบบมุ่งสัมพันธ์สูงทั้ง 2 ด้านมีจำนวนมากที่สุด รองลงมาเป็นผู้บริหารที่มีพฤติกรรมผู้นำต่ำทั้ง 2 ด้าน และผู้บริหารมีพฤติกรรมผู้นำแบบมุ่งสัมพันธ์สูงอยู่ในอันดับที่ 3 ส่วนผู้บริหารที่มีพฤติกรรมผู้นำแบบมุ่งงานสูงมีจำนวนน้อยที่สุด

2. ระดับพฤติกรรมผู้นำของผู้บริหารในโรงเรียนประถมศึกษา เมื่อพิจารณาเป็น รายด้าน พบว่า ผู้บริหารมีพฤติกรรมผู้นำแบบมุ่งสัมพันธ์ อยู่ในระดับสูง ส่วนผู้บริหารมี พฤติกรรมผู้นำแบบมุ่งงานอยู่ในระดับปานกลาง

3. การดำเนินงานในโรงเรียนประถมศึกษามีผลสำเร็จอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านบุคลากร ด้านกิจการนักเรียน ด้านธุรการ ด้านอาคาร สถานที่ และด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน มีตัวกลางเลขคณิตอยู่ในระดับมาก ส่วนด้านวิชาการอยู่ในระดับปานกลาง

4. ผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา ที่มีพฤติกรรมผู้นำแบบมุ่งงานและแบบ มุ่งสัมพันธ์มีผลสำเร็จในการดำเนินงาน ทั้งในภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน แต่เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ผลสำเร็จในการดำเนินงานด้านวิชาการในข้อ มีการวางแผนการจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับหลักสูตรแตกต่างกัน

5. พฤติกรรมผู้นำของผู้บริหารแบบมุ่งงานและแบบมุ่งสัมพันธ์ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับผลสำเร็จในการดำเนินงานในโรงเรียนประถมศึกษา ทั้งในภาพรวมและรายด้าน

ชื่อเรื่อง แบบผู้นำและพฤติกรรมการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาดีเด่น สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดนครพนม

ผู้วิจัย นางจำเรียง คำป้อง (2543)

อาจารย์ 2 ระดับ 7 โรงเรียนอุ่นเหม้าประชาสรรค์

อ. ธาตุพนม จ. นครพนม 48110

กรรมการควบคุม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วัฒนา สุวรรณไตรย์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นิตยา นวลนิ่ม

การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาแบบผู้นำและพฤติกรรมบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาดีเด่น สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดนครพนม ที่ประสบความสำเร็จในการบริหารองค์กรมีแบบผู้นำและพฤติกรรมการบริหารงานเป็นแบบใด

ลักษณะของการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นการศึกษาแบบผู้นำและพฤติกรรมการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาดีเด่น ตามขอบข่ายงานโรงเรียนมัธยมศึกษา 7 งาน ที่กรมสามัญศึกษากำหนด ในโรงเรียน 2 แห่ง คือ โรงเรียนธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม และโรงเรียนธรรมากรวิทยานุกูล อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม

วิธีการศึกษาวิจัย ดำเนินการโดยศึกษาเอกสารต่างๆ และการศึกษาภาคสนามการเก็บรวบรวมข้อมูลใช้การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม การสัมภาษณ์แบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่มสนทนา (Focus Samples) มีผู้ให้ข้อมูลหลักได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน 2 คน ครู อาจารย์ ทั้ง 2 โรงเรียน จำนวน 24 คน นักเรียนทั้ง 2 โรงเรียน จำนวน 48 คน และผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 24 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ที่มีโครงสร้าง แบบบันทึกการสังเกต และสมุดบันทึกภาคสนาม อุปกรณ์ที่ใช้ในการบันทึก ได้แก่ เครื่องบันทึกเสียง กล้องถ่ายรูป

ผลการวิจัยพบว่า

โรงเรียนมัธยมทั้ง 2 โรงเรียน เป็นโรงเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษา มีที่ตั้งและขนาดของโรงเรียนที่แตกต่างกัน คือ โรงเรียนธาตุพนมเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ชุมชนเทศบาลธาตุพนม มีการบริหารด้านการศึกษาที่หลากหลายเป็นโรงเรียนที่มีประวัติยาวนาน มีผลงานเป็นที่ยอมรับมาโดยตลอด สำหรับโรงเรียนธรรมากรวิทยานุกูลเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก ตั้งอยู่ในเขตะพื้นที่รับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนตำบลพุ่มแกเป็นโรงเรียนที่กำลังพัฒนา มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งผู้บริหารโรงเรียนทั้ง 2 แห่ง ได้รับการประเมินเป็นผู้บริหารดีเด่น ในปี พ.ศ.2539-2541

ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาดีเด่นทั้ง 2 โรงเรียน ยึดหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นแนวทางการบริหารงานในโรงเรียน ได้แก่ พรหมวิหารธรรม คือ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา ความเบิกบานพลอยยินดี อุเบกขา ความมีใจเป็นกลางและสัปปุริสธรรม คือ ธัมมัญญุตา รู้หลักและรู้จักเหตุผล อัตถัญญุตา รู้ความมุ่งหมายและรู้จักผล อัตตัญญุตา รู้ตน มัตตัญญุตา รู้ประมาณ กาลัญญุตา รู้ชุมชน และปุคคลัญญุตา รู้บุคคล

ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาดีเด่นทั้ง 2 โรงเรียนมีแบบผู้นำและพฤติกรรมการบริหารงานสอดคล้องกับทฤษฎีสามมิติของเรคดิน (Reddin. 1970) ทั้ง 3มิติ ได้แก่ มิติมุ่งงาน มิติมุ่งสัมพันธ์ และมิติมุ่งประสิทธิผล โดยใช้แบบผู้นำแต่ละมิติมีลักษณะเด่นตามการบริหารงาน

ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาดีเด่นทั้ง 2 โรงเรียน ใช้แบบผู้นำทฤษฎีพฤติกรรมผู้นำตามลักษณะการใช้อำนาจหน้าที่ (White and Lippitt. 1960) ผู้บริหารใช้แบบผู้นำแบบประชาธิปไตยในการบริหารงาน โดยให้บุคลากรในโรงเรียนมีส่วนร่วมในการพิจารณานโยบายและวางแผนงาน ส่วนแบบอัตตนิยมมีการใช้ในกรณีที่จำเป็นเนื่องจากเป็นงานเร่งด่วน มีข้อจำกัดเรื่องเวลา

ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาดีเด่นทั้ง 2 โรงเรียน มีคุณลักษณะโดดเด่นซึ่งเพื่อนร่วมงาน นักเรียน และผู้ปกครองนักเรียนยอมรับและพึงพอใจ ได้แก่ มีบุคลิกดีมีความมุ่งมั่นพัฒนางานวิชาการ มีคุณธรรม และมีมนุษยสัมพันธ์อันดี

ชื่อเรื่อง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมผู้นำกับผลสำเร็จการปฏิบัติงานของ

ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา

สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร

ผู้วิจัย นายพงษ์สวัสดิ์ วงศ์ประชา (2543)

อาจารย์ 2 ระดับ 7 โรงเรียนมัธยมวานรนิวาส อ. วานรนิวาส จ. สกลนคร 47120

กรรมการควบคุม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วัฒนา สุวรรณไตรย์

อาจารย์ ดร.ศิกานต์ เพียรธัญญกรณ์

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมผู้นำกับผลสำเร็จการปฏิบัติงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร และศึกษาอำนาจการพยากรณ์พฤติกรรมผู้นำของผู้บริหารกับผลสำเร็จในการปฏิบัติงานของผู้บริหารในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ประกอบด้วยครูผู้สอนในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร จำนวน 320 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้นำในการปฏิบัติงานของผู้บริหาร และผลสำเร็จการปฏิบัติงานของผู้บริหารโรงเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย () ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s product-moment Correlation Coefficient) และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression)

ผลการวิจัยพบว่า

1. ระดับพฤติกรรมผู้นำของผู้บริหารในการปฏิบัติงานตามความคิดเห็นของครูผู้สอนในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร รายด้านอยู่ในระดับปานกลาง โดยมีพฤติกรรมผู้นำมิติมุ่งงานมากกว่ามิติมุ่งสัมพันธ์

2. ระดับผลสำเร็จการปฏิบัติงานของผู้บริหารตามความคิดเห็นของครูผู้สอน ในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร ในภาพรวมอยู่ในระดับสูง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านงานธุรการ ด้านงานวิชาการ ด้านงานปกครองนักเรียน ด้านการบริหารอาคารสถานที่ ด้านการบริหารทั่วไป มีผลสำเร็จอยู่ในระดับสูง ส่วนด้านงานบริการ และด้านงานโรงเรียนกับชุมชนมีผลสำเร็จอยู่ในระดับปานกลาง

3. พฤติกรรมผู้นำในภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 กับผลสำเร็จการปฏิบัติงานของผู้บริหาร และเมื่อพิจารณางานด้านต่าง ๆ พบว่าทั้ง 7 งานมีความสัมพันธ์ คือ การบริหารทั่วไป งานโรงเรียนกับชุมชน งานธุรการ งานวิชาการ งานบริการ การบริหารอาคารสถานที่และงานปกครองนักเรียน

4. พฤติกรรมผู้นำมิติมุ่งงานและมิติมุ่งสัมพันธ์ ส่งผลต่อผลสำเร็จการปฏิบัติงานของผู้บริหาร

ตามความคิดเห็นของครูผู้สอนในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ .05 โดยพฤติกรรมผู้นำมิติมุ่งสัมพันธ์สามารถทำนายผลสำเร็จการปฏิบัติงานได้ร้อยละ 91. 00 และมิติมุ่งสัมพันธ์ร่วมกับมิติมุ่งงานสามารถทำนายผลสำเร็จการปฏิบัติงานของของผู้บริหารโรงเรียน ด้านภาพรวมได้ร้อยละ 100 เมื่อพิจารณาพฤติกรรมผู้นำแต่ละมิติ พบว่าพฤติกรรมผู้นำมิติมุ่งงานสามารถทำนายผลสำเร็จการปฏิบัติงานของผู้บริหาร ด้านผลสำเร็จการปฏิบัติงานรวมทั้ง 7 ด้าน การปฏิบัติงานด้านวิชาการ และการปฏิบัติงานด้านการบริหารทั่วไป ได้ร้อยละ 83.90 ส่วนพฤติกรรมผู้นำมิติมุ่งสัมพันธ์สามารถทำนายผลสำเร็จการปฏิบัติงานของผู้บริหาร ด้านผลสำเร็จการปฏิบัติงานรวมทั้ง 7 งาน การปฏิบัติงานด้านวิชาการ และการปฏิบัติงานด้านการบริหารทั่วไป ได้ร้อยละ 92.40

5. พฤติกรรมผู้นำมิติมุ่งงานสูงและมุ่งสัมพันธ์สูง ส่งผลต่อผลสำเร็จการปฏิบัติงานของผู้บริหารตามความคิดเห็นของครูผู้สอนในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยพฤติกรรมผู้นำมิติมุ่งสัมพันธ์สูงสามารถทำนายผลสำเร็จการปฏิบัติงานได้ร้อยละ 92. 10 และพฤติกรรมผู้นำมิติมุ่งสัมพันธ์สูงร่วมกับมิติมุ่งงานสูงสามารถทำนายผลสำเร็จการปฏิบัติงานของของผู้บริหารโรงเรียน ด้านภาพรวมได้ร้อยละ 100 และพฤติกรรมผู้นำมิติมุ่งงานสูงสามารถทำนายผลสำเร็จการปฏิบัติงานของผู้บริหาร รวมทั้ง 7 งาน และการปฏิบัติงานด้านโรงเรียนกับชุมชนได้ร้อยละ 87.10 ส่วนพฤติกรรมผู้นำมิติมุ่งสัมพันธ์สูงสามารถทำนายผลสำเร็จการปฏิบัติงานของผู้บริหาร รวมทั้ง 7 งาน และการปฏิบัติงานด้านโรงเรียนกับชุมชน ได้ร้อยละ 92.50

ชื่อเรื่อง การศึกษาสภาพและปัญหาการดำเนินงานวิชาการในโรงเรียนเอกชน ประเภท

สามัญศึกษา จังหวัดอุดรธานี

ผู้วิจัย นางสาวปราณี จันทร์ประทัศน์ (2543)

ผู้ช่วยฝ่ายวิชาการ โรงเรียนดอนบอสโกวิทยา อ. เมือง จ. อุดรธานี 41000

กรรมการควบคุม ผู้ช่วยศาสตราจาารย์ ดร.สุเทพ การุณย์ลัญจกร

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนมพร จินดาสมุทร์

การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบสภาพและปัญหาดำเนินงานวิชาการในโรงเรียนเอกชน ประเภทสามัญศึกษา จังหวัดอุดรธานี กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริหารงานวิชาการ จำนวน 114 คน และครูผู้ปฏิบัติการสอน จำนวน 328 คน การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป SPSS/PC⁺ เพื่อหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยโดยใช้ t-test

ผลการวิจัยพบว่า

1. สภาพการดำเนินงานวิชาการในโรงเรียนเอกชน ประเภทสามัญศึกษา จังหวัดอุดรธานี ตามความคิดเห็นของผู้บริหารงานวิชาการและครูผู้ปฏิบัติการสอน โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียวลำดับจากมากไปหาน้อย คือด้านการวัดผลและประเมินผลการเรียนและงานทะเบียนนักเรียน ด้านการประเมินผลการจัดการงานวิชาการ ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านการวางแผนงานวิชาการ ด้านการพัฒนาและส่งเสริมงานวิชาการ และด้านการบริหารงานวิชาการ

2. ปัญหาการดำเนินงานวิชาการในโรงเรียนเอกชน ประเภทสามัญศึกษา จังหวัดอุดรธานี ตามความคิดเห็นของผู้บริหารงานวิชาการและครูผู้ปฏิบัติการสอน โดยรวมอยู่ในระดับน้อยเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับน้อยทุกด้าน เรียงลำดับน้อยทุกด้าน เรียงลำดับจากน้อยไปหามาก คือ ด้านการวัดผลและประเมินผลการเรียนและงานทะเบียนนักเรียน ด้านการประเมินผลการจัดการงานวิชาการ ด้านพัฒนาและส่งเสริมงานวิชาการ ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านการวางแผนงานวิชาการ และด้านการบริหารงานวิชาการ

3. ผลการเปรียบเทียบสภาพการดำเนินงานวิชาการในโรงเรียนเอกชน ประเภทสามัญศึกษา จังหวัดอุดรธานี

3.1 ผู้บริหารงานวิชาการและครูผู้ปฏิบัติการสอนที่มีเพศต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการดำเนินงานวิชาการ โดยรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการวัดผลและประเมินผลการเรียนและงานทะเบียนนักเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

3.2 ผู้บริหารงานวิชาการและครูผู้ปฏิบัติการสอน ที่มีวุฒิการศึกษาต่างกันมีความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการดำเนินงานวิชาการ โดยรวมไม่ต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการประเมินผลการจัดการงานวิชาการ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

4. ผลการเปรียบเทียบปัญหาการดำเนินงานวิชาการในโรงเรียนเอกชน ประเภทสามัญศึกษา จังหวัดอุดรธานี

4.1 ผู้บริหารงานวิชาการและครูผู้ปฏิบัติการสอน ที่มีเพศต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาการดำเนินงานวิชาการ โดยรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านการวางแผนงานวิชาการ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และด้านการวัดผลและประเมินผลการเรียนและงานทะเบียนนักเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

4.2 ผู้บริหารงานวิชาการและครูผู้ปฏิบัติการสอน ที่มีวุฒิการศึกษาต่างกันมีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาการดำเนินงานวิชาการ โดยรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน

ชื่อเรื่อง การศึกษาสภาพความเป็นจริงและความคาดหวังของการนิเทศภายใน

โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา จังหวัดนครพนม

ผู้วิจัย นายคณุตม์ แสนอาจ (2543)

ศึกษานิเทศก์ 6 สำนักงานการประถมศึกษาอำเภอเต่างอย

อ. เต่างอย จ. สกลนคร 47260

กรรมการควบคุม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประสิทธิ์ กองสาสนะ

รองศาสตราจารย์ ดร.ศักดิไทย สุรกิจบวร

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพความเป็นจริงและความคาดหวังของการนิเทศภายในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดนครพนม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน 185 คน ครูผู้สอน 318 คน รวม 513 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการทดสอบค่าเอฟ

ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า

1. การปฏิบัติตามสภาพความเป็นจริงของการนิเทศภายในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดนครพนม ทั้ง 5 ขั้นตอน ตามทัศนะของผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอน โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง

2. การปฏิบัติตามความคาดหวังของการนิเทศภายในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดนครพนม ทั้ง 5 ขั้นตอน ตามทัศนะของผู้บริหารโรงเรียนโดยรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนครูผู้สอน โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง

3. ระดับการปฏิบัติตามสภาพความเป็นจริงของการนิเทศภายในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดนครพนม ตามทัศนะของผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอน โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

4. ระดับการปฏิบัติตามความคาดหวังของการนิเทศภายในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดนครพนม ตามทัศนะของผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอน โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

5. ระดับการปฏิบัติตามสภาพความเป็นจริงของการนิเทศภายในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดนครพนม ตามทัศนะของผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ โดยรวมไม่แตกต่างกัน

6. ระดับการปฏิบัติตามความคาดหวังของการนิเทศภายในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดนครพนม ตามทัศนะของผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ โดยรวมไม่แตกต่างกัน

7. ระดับการปฏิบัติตามสภาพความเป็นจริงของการนิเทศภายในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดนครพนม ตามทัศนะของครูผู้สอนในโรงเรียนขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ โดยรวมไม่แตกต่างกัน

8. ระดับการปฏิบัติตามความคาดหวังของการนิเทศภายในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดนครพนม ตามทัศนะของครูผู้สอนในโรงเรียนขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

ชื่อเรื่อง สภาพปัญหาและความต้องการในการปฏิบัติงานของสำนักงานสามัญศึกษาจังหวัด

ในเขตการศึกษา 9

ผู้วิจัย นายเชี่ยวชาญ ลุนจักร (2543)

ผู้ช่วยผู้อำนวยการสามัญศึกษาจังหวัดนครพนม อ. เมือง จ. นครพนม 48000

กรรมการควบคุม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนมพร จินดาสมุทร์

อาจารย์ ดร.ศิกานต์ เพียรธัญญกรณ์

การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษา สภาพปัญหาและความต้องการในการปฏิบัติงานของสำนักงานสามัญศึกษาจังหวัด เขตการศึกษา 9 ด้านการวางแผนงาน ด้านการบริการ ด้านการประสานงาน และด้านการติดตามและประเมินผล ตามความคิดเห็นของผู้บริหารการศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จำนวน 18 คน ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จำนวน 129 คน ศึกษานิเทศก์กรมสามัญศึกษา ประจำจังหวัด จำนวน 14 คน และหัวหน้ากลุ่มงานในสำนักงานสามัญศึกษาจังหวัด จำนวน 36 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า จำนวน 59 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่น .98 และแบบสอบถามปลายเปิดสำหรับผู้ตอบแบบสอบถามแสดงความคิดเห็นในการปฏิบัติงานอย่างอิสระ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติ โดยใช้ t–test (Independent Samples) และ F–test (F-test ; One Way ANOVA) ทดสอบสมมุติฐาน

