ผู้วิจัย รองศาสตราจารย์ ดร. ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร* คณะ ครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏสกลนคร ปีที่วิจัยสำเร็จ 2542-2543
บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้ได้กำหนดไว้ 2 ตอน คือ ตอนที่ 1 เป็นการศึกษาลักษณะและตัวแบบประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏ และตอนที่ 2 เป็นการวิจัยพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูป เพื่อปรับปรุงประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏ การวิจัยตอนที่ 1 มุ่งศึกษาลักษณะและตัวแบบประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏ โดยศึกษาปัจจัยที่สำคัญ 4 ปัจจัย คือ ปัจจัยด้านชีวสังคมของคณบดี ปัจจัยด้านจิตลักษณะของคณบดี ปัจจัยด้านพฤติกรรมผู้นำของคณบดี และปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมทางภารกิจของคณบดีร่วมกับคุณลักษณะ 2 ประการ คือ พฤติกรรมความร่วมมือในการทำงานของคณบดี และสภาพความคงอยู่ในตำแหน่งของคณบดี สำหรับประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในเรื่องนี้คือ ประสิทธิผลการทำงานของคณบดีด้านประสิทธิผลของคณบดีและด้านประสิทธิผลของคณะ การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสวงหาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิผลการทำงานของคณบดีทั้งด้านประสิทธิผลของคณบดี และด้านประสิทธิผลของคณะ เปรียบ-เทียบประสิทธิผลการทำงานของคณบดีทั้งด้านประสิทธิผลของคณบดี และด้านประสิทธิผลของคณะระหว่างตัวแปรในปัจจัยภาวะผู้นำที่แตกต่างกัน ศึกษาการใช้ทฤษฎีของฟีดเลอร์ และทฤษฎีต้นไม้จริยธรรมพยากรณ์ประสิทธิผลการทำงานของคณบดีในพฤติกรรมผู้นำประเภทต่าง ๆ ศึกษาทฤษฎีต้นแบบประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีและหาระดับประสิทธิผลการทำงานของคณบดีทั้งด้านประสิทธิผลของคณบดี และด้านประสิทธิผลของคณะ สำหรับตัวแปรในแต่ละปัจจัย คือ ปัจจัยด้านชีวสังคมของคณบดี ได้แก่ เพศ อายุ วุฒิทางการศึกษา ตำแหน่งทางวิชาการและประสบการณ์ในตำแหน่ง ปัจจัยด้านจิตลักษณะของคณบดี ประกอบด้วยความเชื่ออำนาจในตน ลักษณะมุ่งอนาคต ความมีเหตุผลเชิงจริยธรรม สุขภาพจิตและเจตคติ ----------------------------------- * ประธานคณะกรรมการบริหาร สาขาการบริหารการศึกษา ระดับบัณฑิตศึกษา สถาบันราชภัฏสกลนคร ที่ดีต่องาน ปัจจัยด้านพฤติกรรมผู้นำ ประกอบด้วยพฤติกรรมผู้นำแบบมุ่งงานและพฤติกรรมผู้นำแบบมุ่งสัมพันธ์ และปัจจัยสภาพแวดล้อมทางภารกิจของคณบดี ประกอบด้วยความสัมพันธ์ระหว่างคณบดีและสมาชิกในคณะ โครงสร้างของงานในคณะ และอำนาจในตำแหน่งหน้าที่ของคณบดี สำหรับสภาพแวดล้อมทางภารกิจถูกแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ ลักษณะที่เอื้อต่อคณบดีต่ำ ปานกลาง และสูง และตัวแปร คุณลักษณะ 2 ประการ คือ พฤติกรรมความร่วมมือในการทำงาน และสภาพความคงอยู่ในตำแหน่งของคณบดี กรอบแนวคิดทฤษฎีสำหรับการวิจัยครั้งนี้ได้จากแนวคิดเกี่ยวกับการศึกษาประสิทธิผลภาวะผู้นำทางการศึกษาของฮอยกับ มิสเกล (Hoy and Miskel. 1982 : 242) ทฤษฎีประสิทธิผลภาวะผู้นำตามสภาพการณ์ของฟีดเลอร์ (Fiedler. 1967) และทฤษฎีต้นไม้จริยธรรมของ ดวงเดือน พันธุมนาวิน (2530) ประชากรที่ศึกษา คือ คณบดีที่ปฏิบัติหน้าที่ระหว่างปีการศึกษา 2540 - 2541 ในสถาบันราชภัฏ สำหรับกลุ่มตัวอย่างสำหรับการวิจัยครั้งนี้ได้จากวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ประกอบด้วยรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ 18 คน อาจารย์ที่เป็นผู้แทนของคณะต่างๆ 553 คน และคณบดี 116 คน จากสถาบันราชภัฏ 26 สถาบัน แบบสอบถามที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามวัดปัจจัยภาวะผู้นำของคณบดี ประกอบด้วย แบบสอบถามวัดด้านชีวสังคมของคณบดี 5 ด้าน แบบสอบถามวัดด้านจิตลักษณะของคณบดี 5 ลักษณะ แบบสอบถามวัดพฤติกรรมผู้นำของคณบดี แบบสอบถามการวัดสภาพแวดล้อมทางภารกิจของคณบดี 3 ลักษณะ แบบสอบถามวัดพฤติกรรมความร่วมมือในการทำงานของคณบดี แบบสอบถามวัดสภาพความคงอยู่ในตำแหน่งของคณบดี และแบบสอบถามวัดประสิทธิผลการทำงานของคณบดี 2 ลักษณะ คือ ประสิทธิผลของคณบดี และประสิทธิผลของคณะ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐาน สหสัมพันธ์อย่างง่าย การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบเพิ่มตัวแปรทีละขั้น ทดสอบค่าที และวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบ 2 ทาง และแบบ 3 ทาง ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิผลการทำงานของคณบดีทั้งด้านประสิทธิผลของคณบดี และด้านประสิทธิผลของคณะอยู่ระดับปานกลางค่อนข้างสูง ปัจจัยภาวะผู้นำ 2 ปัจจัยและคุณลักษณะ 2 ประการ สามารถพยากรณ์ประสิทธิผลการทำงานของคณบดีด้านประสิทธิผลของคณบดี ประกอบด้วยสภาพแวดล้อมทางภารกิจของคณบดี จิตลักษณะของคณบดีมีตัวพยากรณ์ที่ดี คือ เจตคติที่ดีต่องานของคณบดี และลักษณะมุ่งอนาคตของคณบดี พฤติกรรมความร่วมมือของคณบดี และสภาพความคงอยู่ในตำแหน่งของคณบดี ปัจจัยภาวะผู้นำ 3 ปัจจัย สามารถพยากรณ์ประสิทธิผลการทำงานของคณบดีด้านประสิทธิผลของคณะ ประกอบด้วย สภาพแวดล้อมทางภารกิจของคณบดี ปัจจัยชีวสังคมของคณบดีมีตัวพยากรณ์ที่ดี คือ ประสบการณ์ในตำแหน่งของคณบดี และจิตลักษณะของคณบดีมีตัวพยากรณ์ที่ดี คือ เจตคติที่ดีต่องานของคณบดี และความเชื่ออำนาจในตนของคณบดี เมื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลการทำงานของคณบดีระหว่างปัจจัยภาวะผู้นำที่แตกต่างกัน พบว่า สภาพแวดล้อมทางภารกิจของคณบดี และพฤติกรรมความร่วมมือของคณบดีที่แตกต่างกัน ส่งผลต่อประสิทธิผลการทำงานของคณบดีทั้ง 2 ด้านแตกต่างกัน นอกจากนั้นยังพบว่าตำแหน่งทางวิชาการของคณบดี ความมีเหตุผลเชิงจริยธรรมและเจตคติที่ดีต่องานของคณบดีที่แตกต่างกัน ส่งผลต่อประสิทธิผลการทำงานของคณบดีเฉพาะด้านประสิทธิผลของคณบดีแตกต่างกัน และพบว่าเพศของคณบดีและลักษณะมุ่งอนาคตของคณบดีที่แตกต่างกันส่งผลต่อประสิทธิผลการทำงานของคณบดีเฉพาะด้านประสิทธิผลของคณะแตกต่างกัน สำหรับผลการใช้ทฤษฎีของฟีดเลอร์และทฤษฎีต้นไม้จริยธรรมพยากรณ์ประสิทธิผลการทำงานของคณบดีในพฤติกรรมผู้นำประเภทต่าง ๆ ของคณบดี ได้ข้อค้นพบโดยสรุป คือ พฤติกรรมผู้นำทั้งแบบมุ่งงาน และมุ่งสัมพันธ์ ต่างก็ส่งผลร่วมกับสภาพแวดล้อมทางภารกิจของคณบดีและตัวแปรในปัจจัยด้านชีวสังคมและจิตลักษณะหลายตัวแปร และพบว่าคณบดีที่มีจิตลักษณะรวมสูงมีประสิทธิผลการทำงานเฉพาะด้านประสิทธิผลของคณบดีสูงกว่าคณบดีที่มีจิตลักษณะรวมต่ำ โดยกลุ่มที่มีจิตลักษณะรวมสูงมีตัวแปรที่พยากรณ์ได้ดีคือเจตคติที่ดี ต่องานและความเชื่ออำนาจในตน ส่วนกลุ่มที่มีจิตลักษณะรวมต่ำมีตัวแปรที่พยากรณ์ได้ดี คือ สุขภาพจิต และผลการวิจัยพบว่าทฤษฎีต้นแบบประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดี มีลักษณะไม่คล้ายคลึงกับประสิทธิผลภาวะผู้นำของฟีดเลอร์ โดยพบว่าคณบดีที่มีพฤติกรรมแบบมุ่งงานและ มุ่งสัมพันธ์ต่างก็มีประสิทธิผลการทำงานสูงในสภาพแวดล้อมทางภารกิจที่เอื้อต่อคณบดีระดับปานกลาง และสูง การวิจัยตอนที่ 2 มีจุดมุ่งหมายพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปเพื่อปรับปรุงประสิทธิผลภาวะ ผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 สำหรับชุดหนึ่งในบทเรียนสำเร็จรูป และมีความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมการเรียนรู้ของกลุ่มตัวอย่างคณบดีก่อนและหลังการศึกษาบทเรียนสำเร็จรูปทุกชุด การวิจัยนี้ใช้แบบแผนการวิจัยเชิงพัฒนา มีขั้นตอนการดำเนินงาน 12 ขั้นตอน คือ (1) การศึกษาลักษณะและตัวแบบประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏ (ตอนที่ 1) (2) การกำหนดหัวเรื่อง (3) การกำหนดหัวเรื่องย่อยของแต่ละหัวเรื่อง (4) การให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบหัวเรื่องและหัวเรื่องย่อยที่กำหนดให้ (5) ปรับปรุงแก้ไขหัวเรื่องและหัวเรื่องย่อย (6) การยกร่างบทเรียน สำเร็จรูป (7) การทดลองใช้บทเรียนสำเร็จรูปครั้งที่ 1 (8) การปรับปรุงแก้ไขครั้งที่ 1 (9) การทดลอง ใช้บทเรียนสำเร็จรูปครั้งที่ 2 (10) การปรับปรุงแก้ไขครั้งที่ 2 (11) การทดลองใช้บทเรียนสำเร็จรูป ครั้งที่ 3 (12) การปรับปรุงแก้ไขครั้งที่ 3 ผลการศึกษาวิจัยลักษณะและตัวแบบการปรับปรุงประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏ พบว่า ประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดียังสามารถใช้ทฤษฎีประสิทธิผลภาวะผู้นำตามสภาพการณ์ของฟีดเลอร์ (Fiedler. 1967) เป็นกรอบทฤษฎีหลัก ส่วนตัวแบบการพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปผู้วิจัยได้ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเรื่อง การปรับปรุงประสิทธิผลภาวะผู้นำของ ฟีดเลอร์และคณะ (Fiedler, Chemers and Mahar. 1977, 1989) เป็นแนวทางการพัฒนาบทเรียนแต่ละชุดได้โดย กำหนดหัวเรื่องที่ใช้พัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปเรื่อง การแสวงหาภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏได้ 10 หัวเรื่อง โดยแต่ละหัวเรื่องเป็นชุดในบทเรียน 1 ชุด คือ (1) ปฐมบท (2) การค้นหาแบบของพฤติกรรม ผู้นำของคณบดี (3) ทำความเข้าใจกับสภาพการณ์ในการนำของคณบดี (4) การประเมินความสัมพันธ์ระหว่างคณบดีกับสมาชิกในคณะ (5) การประเมินโครงสร้างของงานในคณะ (ความชัดเจนของงานในคณะ) (6) การประเมินอำนาจในตำแหน่งของคณบดี (7) การประเมินอำนาจในการควบคุมสภาพการณ์ในการนำของคณบดี (8) การประสานแบบของพฤติกรรมผู้นำให้เข้ากับสภาพการณ์ในการนำของคณบดี (9) การปรับเปลี่ยนสภาพการณ์ในการนำของคณบดี (10) ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏ จากการนำบทเรียนสำเร็จรูปไปทดลองใช้ 3 ครั้ง กับคณบดีที่เป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 49 คน พบว่าส่วนใหญ่มีข้อบกพร่องเกี่ยวกับการจัดพิมพ์ การใช้กรณีตัวอย่างควรให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ทำงานของคณบดีหรือในสถาบันราชภัฏ และการใช้คำ ข้อความ และศัพท์เฉพาะควรให้มี ความสอดคล้องและต่อเนื่องกัน ส่วนผลการทดสอบประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูปในการทดลองครั้งที่ 3 พบว่า ชุดแต่ละชุดของบทเรียนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 และบทเรียนสำเร็จรูปทุกชุดมีประสิทธิภาพ สามารถพัฒนากลุ่มตัวอย่างคณบดีให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ระหว่างก่อนและหลังการศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01.
ภูมิหลังของปัญหาการวิจัย การทำงานทุกอย่างต้องมีการเกี่ยวข้องประสานประโยชน์กับผู้อื่นเสมอ จึงต้องรู้จักทำตัวให้ใจกว้าง ให้เห็นความสำคัญของผู้อื่นเท่ากับความสำคัญของตนเองและงานของตน และสำคัญที่สุดต้องเข้าใจให้ถูกว่าการประสานงานกันนั้น คือ ไม่แบ่งฝ่ายแบ่งพวกกัน ไม่แย่งประโยชน์ ไม่แย่งความชอบกัน หากแต่ปรองดองกันด้วยความจริงใจ เห็นใจ และเข้าใจ โดยมุ่งหวังผลสำเร็จร่วมกันเป็นสำคัญกว่าสิ่งอื่น ๆ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช. 2529) ดังนั้นการบริหารงานใด ๆ จะเกิดประสิทธิผลได้ หัวหน้าจะต้องใช้ภาวะผู้นำกระจายความรับผิดชอบอย่างเป็นธรรมไปสู่ผู้ใต้บังคับบัญชาในหน่วยงานของตน ถึงแม้ว่าไม่มีปัจจัยใดที่สามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงภายในหน่วยงานก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่จะปรับปรุงและพัฒนาได้ตลอดเวลาก็คือ ภาวะผู้นำของหัวหน้าหน่วยงาน (Owen. 1981 : 145) บนพื้นฐานที่ว่า ไม่มีรูปแบบการบริหารใด ที่เหมาะสมกับทุกสภาพการณ์ ในทำนองเดียวกันย่อมไม่มีผู้นำคนใดที่จะเหมาะสมกับการบริหารงานในทุกองค์การและทุกสถานการณ์ ดังนั้นหัวหน้าหน่วยงานจึงต้องมีความสามารถในการใช้ภาวะผู้นำให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ (McCorkle and others. 1982 : 190) โดยสามารถปรับตัวให้เหมาะสมกับทุกสถานการณ์ได้และใช้ความรู้ความสามารถของตนให้เกิดประโยชน์ต่อการบริหารงานอย่างมีประสิทธิผลด้วย สถาบันราชภัฏเป็นองค์การทางวิชาการที่มีลักษณะพิเศษด้านโครงสร้างของอำนาจ และการใช้อำนาจขององค์การ กล่าวคือสถาบันเป็นองค์การที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างลักษณะขององค์การแนวดิ่ง (Vertical Organization) ซึ่งมีลักษณะโครงสร้างของอำนาจและการใช้อำนาจรวมอยู่ระดับบนขององค์การ มีลักษณะสำคัญของการบริหารเน้นหนักทางด้านการสื่อสาร และการควบคุมจากเบื้องบน และอีกลักษณะหนึ่งก็คือ ลักษณะขององค์การแบบแนวนอน (Horizontal Organization) ซึ่งมีลักษณะโครงสร้างของอำนาจและการใช้อำนาจมิได้รวมอยู่ระดับบนขององค์การ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นไปในลักษณะร่วมกันรับผิดชอบต่อความสำเร็จและประสิทธิผลของงานมากกว่ายึดถืออำนาจของตำแหน่ง และอำนาจตามสายบังคับบัญชา (Likert. 1961 : 234) คือเป็นองค์การที่มีโครงสร้างของอำนาจและการใช้อำนาจตามกฎหมายเหมือนกับส่วนราชการอื่น และในงานเดียวกัน มีโครงสร้างของอำนาจที่ไม่เป็นทางการอยู่ด้วย จึงทำให้ผู้บริหารทุกระดับ อาทิ อธิการบดี รองอธิการบดี ผู้ช่วยอธิการบดี และโดยเฉพาะคณบดี ต้องสามารถผสมผสานการใช้อำนาจในหน้าที่ที่เหมาะสม สอดคล้องกับบทบาท หน้าที่ ในสถานการณ์ต่าง ๆ ขององค์การด้วย (Morris. 1981 : 7) นอกจากนั้น ลักษณะพิเศษขององค์การทางวิชาการ ก็คือเป็นองค์การที่เสมือนว่ามีเป้าหมายคลุมเครือ เป็นองค์การมักจะเกิดปัญหาทางด้านเทคโนโลยี เป็นองค์การที่ประกอบด้วยนักวิชาชีพชั้นสูงสาขาต่าง ๆ และเป็นองค์การแบบอนาธิปไตย (Riley and Baldridge. 1977 : 7) ลักษณะเหล่านี้ จึงทำให้การบริหารงานในคณะจะเกิดประสิทธิผลได้ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สำคัญมากมาย อาทิ คุณลักษณะผู้นำ พฤติกรรมผู้นำ ลักษณะสภาพการณ์ของคณะหรือหน่วยงาน เป็นต้น (Hoy and Miskel . 1982 : 248) การปรับบทบาท หน้าที่ของสถาบันราชภัฏตามพระราชบัญญัติสถาบันราชภัฏ พ.ศ. 2538 กำหนดให้สถาบันราชภัฏเป็นสถาบันอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น มีวัตถุประสงค์ให้การศึกษาวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง ทำการวิจัย ให้การบริการทางวิชาการแก่สังคม ปรับปรุง ถ่ายทอด และพัฒนาเทคโนโลยี ทะนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม และผลิตครูและส่งเสริมวิทยะฐานะของครู (ราชกิจจานุเบกษา. 2538 ; เล่มที่ 112 ตามที่ 4 ก) ซึ่งมีผลทำให้เกิดการปรับโครงสร้างของหน่วยงาน ภารกิจ พร้อมทั้งปรับและเพิ่มหลักสูตรทั้งในระดับปริญญาตรี และสูงกว่า เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับสายการบังคับบัญชานั้น สถาบันราชภัฏประกอบด้วยผู้บริหารระดับต่าง ๆ ได้แก่ อธิการบดี รองอธิการบดี ผู้ช่วยอธิการบดี คณบดี ผู้อำนวยการสำนัก ประธานโปรแกรมวิชา และหัวหน้าฝ่าย (หนังสือที่ ศธ. 1502.6/ว 8881 สำนักงานสถาบันราชภัฏ ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2542) ซึ่งผู้บริหารทุกระดับจะต้องปรับบทบาทและภารกิจให้สอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะคณบดีซึ่งเป็นผู้บริหารระดับกลางมีความสำคัญที่สุดต่อการบริหารวิชาการในสถาบันราชภัฏเพราะต้องประสานงานระหว่าง ผู้บริหารระดับสูงเช่นอธิการบดี รองอธิการบดี และผู้ช่วยอธิการบดีกับผู้บริหารระดับปฏิบัติการ เช่น ประธานโปรแกรมวิชา นอกจากนั้นจะต้องปฏิบัติหน้าที่และบทบาทตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติ และต้องรับผิดชอบการสอนซึ่งเป็นงานประจำอยู่แล้ว คณบดียังต้องรับผิดชอบต่อภารกิจอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาอีกด้วย นอกจากนั้นสิ่งที่น่าหนักใจสำหรับคณบดี ก็คือ คณบดีไม่สามารถที่จะทำงานให้เสร็จทีละอย่าง การทำงานของคณบดีจะเน้นที่กระบวนการมากกว่าผลของงาน เน้นการเผชิญปัญหามากกว่ารับผลสำเร็จของปัญหา คณบดีจึงต้องผลักดันงานด้านต่าง ๆ ให้ก้าวหน้า ให้หลุดพ้นจากงานประจำของคณบดี เป็นต้น (Morris. 1981 : 8) จึงทำให้คณบดี มีปริมาณงานมากกว่าผู้บริหารในตำแหน่งอื่น ๆ ในสถาบันราชภัฏ ผลดังกล่าวจึงมีส่วนทำให้คณบดีปฏิบัติภารกิจได้ไม่ครอบคลุม จนบางครั้งถูกมองว่าเป็นผู้ที่ขาดความร่วมมือในการปฏิบัติงาน หรือบางรายต้องลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระเนื่องจากไม่สามารถรับผิดชอบภารกิจต่าง ๆ ได้ดี และครอบคลุมเพียงพอ ปัญหาดังกล่าวเมื่อพิจารณาจากองค์รวมของคณบดีแต่ละบุคคล สามารถวิเคราะห์ประเด็นปัญหาที่สำคัญที่สุดในบรรดาปัญหาต่าง ๆ ของคณบดีก็คือ คุณภาพภาวะผู้นำของคณบดี ทั้งนี้เนื่องจากมีผลการวิจัยเชิงประจักษ์ได้ให้ข้อสรุปที่สอดคล้องกันว่า คุณภาพภาวะผู้นำจะส่งผลกระทบต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวขององค์การได้ การบริหารงานในสถาบันราชภัฏเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ของแผนพัฒนาการศึกษาระยะที่ 8 (พ.