ผลการวิจัยพบว่า

1. สภาพปัญหาการปฏิบัติงานโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า สภาพปัญหาด้านการบริการอยู่ในระดับมาก สำหรับ 3 ด้าน มีสภาพปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง คือ ด้านการติดตามและประเมินผล ด้านการวางแผนงาน และ ด้านการประสานงาน ตามลำดับ

2. ความต้องการในการปฏิบัติงานโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าทั้ง 4 ด้าน มีความต้องการอยู่ในระดับมาก คือ ด้านการวางแผนงาน ด้านการบริการ ด้านการติดตามและประเมินผล และด้านการประสานงาน ตามลำดับ

3. ผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ศึกษานิเทศก์ และหัวหน้ากลุ่มงานมีความคิดเห็นต่อสภาพปัญหาและความต้องการในการปฏิบัติงานของสำนักงานสามัญศึกษาจังหวัด โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน

4. ผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ศึกษานิเทศก์ และหัวหน้ากลุ่มงานที่มีประสบการณ์ในตำแหน่งที่บริหารงานแตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อสภาพปัญหาและความต้องการในการปฏิบัติงานของสำนักงานสามัญศึกษาจังหวัด โดยรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน

ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมสรุปได้ดังนี้

1. ด้านการวางแผนงาน สภาพที่เป็นปัญหามากที่สุด คือ บุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านการวางแผนงานมีความรู้ความเข้าใจด้านการวางแผนน้อย สำหรับความต้องการในการปฏิบัติงานมากที่สุด คือ เปิดโอกาสให้โรงเรียน กลุ่มโรงเรียน สหวิทยาเขต มีส่วนร่วมในการวางแผนพัฒนาการศึกษาของสำนักงานสามัญศึกษาจังหวัด

2. ด้านการบริการ สภาพที่เป็นปัญหามากที่สุด คือ เจ้าหน้าที่สำนักงานสามัญศึกษาจังหวัดขาดทักษะในการให้บริการ สำหรับความต้องการในการปฏิบัติงานมากที่สุด คือ การปรับปรุงระบบสื่อสารและบริการให้สะดวกรวดเร็ว

3. ด้านการประสานงาน สภาพที่เป็นปัญหามากที่สุด คือ ระบบการสื่อสารที่ใช้ในปัจจุบันไม่มีคุณภาพ สำหรับความต้องการในการปฏิบัติงานมากที่สุด คือ พัฒนาบุคลากรให้มีทักษะในการบริการและประสานงาน

4. ด้านการติดตามและประเมินผล สภาพที่เป็นปัญหามากที่สุด คือ ขาดการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง สำหรับความต้องการในการปฏิบัติงานมากที่สุด คือ กำหนดให้มีแผนงานติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานโดยเฉพาะ

ชื่อเรื่อง ศึกษาสภาพและความคาดหวังการปฏิบัติงานตามแนวทางมาตรฐานวิชาชีพ

ของข้าราชการครู สังกัดกรม สามัญศึกษาจังหวัดนครพนม

ผู้วิจัย นายวิทยา วะชุม (2543)

ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนนาหว้าพิทยาคม อ. นาหว้า จ. นครพนม 48180

กรรมการควบคุม อาจารย์ ดร.ศิกานต์ เพียรธัญญกรณ์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นิตยา นวลนิ่ม

การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษาความคิดเห็นของข้าราชการครูสายผู้สอนที่ดำรงตำแหน่งอาจารย์ 1 อาจารย์ 2 และอาจารย์ 3 สังกัดกรมสามัญศึกษาจังหวัดนครพนมตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู พุทธศักราช 2537 ดังนี้

1. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบสภาพการปฏิบัติงานจริงของข้าราชการครู สังกัดกรมสามัญศึกษาจังหวัดนครพนม ตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู พุทธศักราช 2537

2. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคาดหวังในการปฏิบัติงานของข้าราชการครู สังกัดกรมสามัญศึกษาจังหวัดนครพนม ตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู พุทธศักราช 2537

3. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบลักษณะมาตรฐานของการปฏิบัติงานจริงและความคาดหวังในการปฏิบัติงาน ของข้าราชการครูที่ดำรงตำแหน่ง อาจารย์ 1 อาจารย์ 2 และอาจารย์ 3 สังกัดกรมสามัญศึกษาจังหวัดนครพนม ตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู พุทธศักราช 2537

4. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการปฏิบัติงานจริง และความคาดหวังในการปฏิบัติงานของข้าราชการครูสังกัดกรมสามัญศึกษาจังหวัดนครพนม ตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู พุทธศักราช 2537

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นข้าราชการครูจำนวน 266 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ใช้แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า มีค่าความเชื่อมั่น 0.99 การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตราฐาน สถิติเปรียบเทียบใช้ค่า F-Test สถิติทดสอบรายคู่ ใช้วิธีของ Scheffe’ และ LSD และหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สัน

ผลการวิจัยพบว่า

1. ข้าราชการครู สังกัดกรมสามัญศึกษาจังหวัดนครพนม มีการปฏิบัติงานจริงตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู พุทธศักราช 2537 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก

2. ข้าราชการครู สังกัดกรมสามัญศึกษาจังหวัดนครพนม มีความคาดหวังในการปฏิบัติงาน ตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู พุทธศักราช 2537 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก

3. ข้าราชการครู สังกัดกรมสามัญศึกษาจังหวัดนครพนม ที่มีสถานภาพการดำรงตำแหน่งต่างกัน มีการปฏิบัติงานจริงตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู พุทธศักราช 2537 โดยภาพรวม ไม่แตกต่างกัน

4. ข้าราชครู สังกัดกรมสามัญศึกษาจังหวัดนครพนม ที่มีสถานภาพการดำรงตำแหน่งต่างกัน มีความคาดหวังในการปฏิบัติงานตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู พุทธศักราช 2537 โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน

5. ข้าราชการครู สังกัดกรมสามัญศึกษาจังหวัดนครพนม มีการปฏิบัติงานจริงตามลักษณะมาตรฐาน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ซึ่งมีลักษณะมาตรฐานขั้นต้นและลักษณะมาตรฐานขั้นกลางอยู่ในระดับมาก ส่วนลักษณะมาตรฐานขั้นสูงอยู่ระดับปานกลาง

6. ข้าราชการครู สังกัดกรมสามัญศึกษาจังหวัดนครพนม มีความคาดหวังในการปฏิบัติงานตามลักษณะมาตรบาน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ซึ่งมีลักษณะมาตรฐานขั้นต้น ลักษณะมาตรฐานขั้นกลาง และลักษณะมาตรฐานขั้นสูงอยู่ในระดับมาก

7. ข้าราชการครู สังกัดกรมสามัญศึกษาจังหวัด มีการปฏิบัติงานตามลักษณะมาตรฐาน โดยภาพรวมไม่แตกต่างจากความคาดหวังในการปฏิบัติงาน

8. การปฏิบัติงานจริงขิงข้าราชการครู สังกัดกรมสามัญศึกษาจังหวัดนครพนมตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู พุทธศักราช 2537 มีความสัมพันธ์กันทางบวกกับความคาดหวังในการปฏิบัติงานอย่างที่นัยสำคัญทางสถิติที่ทระดับ .01

ชื่อเรื่อง ปัญหาการปฏิบัติงานพัสดุในสถานศึกษาของรัฐบาล

สังกัดกระทรวงศึกษาธิการในจังหวัดสกลนคร

ผู้วิจัย นายวิรุณ ศิลป์สาย (2543)

อาจารย์ 2 ระดับ 7 โรงเรียนบ้านหนองพอกน้อย อ. คำตากล้า จ. สกลนคร 47250

กรรมการควบคุม อาจารย์ ดร. ศิกานต์ เพียรธัญญกรณ์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นิตยา นวลนิ่ม

การวิจัยนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัญหาการพัสดุ ของผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ และเจ้าหน้าที่พัสดุ ของสถานศึกษารัฐบาล ที่สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ในจังหวัดสกลนคร เพื่อเปรียบเทียบระดับปัญหาการปฏิบัติงานพัสดุ ของผู้บริหารสถานศึกษาหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ และเจ้าหน้าที่พัสดุของสถานศึกษารัฐบาลที่สังกัดกระทรวงศึกษาธิการในจังหวัดสกลนคร ตลอดจนสถานศึกษาของรัฐบาลที่เปิดสอนระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษาในจังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา เป็นข้าราชการครูที่ราบผิดชอบงานพัสดุ แบ่งเป็นผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ เจ้าหน้าที่พัสดุของสถานศึกษารัฐบาล สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ในจังหวัดสกลนคร ปีการศึกษา 2543 จำนวน 360 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติงานพัสดุตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2541 แบ่งเป็น 2 หมวด คือ หมวดการจัดหา และหมวดควบคุมและจำหน่าย การวิเคราะห์ ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ F-test

ผลการวิจัยพบว่า

1. ปัญหาการปฏิบัติงานพัสดุ ของผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้าเจ้าที่พัสดุ เจ้าหน้าที่พัสดุ โดยรวมระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นหมวดพบว่า หมวดการจัดหาและหมวดการควบคุมและจำหน่าย อยู่ในระดับปานกลาง

1.1 ปัญหาการปฏิบัติงานพัสดุ ของผู้บริหารสถานศึกษา ในสถานศึกษาที่เปิดสอนระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ระดับอุดมศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง

1.2 ปัญหาการปฏิบัติงานพัสดุของหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ ในสถานศึกษาที่เปิดสอนระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ระดับอุดมศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง

1.3 ปัญหาปฏิบัติงานพัสดุของเจ้าหน้าที่พัสดุ ในสถานศึกษาที่เปิดสอน ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ระดับอุดมศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง

2. ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ เจ้าหน้าที่พัสดุ ของสถานศึกษารัฐบาล สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ในจังหวัดสกลนคร มีระดับปัญหาการปฏิบัติงานพัสดุโดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน

3. สถานศึกษารัฐบาลที่สังกัดกระทรวงศึกษาธิการในจังหวัดสกลนคร ที่เปิดสอนระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ระดับอุดมศึกษามีปัญหาการปฏิบัติงานพัสดุโดยส่วนรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน

ชื่อเรื่อง การศึกษาการบริหารงานของหัวหน้าหอผู้ป่วยในโรงพยาบาลทั่วไป

และโรงพยาบาลชุมชน สังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสกลนคร

ชื่อผู้วิจัย นางทวิชติยา มาลัยกรอง (2543)

ผู้ช่วยหัวหน้ากลุ่มงานการพยาบาลด้านพัฒนาบุคลากร กลุ่มงานการพยาบาล

โรงพยาบาลสกลนคร อ. เมือง จ.สกลนคร 47000

กรรมการควบคุม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ประสิทธิ์ กองสาสนะ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. พนมพร จินดาสมุทร์

อาจารย์ ดร.ศิกานต์ เพียรธัญญกรณ์

การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาบทบาทการบริหารงานในตำแหน่งหัวหน้าหอผู้ป่วยในโรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลชุมชน สังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสกลนคร ตามการรับรู้ของหัวหน้าหอผู้ป่วยและพยาบาลประจำการ กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาคือหัวหน้าหอผู้ป่วยและพยาบาลประจำการในโรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลชุมชน จำนวน 222 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามที่ได้ผ่านการตรวจสอบควมตรงตามเนื้อหาและได้ค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.97 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่า ความถี่ ร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าสถิติที (t-test ชนิด Independent Samples) และทดสอบความแปรปรวนทางเดียว (F–test ชนิด One ANOVA) และทำการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยรายคู่ตามวิธีการของ Sheffe

ผลการวิจัยพบว่า

1. หัวหน้าหอผู้ป่วย และพยาบาลประจำการในโรงเรียนทั่วไปและโรงพยาบาลชุมชนมีการรับรู้ บทบาทการบริหารงานในตำแหน่งหัวหน้าหอผู้ป่วย โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านการจัดระบบงาน ด้านการอำนวยการ ด้านการควบคุม ด้านการบริการ ด้านวิชาการ มีการรับรู้อยู่ในระดับมาก สำหรับ ด้านการวางแผน มีการรับรู้อยู่ในระดับปานกลาง

2. พยาลบาลประจำการในโรงพยาบาลทั่วไปและพยาบาลประจำการในโรงพยาบาลชุมชชนมีการรับรู้บทบาทการบริหารงานในตำแหน่งหัวหน้าหอผู้ป่วย โดยรวมและเป็นรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยโรงพยาบาลประจำการในโรงพยาบาลทั่วไปมีการรับรู้บทบาทการ บริหารงานในตำแหน่งหัวหน้าหอผู้ป่วย โดยรวมสูงกว่า พยาบาลประจำการในโรงพยาบาลประจำการในโรงพยาบาลชุมชน

3. หัวหน้าหอผู้ป่วยในโรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชนกับพยาบาลประจำการในโรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชชนมีการรับรู้บทบาทการบริหารงานในตำแหน่งหัวหน้าหอผู้ป่วยโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยหัวหน้าหอผู้ป่วยมีการรับรู้บทบาทการบริหารงานในตำแหน่งหัวหน้าหอผู้ป่วยโดยรวมสูงกว่าพยาบาลประจำการ เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่ามีการรับรู้ ด้านการบริการ ด้านการควบคุม ด้านการจัดระบบงาน ด้านการอำนวยการ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านวิชาการมีการรับรู้ไม่แตกต่างกัน

4. พยาบาลประจำการที่มีประสบการณ์ทำงานแตกต่างกัน มีการรับรู้บทบาทการบริหารงานในตำแหน่งหัวหน้าหอผู้ป่วย ไม่แตกต่างกัน

ชื่อเรื่อง การศึกษาเปรียบเทียบลักษณะพฤติกรรมผู้นำและประสิทธิผลการบริหารงานของ

ผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาดีเด่นและผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาทั่วไปสังกัด

สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร

ผู้วิจัย นายพิชัย ซ้ายประทุม (2543)

อาจารย์พิเศษแผนกคอมพิวเตอร์ วิทยาลัยสารพัดช่างสกลนคร

อ. เมือง จ.สกลนคร 47000

กรรมการควบคุม รองศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นิตยา นวลนิ่ม

การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบพฤติกรรมผู้นำมิติมิตรัสมพันธ์และมิติกิจสัมพันธ์และเปรียบเทียบระดับประสิทธิผลในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาดีเด่นกับโรงเรียนประถมศึกษาทั่วไป ตามความคิดเห็นของครูอาจารย์ผู้สอน สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้คือ ครูอาจารย์ผู้ปฏิบัติการสอนโรงเรียนประถมศึกษาดีเด่นและโรงเรียนประถมศึกษาทั่วไป จำนวน 432 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามพฤติกรรมผู้นำ LBDQ จำนวน 30 ข้อ และแบบสอบถามประสิทธิผลการบริหารงาน จำนวน 60 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบน-มาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยค่าที่( t-test ) และค่าเอฟ (F-test ; One Way ANOVA )

ผลการวิจัยพบว่า

1. ระดับประสิทธิผลของการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาดีเด่น และโรงเรียนประถมศึกษาทั่วไป ตามความคิดเห็นของครูอาจารย์สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา จังหวัดสกลนคร พบว่าอยู่ในระดับมาก

2. ระดับประสิทธิผลของการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาดีเด่นกับโรงเรียนประถมศึกษาทั่วไปตามความคิดเห็นของครูอาจารย์สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา จังหวัดสกลนคร พบว่าไม่แตกต่างกัน

3. ระดับประสิทธิผลการบริหารงานของผู้บริหารดรงเรียนประถมศึกษาตามความคิดเห็นของครูอาจารย์ผู้สอน ทีมีความแตกต่างกันทางเพศ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการปฏิบัติงานสอน และขนาดโรงเรียน พบว่ามีความเห็นแตกต่างกันเฉพาะในด้านประสบการณ์ในการปฏิบัติการสอนและด้านขนาดโรงเรียนที่แตกต่างกัน นั่นคือ ครูอาจารย์ที่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานสอน ต่ำกว่า 5 ปี กับครูอาจารย์ที่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานสอน 11 ปี ขึ้นไป แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และโรงเรียนขนาดกลางกับขนาดใหญ่ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

4. พฤติกรรมผู้นำมิติมิตรสัมพันธ์ และมิติกิจสัมพันธ์ของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาดีเด่นและผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาทั่วไป ตามความคิดเห็นของครู อาจารย์สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร พบว่าอยู่ในระดับมาก

5. ระดับประสิทธิผลในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนที่มีพฤติกรรมมิติมิตรสัมพันธ์กับมิติกิจสัมพันธ์ ตามความคิดเห็นของครูอาจารย์สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร พบว่าไม่แตกต่างกัน

6. พฤติกรรมผู้นำมิติมิตรสัมพันธ์และมิติกิจสัมพันธ์ของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาดีเด่นกับผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาทั่วไป ตามความคิดเห็นของครู อาจารย์ผู้สอนสังกัดงานการประถมศึกษา

จังหวัดสกลนคร พบว่าไม่แตกต่างกัน

7. พฤติกรรมผู้นำมิติมิตรสัมพันธ์ และมิติกิจสัมพันธ์ของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร ที่มีเพศ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการปฏิบัติงานสอน และขนาดโรงเรียนแตกต่างกัน ปรากฏ ดังนี้

7.1 พฤติกรรมผู้นำมิติมิตรสัมพันธ์ของผู้บริหารโรงเรียนประถมศีกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร ที่มีความแตกต่างกันทางด้าน เพศ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการปฏิบัติงานสอน และขนาดโรงเรียน พบว่าไม่แตกต่างกัน

7.2 พฤติกรรมผู้นำมิติกิจสัมพันธ์ของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร ที่มีความแตกต่างกันทางด้านเพศ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการปฏิบัติงานสอน และขนาดโรงเรียน พบมีความเห็นแตกต่างกันเฉพาะในด้านขนาดโรงเรียนที่แตกต่างกัน นั่นคือความเห็นของครูอาจารย์ที่สังกัดโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กกับขนาดกลาง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

ชื่อเรื่อง การศึกษาสภาพและปัญหาการบริหารงานโรงเรียนปฏิรูปการศึกษา ในสังกัดสำนักงาน

การประถมศึกษาจังหวัดนครพนม

ผู้วิจัย นายสมชัย เต็มสิรินันท์ (2543)

นักวิชาการ 7 ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายบริการการศึกษา

สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดนครพนม อ. เมือง จ. นครพนม 48000

กรรมการควบคุม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วัฒนา สุวรรณไตรย์