ศ. 2540 - 2544) ก็คือ เพื่อให้สถาบันปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ของสถาบันในฐานะสถาบันอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลและเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นผู้มีสติปัญญา คุณธรรม จริยธรรม สุขภาพ และพลานามัยสมบูรณ์ ใฝ่รู้ รักและผูกพันกับท้องถิ่น สามารถประกอบอาชีพและพึ่งตนเองได้ สามารถปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสม และเกื้อหนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทั้งในท้องถิ่นและระดับประเทศ โดยมุ่งเน้นการให้โอกาสทางการศึกษาระดับอุดมศึกษาแก่ท้องถิ่น (แผนพัฒนาการศึกษาระยะที่ 8 พ.ศ. 2540-2544. สถาบันราชภัฏสกลนคร 2540 : 11) ซึ่งการบริหารงานให้บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้ หน่วยงานในสถาบันราชภัฏที่มีความสำคัญยิ่งก็คือคณะซึ่งเป็นหัวใจของการบริหารวิชาการในสถาบันราชภัฏจะต้องปรับเปลี่ยนทิศทางการบริหารวิชาการให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึกษาระยะที่ 8 ดังที่กล่าวมาแล้ว คณบดีจึงเป็นปัจจัยด้านบุคคลที่มีความสำคัญที่สุดในการสร้างประสิทธิผลให้แก่คณะและประสิทธิภาพการบริหารงาน ดังนั้น ถ้าสถาบันราชภัฏใดสามารถแสวงหาคณบดีที่มีความพร้อมทางด้านวุฒิภาวะ คุณลักษณะ ศักยภาพ ความรู้ ความสามารถทางด้านศาสตร์และศิลป์ในการบริหารงาน รวมทั้งมีภาวะผู้นำที่มีคุณภาพย่อมทำให้สถาบันนั้นมีแนวโน้มที่จะดำเนินกิจการจนบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ของสถาบัน อนึ่งการตัดสินใจยากที่สุดประการหนึ่งในการบริหารงาน คือการตัดสินว่าบุคคลประเภทใดที่สมควรได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้นำ เช่นเดียวกับการตัดสินใจว่าบุคคลประเภทใดที่สมควรเป็นคณบดี จึงจำเป็นที่จะต้องมีข้อมูลประกอบการพิจารณา อาทิ ผลงานในอดีตจะเป็นดัชนีบ่งชี้ว่า เขาจะทำได้ดีเพียงใดในอนาคต ดังนั้นการแสวงหาข้อมูลเกี่ยวกับ คุณสมบัติแบบพฤติกรรมผู้นำ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และ คุณลักษณะและสภาพการณ์อื่น ๆ ของผู้บริหารและผู้นำที่ประสบผลสำเร็จจึงมีความจำเป็นสำหรับสถาบันราชภัฏ ผู้วิจัยจึงประสงค์ที่จะศึกษาถึงปัจจัยภาวะผู้นำของคณบดีที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการทำงานของคณบดี และสืบค้นต่อไปถึงอิทธิพลของภาวะผู้นำและสภาพแวดล้อมทาง ภารกิจของคณบดีที่แตกต่างกันจะส่งผลต่อประสิทธิผลการทำงานของคณบดีหรือไม่ และแสวงหาทฤษฎีต้นแบบประสิทธิผลภาวะผู้นำหรือ ประสิทธิผลการทำงานของคณบดีจะมีลักษณะเช่นใด และแสวงหาประสิทธิผลการทำงานของคณบดีอยู่ระดับใด ทั้งนี้โดยอาศัยกรอบแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับประสิทธิผลภาวะผู้นำทางการศึกษาของ ฮอย และมิสเกล (Hoy and Miskel. 1982) ทฤษฎีประสิทธิผลภาวะผู้นำตามสภาพการณ์ของฟีดเลอร์ (Fiedler. 1967) และทฤษฎีต้นไม้ จริยธรรมของดวงเดือน พันธุมนาวิน (2530) เป็นแนวทางการวิจัย ซึ่งผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการกำหนดแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำที่มีประสิทธิผลของคณบดี และการพัฒนาประสิทธิผลการบริหารงานในสถาบันราชภัฏต่อไป การพัฒนาบุคลากรให้มีความรอบรู้เฉพาะทางนั้นสามารถพัฒนาได้หลายแนวทาง โดยมากสำนักงานสภาสถาบันราชภัฏและสถาบันราชภัฏได้ใช้วิธีการให้ผู้รับการพัฒนามารับฟังบรรยายจากวิทยากร ในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ในช่วงเวลาที่กำหนดให้ วิธีการดังกล่าวแม้จะให้ผลดีที่ผู้รับการพัฒนาได้รับความรู้ความเข้าใจจากวิทยากรโดยตรง มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันกับบุคคลอื่น แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการ เช่น การอยู่กันกระจัดกระจายของบุคลากร ถ้าหากจะพัฒนาให้ทั่วถึงก็เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรด้านต่าง ๆ มากมาย ดังนั้นในกรณีการพัฒนาประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏทั่วประเทศ จึงมีข้อจำกัดในความกระจัดกระจายของสถานที่ตั้งสถาบันซึ่งอยู่ทั่วประเทศ และความสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยเฉพาะด้านงบประมาณ ถ้าหากจะพัฒนาให้ทั่วถึง ดังนั้นวิธีการพัฒนาแบบเดิมจึงไม่มีความเหมาะสม เพราะความจำกัดในด้านทรัพยากรด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านกำลังคน กำลังเงิน วัสดุอุปกรณ์และเวลา วิธีการที่อาจจะกระทำได้อย่างเหมาะสมมากกว่า คือ วิธีการให้คณบดีได้ศึกษาด้วยตนเองจากสื่อการเรียนรู้ที่ผู้ดำเนินการพัฒนาจัดให้ ความเป็นไปได้ประการหนึ่งที่จะให้คณบดีในสถาบันราชภัฏมีความรู้ ความสามารถ ในด้านการปรับปรุงประสิทธิผลภาวะผูนำก็คือ การใช้ "บทเรียนสำเร็จรูปหรือชุดฝึกด้วยตนเอง" ซึ่งเป็นเอกสารสิ่งพิมพ์ที่มีความงดงามคงทน เคลื่อนย้ายง่าย เข้าถึงประชากรเป้าหมายได้ทุกสภาวะภูมิประเทศ ผลิตง่ายราคาถูกกว่าการผลิตสื่อประเภทอื่นๆ และเป็นที่คุ้นเคยของผู้รับการพัฒนาเป็นอย่างดี (Worthen. 1985 : 4037) นอกจากนี้บทเรียนสำเร็จรูปที่พัฒนาขึ้นนี้ได้อาศัยหลักการสอนแบบโปรแกรม หรือแบบสำเร็จรูป (Programmed Instruction) ซึ่งมีการวางแผนในการพัฒนาไว้ล่วงหน้าอย่างรอบคอบ มีการกำหนดวัตถุประสงค์การพัฒนาที่ชัดเจน อาศัยหลักการเรียนรู้ที่สำคัญหลายประการ ซึ่งจะทำให้คณบดีเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ได้ดีพอ ๆ กับการรับฟังจากการบรรยายที่วิทยากร มีการเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างดี (Meyer.1984 : 48) ด้วยเหตุนี้ การวิจัยครั้งนี้จึงมีจุดมุ่งหมายที่จะพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปเพื่อปรับปรุงประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏ โดยอาศัยหลักการสอนแบบโปรแกรมดังกล่าว เพื่อให้ได้สื่อการเรียนรู้สำหรับพัฒนาคณบดีในสถาบันราชภัฏที่มีประสิทธิภาพต่อไป ปัญหาการวิจัย 1. ปัจจัยภาวะผู้นำของคณบดี ซึ่งประกอบด้วย ชีวสังคม จิตลักษณะ พฤติกรรมผู้นำ และสภาพแวดล้อมทางภารกิจ จะส่งผลต่อประสิทธิผลการทำงานของคณบดีทั้งด้านประสิทธิผลของคณบดี และ ด้านประสิทธิผลของคณะหรือไม่ 2. คณบดีที่มีปัจจัยภาวะผู้นำแตกต่างกัน จะมีประสิทธิผลการทำงานทั้งด้านประสิทธิผลของคณบดี และด้านประสิทธิผลของคณะ แตกต่างกันหรือไม่ 3. ทฤษฎีของฟีดเลอร์และทฤษฎีต้นไม้จริยธรรมหรือจิตลักษณะ 5 ประการ สามารถพยากรณ์ประสิทธิผลการทำงานของคณบดีทั้งด้านประสิทธิผลของคณบดี และประสิทธิผลของคณะในพฤติกรรมผู้นำประเภทต่าง ๆ ได้หรือไม่ 4. ทฤษฎีต้นแบบประสิทธิผลการทำงานของคณบดีมีลักษณะอย่างไร 5. ประสิทธิผลการทำงานของคณบดีทั้งด้านประสิทธิผลของคณบดี และด้านประสิทธิผลของคณะอยู่ในระดับใด 6. ร่างบทเรียนสำเร็จรูปมีส่วนประกอบอะไรบ้าง 7. ประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูปมีวิธีการศึกษาได้โดยวิธีใด มีประสิทธิภาพหรือไม่อย่างไร จุดมุ่งหมายของการวิจัย 1. เพื่อแสวงหาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิผลการทำงานของคณบดีด้านประสิทธิผลของคณบดี และด้านประสิทธิผลของคณะ โดยศึกษาอำนาจพยากรณ์ประสิทธิผลการทำงานของคณบดี จากปัจจัยด้านชีวสังคมของคณบดี ด้านจิตลักษณะของคณบดี ด้านพฤติกรรมผู้นำของคณบดี ด้านสภาพแวดล้อมทางภารกิจของคณบดี ตัวแปรคุณลักษณะด้านพฤติกรรมความร่วมมือในการทำงานของคณบดี และสภาพความคงอยู่ในตำแหน่งของคณบดี 2. เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลการทำงานของคณบดีด้านประสิทธิผลของคณบดี และประสิทธิผลของคณะที่มีปัจจัยภาวะผู้นำแตกต่างกัน 3. เพื่อศึกษาการใช้ทฤษฎีของฟีดเลอร์และทฤษฎีต้นไม้จริยธรรมหรือจิตลักษณะ 5 ประการ พยากรณ์ประสิทธิผลการทำงานของคณบดีทั้งด้านประสิทธิผลของคณบดี และด้านประสิทธิผลของคณะในพฤติกรรมผู้นำประเภทต่าง ๆ
ประสิทธิผลของคณะ 6. เพื่อให้ได้ร่างบทเรียนสำเร็จรูปที่มีส่วนประกอบต่าง ๆ ตามที่กำหนดครบถ้วน คือ ชื่อบทเรียนสำเร็จรูป คำแนะนำในการใช้บทเรียน แนวคิด วัตถุประสงค์ เนื้อหา แบบประเมินตนเอง ท้ายบท เอกสารอ่านประกอบ และรายชื่อเอกสารอ้างอิง (ถ้ามี) 7. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูป โดยวิธีการต่อไปนี้ 7.1 เปรียบเทียบผลการทำแบบทดสอบประจำบทเรียนกับเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 7.2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ระหว่างก่อนและหลังการศึกษาบทเรียนสำเร็จรูปทุกชุด
ความสำคัญของการวิจัย 1.ผลการวิจัยนี้จะเป็นข้อมูลเพื่อใช้ในการบ่งชี้คุณลักษณะและคุณสมบัติของคณบดีที่มีประสิทธิผล เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาประสิทธิผลการบริหารงานในสถาบันราชภัฏ 2. ผลการวิจัยสามารถใช้เป็นแนวทางสำหรับพัฒนาตนเอง โดยการปรับพฤติกรรมผู้นำของคณบดีให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางภารกิจของคณบดี เพื่อเพิ่มประสิทธิผลการทำงานของคณบดี และสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับการพัฒนาประสิทธิผลภาวะผู้นำของผู้บริหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่หรือการเตรียมผู้บริหารของสถานฝึกอบรมผู้บริหาร สำนักงานสภาสถาบันราชภัฏ และสถาบันราชภัฏ 3. ทำให้ได้บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง การแสวงหาภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏที่จะนำไปใช้พัฒนาคณบดีด้วยวิธีการศึกษาด้วยตนเอง ไม่ว่าคณบดีจะอยู่ในสถาบันราชภัฏแห่งไหน ทำให้เกิดการเพิ่มพูน ความรู้ ความสามารถ และเกิดทักษะการใช้ภาวะผู้นำของคณบดี เพื่อการบริหารงานในคณะต่าง ของสถาบันราชภัฏให้เกิดประสิทธิภาพต่อไป
5. ผลการวิจัยครั้งนี้ทำให้เกิดองค์ความรู้ด้านประสิทธิผลภาวะผู้นำของผู้บริหารอุดมศึกษาระดับคณบดีในสถาบันราชภัฏ 6. ผลการวิจัยจะเป็นข้อมูล เพื่อใช้สำหรับกำหนดแนวทางการพัฒนาการบริหารวิชาการ ในสถาบันราชภัฏ 7. ผลการวิจัยครั้งนี้จะเป็นแนวทางการวิจัยเชิงพัฒนาสำหรับการวิจัย เพื่อพัฒนาประสิทธิผลภาวะผู้นำของผู้บริหารทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่อไป
กรอบแนวคิดในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ผสมผสานทฤษฎีการบริหารการศึกษาและทฤษฎีทางจิตวิทยาสังคมต่อไปนี้มากำหนดเป็นกรอบของการอธิบายและพยากรณ์ประสิทธิผลการทำงานของคณบดีในสถาบันราชภัฏ คือ 1. กรอบแนวคิดเกี่ยวกับการศึกษาประสิทธิผลภาวะผู้นำทางการศึกษาของฮอยและมิสเกล (Hoy and Miskel. 1982 : 248) ซึ่งอธิบายว่า ประสิทธิผลขององค์การควรวิเคราะห์จากองค์ประกอบที่สำคัญ คือ คุณลักษณะภาวะผู้นำของผู้บริหารการศึกษา พฤติกรรมผู้นำ และคุณลักษณะของสภาพการณ์ขององค์การทางการศึกษา สำหรับการวิจัยครั้งนี้จะยึดปัจจัยที่สำคัญอยู่ 4 ประการ คือ ด้านชีวสังคมของคณบดี จิตลักษณะของคณบดี พฤติกรรมผู้นำของคณบดี และ สภาพแวดล้อมทางภารกิจของคณบดี 2. ทฤษฎีประสิทธิผลภาวะผู้นำตามสภาพการณ์ของฟีดเลอร์ (Fiedlers Contingency Theory of Leadership Effectiveness) กล่าวว่า ประสิทธิผลภาวะผู้นำหรือองค์การขึ้นอยู่นกับผลรวมของแบบของพฤติกรรมผู้นำและสภาพการณ์ที่เหมาะสม (Hoy and Miskel 1982 : 235 ; citing Fiedler. 1967) 3. ทฤษฎีต้นไม้จริยธรรมของดวงเดือน พันธุมนาวิน (2538 : 2-17) กล่าวว่าพฤติกรรมความเป็นคนดี และคนเก่ง มีองค์ประกอบทางจิตที่เกี่ยวข้องอยู่ 8 ประการ สำหรับการวิจัยนี้นำมาศึกษา 5 ประการ คือ ความเชื่ออำนาจในตน ลักษณะมุ่งอนาคต ความมีเหตุผลเชิงจริยธรรม สุขภาพจิตและเจตคติที่ดีต่องาน 4. ผลการวิจัยของนักวิจัยในประเทศไทยและต่างประเทศมากำหนดคุณลักษณะที่สำคัญ 2 ประการ ที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารอุดมศึกษา คือ พฤติกรรมความร่วมมือของคณบดี หรือพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในการบริหารของคณบดี (เจิดหล้า สุนทรวิภาต. 2532 ; อ้างอิงจาก Parten. 1933) และสภาพความคงอยู่ในตำแหน่งของคณบดี หรือ ความผูกพันต่อตำแหน่งของคณบดี (สุจิตรา จรจิตร และปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์. 2532 ; อ้างอิงจาก Cook and others. 1981 และ Porter and others. 1973, 1974, 1975) 5. ผลการวิจัยของนักวิจัยต่างประเทศมากำหนดกรอบของประสิทธิผลการทำงานของคณบดี 2 ลักษณะ คือ ประสิทธิผลของคณบดี และ ประสิทธิผลของคณะ (Chemers and Ayman. 1985) 6. ผลการวิจัยของนักวิจัยในประเทศไทย และต่างประเทศมากำหนดเป็นแนวทางการพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูป (วิโรจน์ สารรัตนะ. 2532 ; อ้างจาก Espich and Williams. 1967 และ Romiszoski. 1986) ซึ่งแสดงให้เห็นดังภาพประกอบที่ 1 และ 2 ดังนี้