อาจารย์ ดร.ศิกานต์ เพียรธัญญกรณ์

การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพและปัญหาการบริหารงาน โรงเรียนปฏิรูปการศึกษา ในสังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดนครพนม ตามความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและครู-อาจารย์ ที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนปฏิรูปการศึกษาตามนโยบายการปฏิรูปการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ใน 4 ด้าน คือ การปฏิรูปโรงเรียนและสถานศึกษา การปฏิรูปครูและบุคลากรทางการศึกษา การปฏิรูปหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอนและการปฏิรูประบบบริหารการศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารโรงเรียนปฏิรูปการศึกษา จำนวน 149 คน และครู-อาจารย์ ที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนปฏิรูปการศึกษา จำนวน 340 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) จำนวน 50 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่น 0.97 และแบบสอบถามชนิดปลายเปิดสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมุติฐานใช้สถิติ t-test ชนิด Independent Samples และ F-test ชนิด One Way ANOVA

ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า

1. สภาพการบริหารงานโรงเรียนปฏิรูปการศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีสภาพการบริหารงานอยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน ยกเว้นด้านการปฏิรูปโรงเรียนและสถานศึกษามีสภาพการบริหารงานอยู่ในระดับมาก

2. ปัญหาการบริหารงานโรงเรียนปฏิรูปการศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน เรียงตามลำดับจากมากไปหาน้อย คือการปฏิรูปหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอน การปฏิรูปครู

และบุคลากรทางการศึกษา การปฏิรูประบบ บริหารการศึกษา และการปฏิรูปโรงเรียนและสถานศึกษา

3. ผู้บริหารโรงเรียนและครู-อาจารย์ ที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนปฏิรูปการศึกษา มีความคิดเห็นต่อสภาพและปัญหาในการบริหารงาน โดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

4. ผู้บริหารโรงเรียนและครู-อาจารย์ ที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนปฏิรูปการศึกษา ที่มีขนาดต่างกัน มีความคิดเห็นต่อสภาพและปัญหาการบริหารงาน โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน ยกเว้นด้านการปฏิรูปโรงเรียนและสถานศึกษา มีความคิดเห็นต่อปัญหาการบริหารงานแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

ชื่อเรื่อง การศึกษาประสิทธิผลการจัดบริการแนะแนวในโรงเรียนประถมศึกษา

สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร

ผู้วิจัย นายเทพรังสรรค์ จันทรังษี (2544)

ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านพานสหราษฎร์บำรุง ต. ขมิ้น อ. เมือง จ.สกลนคร 47220

กรรมการควบคุม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วัฒนา สุวรรณไตรย์

อาจารย์ ดร.ศิกานต์ เพียรธัญญกรณ์

งานวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลและปัญหาการจัดบริการแนะแนวในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร ใน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านบริการศึกษาและรวบรวมข้อมูล ด้านบริการสนเทศ ด้านบริการให้คำปรึกษา ด้านบริการจัดวางตัวบุคคล และด้านบริการติดตามและประเมินผล และเปรียบเทียบระดับ ประสิทธิผลและระดับปัญหาการจัดบริการแนะแนวตามความคิดเห็นของครูผู้ประสานงานแนะแนวในโรงเรียนประถมศึกษาที่ขยายโอกาสทางการศึกษากับโรงเรียนประถมศึกษาที่ไม่ขยายโอกาสทางการศึกษากลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูผู้ประสานงานแนะแนวในโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร จำนวนทั้งสิ้น 237 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า จำนวน 56 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบนัยสำคัญของความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ย โดยใช้ t - test ชนิด Independent Samples

ผลการวิจัยพบว่า

1. ครูผู้ประสานงานแนะแนวมีความคิดเห็นต่อระดับประสิทธิผลการจัดบริการแนะแนวในโรงเรียนประถมศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับปานกลาง

2. ครูผู้ประสานงานแนะแนวมีความคิดเห็นต่อระดับปัญหาการจัดบริการแนะแนว ในโรงเรียนประถมศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับปานกลาง

3. ครูผู้ประสานงานแนะแนวในโรงเรียนประถมศึกษาที่ขยายโอกาสทางการศึกษากับโรงเรียนประถมศึกษาที่ไม่ขยายโอกาสทางการศึกษา มีความคิดเห็นต่อระดับประสิทธิผลการจัดบริการแนะแนว โดยรวมไม่แตกต่างกัน แต่มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จำนวน 3 ด้าน คือ ด้านบริการสนเทศ ด้านบริการให้คำปรึกษา และด้านบริการจัดวางตัวบุคคล ส่วนด้านบริการศึกษาและรวบรวมข้อมูล และด้านบริการติดตามและประเมินผลมีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน

4. ครูผู้ประสานงานแนะแนวในโรงเรียนประถมศึกษาที่ขยายโอกาสทาง การศึกษากับโรงเรียนประถมศึกษาที่ไม่ขยายโอกาสทางการศึกษา มีความคิดเห็นต่อระดับปัญหาการจัดบริการแนะแนว โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน

ชื่อเรื่อง พฤติกรรมการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาที่พึงประสงค์ ตามความคิดเห็นของครู-

อาจารย์ ในสถานศึกษาสังกัดกองวิทยาลัยเทคนิค กรมอาชีวศึกษา เขตการศึกษา 9

ผู้วิจัย นายสรศิลป์ นันตสุข (2544)

ผู้ช่วยผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคสกลนคร อ. เมือง จ. สกลนคร 47000

กรรมการควบคุม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นิตยา นวลนิ่ม

อาจารย์วาโร เพ็งสวัสดิ์

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาที่พึงประสงค์ 2) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการบริหารที่พึงประสงค์ และ 3) เพื่อศึกษาอำนาจการทำนายขององค์ประกอบของลักษณะผู้บริหารสถานศึกษาที่พึงประสงค์ ตามความคิดเห็นของ ครู-อาจารย์ ในสถานศึกษาสังกัดกองวิทยาลัยเทคนิค กรมอาชีวศึกษา เขตการศึกษา 9 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครู-อาจารย์ ที่ปฏิบัติงาน ในสถานศึกษาสังกัดกองวิทยาลัยเทคนิค กรมอาชีวศึกษา เขตการศึกษา 9 จำนวน 232 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่าจำนวน 56 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ค่าสหสัมพันธ์อย่างง่าย และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแต่ละขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า

1. ครู-อาจารย์ ที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาสังกัดกองวิทยาลัยเทคนิค กรมอาชีวศึกษา เขตการศึกษา 9 มีความคิดเห็นต่อพฤติกรรมกรรมการบริหารที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อเรียงลำดับตามค่าคะแนนเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยของแต่ละด้านได้แก่ ด้านบุคลิกภาพ ด้านคุณธรรม ด้านความสามารถในการปฏิบัติงาน และด้านวิชาการ

2. ครู-อาจารย์ที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาสังกัดกองวิทยาลัยเทคนิคกรมอาชีวศึกษา เขตการศึกษา 9 ที่มีความแตกต่างกันด้าน เพศ วุฒิการศึกษา ตำแหน่งงาน แลประสบการณ์การปฏิบัติงาน มีความคิดเห็นต่อพฤติกรรมการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาที่พึงประสงค์ ดังนี้

2.1 ครู-อาจารย์ เพศ ชายและเพศหญิง มีความคิดเห็นต่อพฤติกรรมกาบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาที่พึงประสงค์ ไม่แตกต่างกัน

2.2 ครู-อาจารย์ ที่มีวุฒิการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีและปริญญาตรี หรือสูงกว่า มีความคิดเห็นต่อพฤติกรรมการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาที่พึงประสงค์ไม่แตกต่างกัน

2.3 ครู-อาจารย์ ที่เป็นครู-อาจารย์ผู้สอนและหัวหน้างาน มีความคิดเห็นต่อพฤติกรรมการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01โดย หัวหน้างาน มีระดับความคิดเห็นมากกว่า ครู-อาจารย์ ผู้สอน

2.4 ครู-อาจารย์ ที่มีประสบการณ์การปฏิบัติงานต่ำกว่า 5 ปี ตั้งแต่ 5-10 ปี และมากกว่า 10 ปี มีความคิดเห็นต่อพฤติกรรมการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาที่พึงประสงค์ ไม่แตกต่างกัน

3. คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาที่พึงประสงค์ ด้านความสามารถในการปฏิบัติงาน ด้านบุคลิกภาพ ด้านวิชาการ และด้านคุณธรรม สามารถพยากรณ์พฤติกรรมการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาที่พึงประสงค์ ตามความคิดเห็นของ ครู-อาจารย์ ในสถานศึกษาสังกัดกองวิทยาลัยเทคนิค กรมอาชีวศึกษา เขตการศึกษา 9 ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ร่วมกันอธิบาย

ความแปรปรวนของพฤติกรรมการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาที่พึงประสงค์ได้ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์พหุคูณ 1.00 มีอำนาจการพยากรณ์ร้อยละ 100 และมีความคลาดเคลื่อนของการพยากรณ์ ? 1.6 ? 10^-8

ชื่อเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างคุณธรรมและประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้บริหาร

โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร

ผู้วิจัย นายบัญชา เจริญชัย (2544)

ผู้อำนวยการโรงเรียนพรรณาวุฒาจารย์ อ. พรรณานิคม จ. สกลนคร 47130

กรรมการควบคุม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วัฒนา สุวรรณไตรย์

อาจารย์ ดร. ศิกานต์ เพียรธัญญกรณ์

การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ

1. ศึกษาระดับคุณธรรมของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร

2. เปรียบเทียบคุณธรรมของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนในโรงเรียน ที่มีขนาดต่างกัน

3. ศึกษาระดับประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร

4. เปรียบเทียบประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร ตามความคิดเห็นของผู้บริหารแล ครูผู้สอนในโรงเรียนที่มีขนาดต่างกัน

5. ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณธรรมกับประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร

6. เปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนที่มีต่อคุณธรรมของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร

7. เปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอน ที่มีต่อประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร

8. ศึกษาอำนาจการพยากรณ์คุณธรรมกับประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียน ผู้ช่วยผู้บริหารโรงเรียนหรือหัวหน้าฝ่ายและครูผู้สอน รวม 448 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับคุณธรรม และ ประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา จำนวน 97 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย ()ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน t-test (Independent Samples) F-test วิธีของ Scheffe^/และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ

ผลการวิจัยพบว่า

1. ระดับคุณธรรมของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าคุณธรรมในการครองตน คุณธรรมในการครองงานและคุณธรรมในการครองคน อยู่ในระดับสูง

2. ระดับประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร ในภาพรวมอยู่ในระดับสูง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่างานทั้ง 7 ด้าน อยู่ในระดับสูง ได้แก่ งานธุรการ งานวิชาการ การบริหารทั่วไป งานปกครอง งานบริการ โรงเรียนกับชุมชน และงานบริหารอาคารสถานที่

3. ผู้บริหารและครูผู้สอนที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนที่มีขนาดแตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อคุณธรรมของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร ในภาพรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า คุณธรรมในการครองตนและคุณธรรมในการครองงาน มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน ส่วนคุณธรรมในการครองคนมีความคิดเห็นแตกต่างกัน

4. ผู้บริหารและครูผู้สอนที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนที่มีขนาดแตกต่างกันมีความคิดเห็นต่อประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร ในภาพรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าการบริหารทั่วไป งานธุรการ งานวิชาการ งานปกครอง งานบริการและงานบริหารอาคารสถานที่ มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน ส่วนความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารงานด้านโรงเรียนกับชุมชน มีความคิดเห็นแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

5. คุณธรรมและประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร มีความสัมพันธ์กันในทางบวกอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01

6. ผู้บริหารกับครูผู้สอนมีความคิดเห็นต่อคุณธรรมของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร ทั้งภาพรวมและรายด้าน แตกต่างกัน โดยคุณธรรมของผู้บริหารโรงเรียนในภาพรวมและรายด้านตามความคิดเห็นของผู้บริหาร งกว่าคุณธรรมของผู้บริหารโรงเรียนในภาพรวมและรายด้านตามความคิดเห็นของครูผู้สอน

7. ผู้บริหารกับครูผู้สอนมีความคิดเห็นต่อประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนมัธยม ศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร ทั้งภาพรวมและรายด้านแตกต่างกัน โดยประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนในภาพรวมและรายด้าน ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสูงกว่าประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนในภาพรวมและรายด้านตามความคิดเห็นของครูผู้สอน

8. คุณธรรมของผู้บริหารโรงเรียนที่สามารถพยากรณ์ประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้บริหาร โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ .05 รวม 2 ด้าน ได้แก่ คุณธรรมในการครองงานและคุณธรรมในการครองคน

ชื่อเรื่อง การศึกษาสภาพและปัญหาการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัด

กรมสามัญศึกษา ในจังหวัดสกลนคร

ผู้วิจัย นายยงค์ยุทธ เขื่อนขันธ์ (2544)

อาจารย์ใหญ่โรงเรียนท่าสงครามวิทยา ต. ท่าก้อน อ. อากาศอำนวย

จ. สกลนคร 47170

กรรมการควบคุม รองศาสตราจารย์ ดร. ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รังสรรค์ บุษยะมา

การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อกี่ศึกษาและเปรียบเทียบสภาพและปํญหาการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในจังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริหารโรงเรียน จำนวน 210 คน และครูผู้สอน จำนวน 168คน การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป SPSS เพื่อหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติโดยใช้ t-test และ F-test

ผลการวิจัยพบว่า

1. สภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษาจังหวัดสกลนคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทักด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการวัดผลการประเมินผลการเรียนและงานทะเบียนนักเรียน ด้านการวางแผนงานวิชาการ ด้านการประเมินผลงานวิชาการ ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านการดำเนินงานทางวิชาการและด้านการพัฒนาและส่งเสริมงานวิชาการ

2. ปัญหาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษาในจังหวัดสกลนคร โดยภาพรวมพบว่า อยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการดำเนินงานทางวิชาการ ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านการวางแผนงานวิชาการ ด้านการพัฒนาและ ส่งเสริมงานวิชาการด้านการประเมินผลงานวิชาการ ด้านการวัดผลประเมินผลการเรียนและงานทะเบียนนักเรียน

3. ผลการเปรียบเทียบสภาพการบริงานวิชาการของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในจังหวัดสกลนคร ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและผู้สอนโดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านการดำเนินงานทางวิชาการ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

4. ผลการเปรียบเทียบปัญหาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ในจังหวัดสกลนคร ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอน โดยภาพรวมและรายด้าน พบว่า ไม่แตกต่างกัน

5. ผลการเปรียบเทียบสภาพการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ขนากใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก ในจังหวัดสกลนคร โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดกลางและขนาดใหญ่มีสภาพการบริหารงานวิชาการ มากกว่าโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดกลางและขนาดใหญ่ ไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการพัฒนาและส่งเสริมงานวิชาการไม่แตกต่างกัน

6. ผลการเปรียบเทียบปัญหาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก ในจังหวัดสกลนคร โดยภาพรวม พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก มีปัญหาการบริหารงานวิชาการ มากกว่าโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนโรงเรียนมัธยมศึกษาขนากเล็กกับขนาดใหญ่และโรงเรียนมัธยมศึกษาขนากใหญ่กับขนาดกลางไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการดำเนินงานทางวิชาการ ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านการพัฒนาและส่งเสริมงานวิชาการ ไม่แตกต่างกัน

ชื่อเรื่อง การศึกษาความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนที่มีต่อความสำเร็จในการบริหาร

โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร

ผู้วิจัย นายอรรถกร สุขบรรเทิง (2544)

ผู้อำนวยการโรงเรียนกุดเรือคำพิทยาคาร อ. วานรนิวาส จ. สกลนคร 47120

กรรมการควบคุม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนมพร จินดาสมุทร์

อาจารย์ ดร.ศิกานต์ เพียรธัญญกรณ์

การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนที่มีต่อความสำเร็จในการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร (2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนที่มีต่อความสำเร็จในการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร (3) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนที่มีขนาดแตกต่างกันที่มีต่อความสำเร็จในการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร (4) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของความสำเร็จในการบริหารงานโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอนที่ปฏิบัติงานอยู่ในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร ปีการศึกษา 2543 จำนวน 468 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยใช้กรอบแนวคิดตามกระบวนการและขอบข่ายของการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา เกณฑ์มาตรฐานโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา พ.ศ.2530 สำหรับสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานค่า t-test และค่า F-test และการหาค่าสหสัมพันธ์อย่างง่าย

ผลการวิจัยพบว่า

1. ผู้บริหารและครูผู้สอนมีความคิดเห็นต่อความสำเร็จในการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมาก 1 ด้าน คือ ด้านวิชาการ สำหรับด้านอื่น ๆ อยู่ในระดับปานกลางโดยผู้บริหารมีความคิดเห็นต่อความสำเร็จในการบริหารอยู่ในระดับมาก ครูผู้สอนมีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง

2. การเปรียบเทียบความสำเร็จในการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร พบว่าผู้บริหารและครูผู้สอนมีความคิดเห็นต่อความสำเร็จในการบริหาร โรงเรียนโดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยผู้บริหารมีความคิดเห็นต่อความสำเร็จในการบริหารสูงกว่าความคิดเห็นของครูผู้สอน

3. การเปรียบเทียบความสำเร็จในการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนที่ปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียนที่มีขนาดต่างกัน โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เมื่อทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่พบว่า โรงเรียนขนาดใหญ่และโรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนขนาดใหญ่และโรงเรียนขนาดกลางแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05เมื่อเปรียบเทียบเป็นรายด้านพบว่า ด้านการบริหารทั่วไป และด้านวิชาการมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สำหรับด้านงานบริการและด้านการบริหารอาคารสถานที่ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

4. การเปรียบเทียบความสำเร็จในการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร ตามความคิดเห็นของผู้บริหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียนที่มีขนาดต่างกัน โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่พบว่าโรงเรียนขนาดใหญ่และโรงเรียนขนาดเล็กแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อเปรียบเทียบเป็นรายด้านพบว่า ด้านการบริหารทั่วไป ด้านงานวิชาการและด้านบริการมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

5. การเปรียบเทียบความสำเร็จในการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร ตามความคิดเห็นของครูผู้สอนที่ปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียนที่มีขนาดต่างกัน โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่พบว่าโรงเรียนขนาดใหญ่และโรงเรียนขนาดกลาง โรงเรียนขนาดใหญ่และโรงเรียนขนาดเล็กแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อเปรียบเทียบเป็นรายด้านพบว่าด้านการบริหารทั่วไป และด้านงานวิชาการมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สำหรับด้านงานบริการ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

6. ความสัมพันธ์ตามคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนที่มีต่อความสำเร็จในการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสกลนคร ในด้านการบริหารงานทั้ง 7 ด้าน โดยรวมและรายด้านพบว่า มีความสัมพันธ์ทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

ชื่อเรื่อง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบรรยากาศในองค์การโรงเรียนประถมศึกษา

และประสิทธิผลการดำเนินงานของโรงเรียนประถมศึกษา

ผู้วิจัย นายมานพ ขันติยะชัย (2544)