ภาพประกอบที่ 1 กรอบแนวคิด ทฤษฎีที่ใช้สำหรับการวิจัย เพื่อศึกษาลักษณะ และตัวแบบประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดี ขั้นตอนในการดำเนินงานวิจัยเชิงพัฒนา จากการศึกษาวิจัยเพื่อศึกษาลักษณะและตัวแบบประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดี และการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้กำหนดขั้นตอนการดำเนินการวิจัยออกเป็น 12 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ศึกษาลักษณะและตัวแบบประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดี (ภาพประกอบที่ 1) 2. กำหนดหัวเรื่อง 3. กำหนดหัวเรื่องย่อยของแต่ละหัวเรื่อง 4. ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบหัวเรื่องและหัวเรื่องย่อย 5. ปรับปรุงแก้ไขหัวเรื่องและหัวเรื่องย่อย 6. ยกร่างบทเรียนสำเร็จรูป 7. การทดลองใช้บทเรียนสำเร็จรูปครั้งที่ 1 8. การปรับปรุงแก้ไขบทเรียนสำเร็จรูปครั้งที่ 1 9. การทดลองใช้บทเรียนสำเร็จรูปครั้งที่ 2 10. การปรับปรุงแก้ไขบทเรียนสำเร็จรูปครั้งที่ 2 11. การทดลองใช้บทเรียนสำเร็จรูปครั้งที่ 3 12. การปรับปรุงแก้ไขบทเรียนสำเร็จรูปครั้งที่ 3 การดำเนินงานวิจัยทั้ง 12 ขั้นดังกล่าวได้แสดงให้เห็นในภาพประกอบที่ 2 ดังนี้
ขอบเขตของการวิจัย ขอบเขตของการวิจัยในที่นี้จะกล่าวถึงเรื่องเนื้อหาการศึกษาวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง และตัวแปรที่ศึกษา ดังนี้
เนื้อหาการศึกษาวิจัย 1. การศึกษาวิจัยตอนที่ 1 ศึกษาเฉพาะปัจจัยภาวะผู้นำของคณบดีซึ่งประกอบด้วย ด้านชีวสังคมของคณบดี จิตลักษณะของคณบดี พฤติกรรมผู้นำของคณบดี สภาพแวดล้อมทางภารกิจของคณบดี พฤติกรรมความร่วมมือของคณบดี และสภาพความคงอยู่ในตำแหน่งของคณบดี ส่วนประสิทธิผลการทำงานของคณบดี จะศึกษาประสิทธิผลของคณบดี และประสิทธิผลของคณะ 2. การวิจัยเชิงพัฒนาเป็นความรู้เกี่ยวกับการปรับปรุงประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏ จำกัดขอบเขตเฉพาะประสิทธิผลภาวะผู้นำตามลักษณะและตัวแบบ ซึ่งได้รับผลจากการวิจัยจากเนื้อหาการศึกษาวิจัย ข้อที่ 1 และผู้วิจัยศึกษาวิเคราะห์ได้ ซึ่งได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว 3. การวิจัยนี้มุ่งพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูป เพื่อใช้พัฒนาคณบดีในสถาบันราชภัฏทั้งในด้านความรู้ความสามารถในเชิงทฤษฎีและด้านปฏิบัติ โดยการเสนอเนื้อหาทั้งที่เป็นภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยตอนที่ 1 คือ คณบดีทุกคนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในสถาบันราชภัฏทั้ง 36 สถาบัน ระหว่างปีการศึกษา 2540-2541 จำนวน 156 คน สำหรับกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ได้จากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน ประกอบด้วยรองอธิการบดีผ่ายวิชาการจำนวน 18 คน คณบดี จำนวน 116 คน และอาจารย์ที่เป็นผู้แทนคณะ จำนวน 553 คน ซึ่งได้จากสถาบันราชภัฏที่เป็นหน่วยตัวอย่าง ทั้งหมดจำนวน 26 สถาบัน 2. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยเชิงพัฒนา คือ คณบดีทุกคนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในสถาบันราชภัฏทั้ง 36 สถาบัน ระหว่างปีการศึกษา 2543 สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้สำหรับการวิจัยเชิงพัฒนาครั้งนี้ คือ คณบดีในสถาบันราชภัฏที่เป็นหน่วยตัวอย่างสำหรับทดลองบทเรียนสำเร็จรูปครั้งที่ 1 คือ สถาบันราชภัฏมหาสารคาม จำนวน 4 คน ครั้งที่ 2 คือ สถาบันราชภัฏเลย จำนวน 5 คนและครั้งที่ 3 คือสถาบันราชภัฏสกลนคร อุดรธานี นครราชสีมา อุบลราชธานี บ้านสมเด็จเจ้าพระยา ธนบุรี พระนคร เชียงใหม่ ลำปาง กำแพงเพชร พิบูลสงคราม พระนครศรีอยุธยา นครปฐม ราชนครินทร์ ลพบุรี เพชรบุรี หมู่บ้านจอมบึง ยะลา นครศรีธรรมราช และสงขลา โดยสุ่มอย่างง่าย สถาบันละ 2 คน ได้กลุ่มตัวอย่างคณบดีจำนวน 40 คน
ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรที่ศึกษาในการวิจัยตอนที่ 1 มีตัวแปรควบคุม ตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1.1 ด้านชีวสังคมของคณบดี ประกอบด้วย
1.2 ด้านจิตลักษณะของคณบดี ประกอบด้วย
1.4 ด้านสภาพแวดล้อมทางภารกิจของคณบดี ประกอบด้วย
1.5 พฤติกรรมความร่วมมือของคณบดี 1.6 สภาพความคงอยู่ในตำแหน่งของคณบดี 2. ตัวแปรตาม คือ ประสิทธิผลการทำงานของคณบดี ประกอบด้วย 2.1 ประสิทธิผลของคณบดี 2.2 ประสิทธิผลของคณะ
ข้อตกลงเบื้องต้น บทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง การแสวงหาภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏนี้ได้พัฒนาขึ้นโดยอาศัยหลักการเรียนรู้ที่สำคัญ คือ การให้ผู้รับการพัฒนาได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนอย่างกระตือรือร้นจากการมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับคำถาม การเสริมแรงจากการให้ทราบผลการเรียนรู้เป็นระยะ ๆ และในทันที มีการจูงใจโดยเสนอเนื้อหาเป็นเรื่อง ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีทั้งภาคทฤษฎีที่สอดคล้องกับลักษณะและตัวแบบ ประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏในผลการวิจัยตอนที่ 1 ตลอดจนอาศัยหลักการสอนเพื่อความรอบรู้ จึงทำให้บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องนี้สามารถพัฒนาคณบดีให้สามารถถ่ายโยงการเรียนรู้ไปสู่การปฏิบัติจริงได้ สมมุติฐานการวิจัย เพื่อแสดงถึงผลการวิจัยตอนที่ 1 ผู้วิจัยได้ตั้งสมมุติฐานการวิจัยให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการวิจัยไว้ดังนี้ จุดมุ่งหมายการวิจัยข้อที่ 1 เพื่อแสวงหาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิผลการทำงานของคณบดี ด้านประสิทธิผลของคณบดี และด้านประสิทธิผลของคณะ โดยการศึกษาอำนาจพยากรณ์ประสิทธิผลการทำงานของคณบดี จากปัจจัยด้านชีวสังคมคณบดี ด้านจิตลักษณะของคณบดี ด้านพฤติกรรมผู้นำของคณบดี ด้านสภาพแวดล้อมทางภารกิจของคณบดี ตัวแปรทางคุณลักษณะด้านพฤติกรรมความร่วมมือในการทำงานของคณบดี และสภาพความคงอยู่ในตำแหน่งของคณบดี สมมุติฐานการวิจัยข้อที่ 1 ปัจจัยด้านชีวสังคมของคณบดีทั้ง 5 ตัวแปร จิตลักษณะของคณบดี 5 ลักษณะ พฤติกรรมผู้นำคณบดี สภาพแวดล้อมทางภารกิจกับ 3 ตัวแปร ร่วมกับพฤติกรรมความร่วมมือในการทำงาน และสภาพความคงอยู่ในตำแหน่งของคณบดี ร่วมกันพยากรณ์ประสิทธิผลการทำงานของคณบดีด้านประสิทธิผลของคณบดี และด้านประสิทธิผลของคณะได้ จุดมุ่งหมายการวิจัยข้อที่ 2 เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลการทำงานของคณบดีด้านประสิทธิผลของคณบดี และประสิทธิผลของคณะที่มีปัจจัยภาวะผู้นำแตกต่างกัน สมมุติฐานการวิจัยข้อที่ 2 ตัวแปรและปัจจัยภาวะผู้นำของคณบดีที่แตกต่างกัน ส่งผลต่อ ประสิทธิผลการทำงานของคณบดีด้านประสิทธิผลของคณบดีและประสิทธิผลของคณะแตกต่างกัน จุดมุ่งหมายการวิจัยข้อที่ 3 เพื่อศึกษาการใช้ทฤษฎีของฟีดเลอร์ และ ทฤษฎีต้นไม้จริยธรรมหรือจิตลักษณะ 5 ประการ พยากรณ์ประสิทธิผลการทำงานของคณบดีทั้งด้านประสิทธิผลของคณบดีและด้านประสิทธิผลของคณะ ในพฤติกรรมผู้นำประเภทต่าง ๆ จุดมุ่งหมายการวิจัยข้อที่ 4 เพื่อศึกษาทฤษฎีต้นแบบประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดี สมมุติฐานการวิจัยข้อที่ 3 ทฤษฎีต้นแบบประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏ คล้ายคลึงกับทฤษฎีประสิทธิผลภาวะผู้นำของฟีดเลอร์ จุดมุ่งหมายการวิจัยข้อที่ 5 เพื่อศึกษาระดับของประสิทธิผลการทำงานของคณบดีด้านประสิทธิผลของคณบดี และด้านประสิทธิผลของคณะ สมมุติฐานการวิจัยข้อที่ 4 ระดับประสิทธิผลการทำงานของคณบดีด้านประสิทธิผลของคณบดีและประสิทธิผลของคณะอยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ จุดมุ่งหมายการวิจัยข้อที่ 6 เพื่อให้ได้ร่างบทเรียนสำเร็จรูปที่มีส่วนประกอบต่าง ๆ ตามที่กำหนดครบถ้วน คือ ชื่อบทเรียนสำเร็จรูป คำแนะนำในการใช้บทเรียน แนวคิด วัตถุประสงค์ เนื้อหา แบบประเมินตนเองท้ายบท เอกสารอ่านประกอบ และรายชื่อเอกสารอ้างอิง (ถ้ามี) จุดมุ่งหมายการวิจัยข้อที่ 7 เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของบทเรียนด้วยวิธีการต่อไปนี้ 7.1 เปรียบเทียบผลการทำแบบทดสอบประจำบทเรียนกับเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 7.2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ระหว่างก่อนและหลังเรียนบทเรียนสำเร็จรูปทุกชุด สมมุติฐานการวิจัยข้อที่ 5 คะแนนเฉลี่ยจากแบบทดสอบประจำบทเรียนแต่ละชุดของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด เมื่อคิดเป็นร้อยละแล้วได้ 90 หรือสูงกว่า สมมุติฐานการวิจัยข้อที่ 6 ร้อยละ 90 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดทำข้อสอบข้อหนึ่ง ๆ ของ แบบทดสอบประจำบทเรียนได้ถูกต้อง สมมุติฐานการวิจัยข้อที่ 7 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดหลังศึกษาบทเรียนสำเร็จรูปสูงกว่าก่อนศึกษาบทเรียนสำเร็จรูป
บทย่อผลการวิจัย การศึกษาวิจัยเชิงสำรวจลักษณะและตัวแบบประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏ ได้ข้อสรุปที่สำคัญเกี่ยวข้องกับการวิจัยเชิงพัฒนาครั้งนี้ คือ สามารถใช้ทฤษฎีประสิทธิผลภาวะผู้นำตามสภาพการณ์ของฟีดเลอร์ (Fiedler.1967) เป็นกรอบหลักในการพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูป เพื่อปรับปรุงประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏ การพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปเพื่อปรับปรุงประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏ เป็นวิธีการหนึ่งของการพัฒนาบุคลากรของสถาบันราชภัฏที่เหมาะสมกับลักษณะการกระจายของบุคลากรที่เป็นคณบดีในสถาบันราชภัฏและเป็นการลดภาระการสิ้นเปลืองทรัพยากรด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องของงบประมาณที่จำกัดในสภาพการณ์ปัจจุบัน ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้จึงมุ่งพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปเรื่อง การแสวงหาภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏขึ้น เพื่อให้คณบดีได้ศึกษา เรียนรู้การปรับปรุงภาวะผู้นำโดยใช้วิธีการศึกษาด้วยตัวเอง โดยมีจุดมุ่งหมายของการพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปให้เกิดประสิทธิภาพภายใต้สมมุติฐานการวิจัย 3 ประการคือ (1) คะแนนจากแบบทดสอบประจำชุดแต่ละชุดของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด เมื่อคิดเป็นร้อยละแล้วได้ 90 หรือสูงกว่า (2) ร้อยละ 90 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดทำข้อสอบข้อหนึ่งๆ ของแบบทดสอบประจำชุดได้ ถูกต้อง และ (3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดหลังการศึกษาบทเรียนสำเร็จรูปสูงกว่าก่อนการศึกษาบทเรียนสำเร็จรูปอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ผลการวิจัยครั้งนี้นำเสนอโดยสรุปดังต่อไปนี้ 1. วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยตอนที่ 1 เป็นการศึกษาลักษณะและตัวแบบประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏ ได้ทำการศึกษากับประชากรที่ทำหน้าที่คณบดี จำนวน 156 คน ระหว่างปีการศึกษา 25402541 โดยการสุ่มตัวอย่างหลายขั้นตอนมาใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ 18 คน อาจารย์ที่เป็นผู้แทนจากคณะจำนวน 553 คน และคณบดีจำนวน 116 คน จากสถาบันราชภัฏ 26 สถาบัน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถาม จำนวน 2 ฉบับ คือ แบบสอบถามฉบับที่ 1 เป็น แบบสอบถามวัดปัจจัยภาวะผู้นำของคณบดี แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยด้าน