อาจารย์ใหญ่โรงเรียนบ้านท่างาม ต.หนองบัวสิม อ.คำตากล้า จ.สกลนคร 47250

กรรมการควบคุม รองศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร

รองศาสตราจารย์ พชร มีกลาง

การศึกษาวิจัยนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาลักษณะของบรรยากาศในองค์การเรียนประถมศึกษาและระดับประสิทธิผลการดำเนินงานของโรงเรียนประถมศึกษา และเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างบรรยากาศในองค์การเรียนประถมศึกษาและประสิทธิผลการดำเนินงานของโรงเรียนประถมศึกษาตามขนาดโรงเรียน

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ คือ ครูอาจารย์ จำนวน 366 คน จาก 235 โรงเรียน ได้มาจากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) จำนวน 2 ฉบับ คือ 1) แบบสอบถามวัดบรรยากาศในองค์การโรงเรียนประถมศึกษา มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .97 และ 2) แบบสอบถามวัด ประสิทธิผลการดำเนินงานของโรงเรียนประถมศึกษา มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .92

สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตราฐาน (S.D.) ค่าคะแนนที (T-scores) ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (r) วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (F-test ; one way ANOVA)

ผลการวิจัยพบว่า

ลักษณะบรรยากาศในองค์การโรงเรียนประถมศึกษาโดยรวม และโรงเรียนขนาดเล็ก ขนาดกลาง พบว่าเป็นบรรยากาศแบบแจ่มใสหรือแบบเปิด(The Opened Climate)

2. ประสิทธิผลดำเนินงานของโรงเรียนประถมศึกษาโดยรวม โรงเรียนขนาดเล็กขนาดกลาง และขนาดใหญ่ พบว่า อยู่ในระดับปานกลาง

3. ความสัมพันธ์ระหว่างบรรยากาศในองค์การโรงเรียนประถมศึกษา และประสิทธิผลการดำเนินงานของโรงเรียนประถมศึกษา พบว่า โดยรวมมีความสัมพันธ์กันในทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนโรงเรียนขนาดเล็กไม่มีความสัมพันธ์กัน แต่โรงเรียนขนาดกลางมีความสัมพันธ์กันในทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และโรงเรียนขนาดใหญ่มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

การเปรียบเทียบบรรยากาศในองค์การโรงเรียนประถมศึกษา ทั้ง 8 มิติและบรรยากาศรวมในโรงเรียนขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ พบว่า มิติขาดความสามัคคี มิติอุปสรรค มิติขวัญ มิติเป็นแบบอย่าง มิติกรุณาปรานี และบรรยากาศรวมไม่แตกต่างกัน แต่มิติมิตรสัมพันธ์ และมิติมุ่งผลงาน พบว่า แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมิติห่างเหิน พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

5. การเปรียบเทียบประสิทธิผลการดำเนินงานของโรงเรียนประถมศึกษา ทั้ง 3 ด้าน และประสิทธิผลรวมในโรงเรียนขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ พบว่า ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านปัจจัยกระบวนการ ด้านปัจจัยผลผลิต และประสิทธิผลรวมไม่แตกต่างกัน

ชื่อเรื่อง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานกับความสำเร็จ

ในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษา

จังหวัดสกลนคร

ผู้วิจัย นายสุเนตร์ หัสขันธ์ (2544)

ครูใหญ่โรงเรียนบ้านหนองขุ่น ต.นาคำ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร 47120

กรรมการควบคุม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุเทพ การุณย์ลัญจกร

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นิตยา นวลนิ่ม

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานกับความสำเร็จในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร จำนวน 233 คน ซึ่งกลุ่มตัวอย่างดังกล่าวได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Random Sampling) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่า เบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ

ผลการวิจัยพบว่า

ระดับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนครทั้งโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับสูง

2. ผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการปรถมศึกษาจังหวัดสกลนครที่มีอายุและประสบการณ์การบริหารแตกต่างกัน มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานทั้งโดยรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน

3. ระดับความสำเร็จในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่ามี 5 ด้านอยู่ในระดับมาก ยกเว้นด้านงานวิชาการอยู่ในระดับปานกลาง

ผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนครที่มีระดับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานแตกต่างกันมีความสำเร็จในการบริหารงานทั้งโดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 และผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานระดับมากมีความสำเร็จในการบริหารงานทั้งโดยรวมและรายด้านมากกว่าผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานระดับปานกลาง
ความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานกับความสำเร็จในการบริหารงานของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร มีความสัมพันธ์กันในทางบวก อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 ทั้งโดยรวมและรายด้าน
แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานที่สามารถพยากรณ์ความสำเร็จในการบริหารงานโดยภาพรวมของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 รวม 2 ด้าน ได้แก่ ด้านการรู้จักการวางแผน และความกระตือรือร้น โดยมีอำนาจในการพยากรณ์ร้อยละ 28.0 และสามารถสร้างสมการพยากรณ์ความสำเร็จในการบริหารงานโดยภาพรวมของ ผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดสกลนคร ซึ่งอยู่ในรูปคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐาน ดังนี้

สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ

Y’ = 1.600+.296X₅+.253X₂

สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน

Z’_y= .323Z₅+.268Z₂

ชื่อเรื่อง การศึกษาระดับความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการประชาชน

ในสถานีตำรวจภูธร จังหวัดมุกดาหาร

ผู้วิจัย พันตำรวจโทสุชาติ นิลจินดา (2544)

สารวัตรธุรการ และกำลังพล ตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร อ. เมือง จ.มุกดาหาร 49000

กรรมการควบคุม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนมพร จินดาสมุทร์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สุเทพ การุณย์ลัญจกร

การวิจัยครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสถานีตำรวจภูธร จังหวัดมุกดาหาร และเพื่อเปรียบเทียบระดับความพึงพอใจของประชาชนที่มารับบริการในสถานีตำรวจภูธร จังหวัดมุกดาหารที่มีความแตกต่างกันในด้าน เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ สถานภาพทางเศรษฐกิจและที่ตั้งสถานีตำรวจที่ให้บริการ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ประชาชนที่มาใช้บริการในสถานีตำรวจภูธรอำเภอ ในจังหวัดมุกดาหาร จำนวน 5 สถานี และสถานีตำรวจภูธรตำบลในจังหวัดมุกดาหารจำนวน 5 สถานี รวมทั้งหมด 10 สถานี จำนวน 250 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (t-test)และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (one way analysis of variance)

ผลการวิจัยพบว่า

ประชาชนที่มาใช้บริการในสถานีตำรวจภูธร จังหวัดมุกดาหารมีความพึงพอใจ โดยรวม และรายด้านอยู่ในระดับปานกลาง เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านสถานที่ และด้านสาธารณูปโภค ด้านระยะเวลาในการดำเนินงานในการให้บริการ ด้านบริการของเจ้าหน้าที่ ด้านระดับของเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ และด้านคุณภาพของบริการที่ได้รับ
การเปรียบเทียบระดับความพึงพอใจของประชาชนที่มาใช้บริการในสถานีตำรวจภูธร จังหวัดมุกดาหาร พบว่า

ประชาชนที่มีเพศแตกต่างกัน มีความพึงพอใจต่อการให้บริการโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยเพศหญิงมีความพึงพอใจมากกว่าเพศชาย เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านสถานที่และสาธารณูปโภค ด้านระดับของเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการและด้านระดับคุณภาพของบริการ ที่ได้รับแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ประชาชนที่มีอายุแตกต่างกัน มีความพึงพอใจต่อการบริการโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยผู้ที่มีอายุไม่เกิน 20 ปีมีความพึงพอใจมากกว่าผู้ที่อายุมากกว่า 20 ปี เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านสถานที่และสาธารูปโภคด้านระดับของเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ ด้านคุณภาพของบริการที่ได้รับและด้านระยะเวลาในการดำเนินงานในการให้บริการแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ประชาชนที่มีสถานภาพทางเศรษฐกิจต่างกัน มีความพึงพอใจต่อการให้บริการโดยรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านระยะเวลาในการดำเนินงานในการให้บริการแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ประชาชนที่มาใช้บริการที่สถานีตำรวจมีที่ตั้งแตกต่างกันมีความพึงพอใจต่อการบริการโดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างน้อยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยผู้ที่ไปใช้บริการที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอมีความพึงพอใจมากกว่าผู้ที่ไปใช้บริการที่สถานีตำรวจภูธรตำบล
ประชาชนที่มีระดับการศึกษาต่างกันมีความพึงพอใจต่อการบริการโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยผู้ที่มีระดับการศึกษาระดับอนุปริญญา/ปวส./ปริญญตรี มีความพึงพอใจมากกว่าระดับมัธยมศึกษา/ปวช. และระดับประถมศึกษา
ประชาชนที่มีอาชีพต่างกันมีความพึงพอใจต่อการบริการโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยผู้ที่มีอาชีพเกษตรกรมีความพึงพอใจมากกว่าอาชีพรับราชการ อาชีพค้าขายและอาชีพรับจ้าง

ชื่อเรื่อง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานกับเจตคติต่อวิชาชีพครู

ของครูจ้างสอน สังกัดกรมอาชีวศึกษา เขตการศึกษา 9

ผู้วิจัย นายการุณย์ นาควิชานนท์ (2544)

ผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพกระนวน อ. กระนวน จ. ขอนแก่น 40170

กรรมการควบคุม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. พนมพร จินดาสมุทร์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สุเทพ การุณย์ลัญจกร

การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างขวัญกำลังใจในการศึกษาปฏิบัติงานกับเจตคติต่อวิชาชีพครู ของครูจ้างสอน สังกัดกรมอาชีวศึกษา เขตการศึกษา 9 ระดับที่วัดได้จากตัวแปรทั้งสององค์ประกอบ ขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานที่มีอำนาจพยากรณ์เจตคติต่อวิชาชีพครู ของครูจ้างสอน และศึกษาอำนาจจำแนกของเจตคติต่อวิชาชีพครูในกลุ่มครูจ้างสอนที่มีขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานสูงกับกลุ่มครูจ้างสอนที่มีขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานต่ำ

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือกลุ่มครูจ้างสอน ที่ปฏิบัติหน้าที่สอนในวิทยาลัยการอาชีพ สังกัดกรมอาชีวศึกษา เขต 9 จำนวน 245 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็ยแบบสอบถามเกี่ยวกับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานและเจตคติต่อวิชาชีพครู จำนวน 82 ข้อ โดยแบ่งเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน 56 ข้อ และแบบสอบถามเกี่ยวกับเจตคติต่อวิชาชีพครู 26 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่น .97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ และการวิเคราะห์การจำแนกกลุ่ม

ผลการวิจัยพบว่า

1.ระดับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครูจ้างสอน โดยรวม อยู่ระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับปานกลาง มีอยู่ 4 ด้าน ได้แก่ ด้านความพึงพอใจในการทำงาน ด้านพฤติกรรมของผู้บริหารด้านการประสบผลสำเร็จและด้านความมั่นคงในการทำงาน ส่วนขวัญกำลังใจการทำงานอยู่ในระดับสูง มีอยู่ 3 ด้าน ได้แก่ด้านความรับผิดชอบ ด้านความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงานและด้านความสัมพันธ์ในหน่วยงาน ตามลำดับ

2.ระดับเจตคติต่อวิชาชีพครูของครูจ้างสอน โดยรวมอยู่ในระดับสูงเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า เจตคติต่อวิชาชีพครูอยู่ในระดับสูง มีอยู่ 3 ด้าน ได้แก่ด้านการมีคุณธรรม จรรยาบรรณ ด้านการมุ่งมั่น พัฒนาและด้านการรอบรู้ สอนดี ตามลำดับ

3.ความสัมพันธ์ระหว่างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานกับเจตคติต่อวิชาชีพครูของครูจ้างสอน มีความสัมพันธ์กันในทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

4.ขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครูจ้างสอน ที่สามารถพยากรณ์เจตคติต่อวิชาชีพครู อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีอยู่ 4 ด้าน ได้แก่ ด้านความรับผิดชอบ ด้านความพึงพอใจในการทำงาน ด้านความเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงานและด้านการประสบผลสำเร็จ

5.เจตคติต่อวิชาชีพครู ของครูจ้างสอน สามารถจำแนกขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำได้ สำหรับตัวแปรที่มีอำนาจจำแนก ได้แก่ การมุ่งมั่นพัฒนา การรอบรู้ สอนดี และการมี คุณธรรม จรรยาบรรณ ตามลำดับ

ชื่อเรื่อง การศึกษาสภาพและปัญหาการบริหารงานปกครองในสถานศึกษาที่สอนสายอาชีพ

ในจังหวัดสกลนคร

ผู้วิจัย นายวัฒนศักดิ์ แน่นอุดร (2544)

อาจารย์ 2 ระดับ 7 วิทยาลัยเทคนิคสกลนคร อ. เมือง จ. สกลนคร 47000

กรรมการควบคุม รองศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รังสรรค์ บุษยะมา

การวิจัยครั้งนี้เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบสภาพและปัญหาการบริหารงานปกครองในสถานศึกษาที่สอนสายวิชาชีพในจังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่างประกอยด้วย ครู อาจารย์ จำนวน 195 คน และ นักเรียนนักศึกษา จำนวน 342 คน การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป SPSS for windows เพื่อหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยโดยใช้ t-test

ผลการวิจัยพบว่า

1. สภาพการดำเนินงานปกครองในสถานศึกษาที่สอนสายอาชีพในจังหวัดสกลนคร สังกัดกรมอาชีวศึกษา และสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน

1.1 ครูอาจารย์สังกัดกรมอาชีวศึกษา และสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการดำเนินงานปกครอง โดยรวมอยู่ในระดับปานกลางเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการประเมินผลงานปกครอง ด้านการดำเนินการส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตยด้านการแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่เหมาะของนักเรียน ด้านการรักษาความสงบเรียบร้อยในสถานศึกษา ด้านการวางแผนงานปกครอง และด้านการส่งเสริมพัฒนาให้นักเรียนมีวินัย คุณธรรม และจริยธรรม

1.2 นักเรียน สังกัดกรมอาชีวศึกษาและสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการดำเนินงานปกครอง โดยรวมอยู่ในระดับปานกลางเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการส่งเสริมพัฒนาให้นักเรียนมีวินับ คุณธรรม และจริยธรรม และด้านการแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนักเรียนมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ส่วนด้านการดำเนินการส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง

2. ปัญหาการดำเนินงานปกครองในสถานศึกษาที่สอนสายอาชีพในจังหวัดสกลนคร ตามความคิดเห็นของครู อาจารย์ สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการรักษาความสงบเรียบร้อยในสถานศึกษา ด้านการส่งเสริมพัฒนาให้นักเรียนมีวินัย คุณธรรม และจริยธรรม ด้านการแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่เหมาะของนักเรียน ด้านการประเมินผลงานปกครอง ด้านการดำเนินการส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย ด้านการประเมินผลงานปกครองนักเรียน และด้านการวางแผนงานปกครอง

ผลการเปรียบเทียบสภาพและปัญหาการบริหารงานปกครองในสถานศึกษาที่สอนสายอาชีพในจังหวัดสกลนคร สังกัดกรมอาชีวศึกษาและสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน

3.1ครู อาจารย์สังกัดกรมอาชีวศึกษาและสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการดำเนินงานปกครอง โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการประเมินผลงานปกครองนักเรียน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

3.2ครู อาจารย์สังกัดกรมอาชีวศึกษาและสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาการดำเนินงานปกครอง โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านการรักษาความสงบเรียบร้อยในสถานศึกษา ด้านการส่งเสริมพัฒนาให้นักเรียนมีวินัย คุณธรรมและจริยธรรม และด้านการแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนักเรียน

3.3นักเรียน สังกัดกรมอาชีวศึกษาและสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการดำเนินงานปกครอง โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ไม่พบความแตกต่าง

ชื่อเรื่อง ความพึงพอใจของพลทหารกองประจำการต่อการบริหารงานของกองทัพบก : ศึกษา

เฉพาะกรณีพลทหารที่ได้รับการตรวจเลือกเข้ากองประจำการ ประจำปี พ.ศ. 2541

และ 2542 ในเขตพื้นที่มณฑลทหารบกที่ 24 จังหวัดอุดรธานี

ผู้วิจัย พันเอกเทพฤทธิ์ ฤทธิ์รุ่งโรจน์ (2544)

ประจำมณฑลทหารบกที่ 24 มณฑลทหารบกที่ 24 ค่ายประจักร์ศิลปาคม

อ.เมือง จ.อุดรธานี 41000

กรรมการควบคุม รองศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รังสรรค์ บุษยะมา

การวิจัยครั้งนี้มัวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของพลทหารกองประจำการในเขตพื้นที่มณฑลทหารบกที่ 24 จังหวัดอุดรธานี ต่อการบริหารงานของกองทัพบก และเปรียบเทียบความ พึงพอใจของพลทหารกองประจำการต่อการบริหารงานของกองทัพบกระหว่างความแตกต่างกันทางด้านผลัดที่เข้ารับราชการทห่ร ระดับการศึกษา และหน่วยในเขตพื้นที่มณฑลทหารบกที่ 24 กลุ่มตัวอย่างเป็นพลทหารกองประจำการที่ได้รับการตรวจเลือกเข้ากองประจำการ ปี พ.ศ. 2541 และ พ.ศ. 2542 ในเขตพื้นที่มณฑลทหารบกที่24 จังหวัดอุดรธานี ผลัดที่ 2/2541 จำนวน 365 คน และผลัดที่ 1/2542 จำนวน 439 คน ความทั้งสิ้น 804 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นและกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้เกณฑ์ร้อยละ 80 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่ามีความเชื่อมั่น 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานและทดสอบสมมุติฐานโดยใช้ t-test และ F-test

ผลการวิจัยพบว่า

1. พลทหารกองประจำการมีความพึงพอใจต่อการบริหารงานของกองทัพบกโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีความพึงพอใจด้านนโยบายและการบังคับบัญชาและด้านสภาพการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมาก ส่วนด้านความสัมพันธ์และสวัสดิการมีความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลาง

2. พลทหารกองประจำการที่เข้ารับราชการทหารในผลัดต่างกัน มีความพึงพอใจต่อการบริหารงานของกองทัพบกโดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน

3. พลทหารกองประจำการที่มีระดับการศึกษาต่างกัน มีความพึงพอใจต่อการบริหารงานของกองทัพบก โดยรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีความพึงพอใจด้านนโยบายและการบังคับบัญชาและด้านสภาพการปฏิบัติงาน ไม่แตกตางกันส่วนด้านความสัมพันธ์และสวัสดิการมีความ พึงพอใจแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยพลทหารกองประจำการที่มีการศึกษาระดับต่ำกว่ามัธยมศึกษามีความพึงพอใจมากกว่าพลทหารกองประจำการที่มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษา

4. พลทหารกองประจำการที่อยู่ในหน่วยงานในเขตพื้นที่มณฑลทหารบกที่ 24 ต่างกันมีความ พึงพอใจต่อการบริหารงานของกองทัพบก โดยรวมและเป็นรายด้านแตกต่างกันอย่างนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

BACK

Hosted by www.Geocities.ws