ชีวสังคมของคณบดี ด้านจิตลักษณะของคณบดี 5 ด้าน คือ ความเชื่ออำนาจในตนมีค่าความเชื่อมั่น 0.6679 ลักษณะมุ่งอนาคตมีค่าความเชื่อมั่น 0.6832 ความมีเหตุผลเชิงจริยธรรมมีค่าความเชื่อมั่น 0.1747 สุขภาพจิตมีค่าความเชื่อมั่น 0.8847 และเจตคติที่ดีงานมีค่าความเชื่อมั่น 0.4385 แบบสอบถามวัดพฤติกรรมผู้นำมีค่าความเชื่อมั่น 0.9470 แบบสอบถามวัดสภาพแวดล้อมทางภารกิจของคณบดี มีค่าความเชื่อมั่น 0.8800 แบบสอบถามวัดพฤติกรรมความร่วมมือของคณบดี มีค่าความเชื่อมั่น 0.7897 และแบบสอบถามวัดสภาพความคงอยู่ในตำแหน่งมีค่าความเชื่อมั่น 0.7619 ส่วนฉบับที่ 2 เป็นแบบสอบถามวัดประสิทธิผลการทำงานของคณบดีด้านประสิทธิผลคณบดี มีค่าความเชื่อมั่น 0.9522 และแบบสอบถามวัดประสิทธิผลการทำงานของคณบดี ด้านประสิทธิผลของคณะ มีค่าความเชื่อมั่น 0.9238 แบบสอบถามทั้งหมดถูกส่งไปให้กลุ่มตัวอย่างทุกกลุ่มใน 26 สถาบัน ที่เป็นหน่วยตัวอย่าง จำนวน 687 ชุด ปรากฏว่าได้รับคืน จำนวน 615 ชุด คิดเป็นร้อยละ 89.51 การวิจัยตอนที่ 2 เป็นการวิจัยเชิงพัฒนา ซึ่งประกอบไปด้วยขั้นตอนการดำเนินงาน 12 ขั้นตอน ดังนี้ 1. การศึกษาลักษณะและตัวแบบประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏ เพื่อใช้เป็นแนวทางการกำหนดหัวเรื่องที่จะพัฒนาเป็นบทเรียนสำเร็จรูป 2. การกำหนดหัวเรื่องตามผลการศึกษาวิเคราะห์ในขั้นตอนที่ 1 3. การกำหนดหัวเรื่องย่อยของแต่ละหัวเรื่อง เพื่อใช้เป็นแนวทางการเสนอเนื้อหา 4. การให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบหัวเรื่องและหัวเรื่องย่อย ให้มีความถูกต้องตามหลักการ แนวคิด หรือ ทฤษฎีประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดี และให้มีความสอดคล้องกับความเป็นจริงในถาบันราชภัฏมากขึ้น 5. การปรับปรุงแก้ไขหัวเรื่องและหัวเรื่องย่อยตามข้อเสนอแนะที่ได้รับจากผู้เชี่ยวชาญ 6. การยกร่างชุดฝึกแต่ละชุดในบทเรียนสำเร็จรูปด้วยตนเอง ให้มีจำนวนตามหัวเรื่อง ที่กำหนดให้ 10 หัวเรื่อง แต่ละชุดให้มีส่วนประกอบต่างๆ ตามที่ผู้วิจัยกำหนด คือ ชื่อชุดฝึก คำแนะนำการใช้ชุดฝึก แนวคิด วัตถุประสงค์ เนื้อหา แบบประเมินผลตนเองตามชุดฝึก รายชื่อเอกสารอ้างอิงและเอกสารอ่านประกอบ (ถ้ามี) 7. การทดลองการใช้ชุดฝึกในบทเรียนสำเร็จรูปครั้งที่ 1 กับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นคณบดีในสถาบันราชภัฏมหาสารคามจำนวน 4 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการคัดเลือกอย่างเจาะจง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยตรวจสอบหาข้อบกพร่องที่ควรปรับปรุงแก้ไข 8. การปรับปรุงแก้ไขชุดฝึกในบทเรียนสำเร็จรูปครั้งที่ 1 ตามข้อเสนอแนะที่ได้รับจากกลุ่มตัวอย่างในขั้นที่ 7 9. การทดลองใช้ชุดฝึกในบทเรียนสำเร็จรูปครั้งที่ 2 กับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นคณบดีในสถาบันราชภัฏเลยจำนวน 5 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการคัดเลือกอย่างเจาะจง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ช่วยตรวจสอบหาข้อบกพร่องที่ควรปรับปรุงแก้ไข 10. การปรับปรุงแก้ไขชุดฝึกในบทเรียนสำเร็จรูปขั้นที่ 2 ตามข้อเสนอแนะที่ได้รับจากกลุ่มตัวอย่างในขั้นตอนที่ 9 11. การทดลองการใช้ชุดฝึกในบทเรียนสำเร็จรูปครั้งที่ 3 กับกลุ่มตัวอย่างคณบดีในสถาบันราชภัฏที่เป็นหน่วยตัวอย่าง 20 สถาบันๆ ละ 2 คน รวมทั้งสิ้น 40 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มอย่างง่ายจากคณบดีทั้งหมดในแต่ละสถาบันที่เป็นหน่วยตัวอย่าง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของชุดฝึกตามสมมุติฐานการวิจัยที่กำหนด และเพื่อตรวจสอบหาข้อบกพร่องที่ควรปรับปรุงแก้ไข 12. การปรับปรุงแก้ไขชุดฝึกในบทเรียนสำเร็จรูปครั้งที่ 3 ตามข้อมูลที่ได้รับจากกลุ่มตัวอย่างในขั้นตอนที่ 11 2. การวิเคราะห์ข้อมูล ข้อมูลสำหรับการวิจัยครั้งนี้ได้ทำการวิเคราะห์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยใช้โปรแกรม SPSS for Windows คำนวณค่าสถิติที่ใช้ทดสอบสมมุติฐานของการวิจัย หลายประการ คือ สถิติเชิงบรรยาย สหสัมพันธ์อย่างง่าย การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบเพิ่มตัวแปรทีละขั้น ทดสอบค่าที และวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบ 2 ทาง และแบบ 3 ทาง 3. สรุปผลการวิจัย การดำเนินงานตามวิธีดำเนินการวิจัย 12 ขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยสรุปผลวิจัยได้ดังนี้
1.1 สามารถใช้ทฤษฎีประสิทธิผลภาวะผู้นำตามสภาพการณ์ของฟีดเลอร์เป็นโครงสร้างหลักซึ่งประกอบไปด้วย
1.1.2 สภาพแวดล้อมทางภารกิจของคณบดี หรือ สภาพการณ์ในการนำของคณบดี ซึ่งกำหนดองค์ประกอบย่อยไว้ 3 ประการคือ
ข. โครงสร้างของงานในคณะหรือ ความชัดเจนของงานในคณะ
โดยกำหนดสภาพการณ์ในการนำของคณบดีไว้ 3 สภาพการณ์ คือ สภาพการณ์ที่เอื้อต่อการนำของคณบดีต่ำ ปานกลางและสูง 1.2 ตัวแบบการพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปเพื่อปรับปรุงประสิทธิผลภาวะนำของคณบดี ผู้วิจัยได้ศึกษาจากตัวแบบบทเรียนสำเร็จรูปการปรับปรุงประสิทธิผลภาวะผู้นำของฟีดเลอร์และคณะ (Fiedler, Chemers and Mahar. 1977 ; 1989) และแนวทางการพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปจากนักวิจัยในประเทศไทยและต่างประเทศ (วิโรจน์ สารรัตนะ. 2523 ; อ้างจาก Espich and Williams. 1967 และ Romiszoski. 1986) ได้ตัวแบบบทเรียนสำเร็จรูปเรื่องการแสวงหาภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏจำแนกออกเป็น 10 หัวเรื่อง คือ
ภารกิจของคณบดี 1.2.4 การประเมินความสัมพันธ์ระหว่างคณบดีกับสมาชิกในคณะ 1.2.5 การประเมินโครงสร้างของงานในคณะ หรือความชัดเจนของงานในคณะ 1.2.6 การประเมินอำนาจในตำแหน่งของคณบดี 1.2.7 การประเมินอำนาจการควบคุมสภาพการณ์ในการนำของคณบดี หรือการ
1.2.9 การปรับเปลี่ยนสภาพการณ์ในการนำ 1.2.10 ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏ 2. หัวเรื่องที่กำหนดได้จากลักษณะและตัวแบบเพื่อปรับปรุงประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีมี 10 หัวเรื่อง แต่ละหัวเรื่องนำไปพัฒนาเป็นชุดฝึกในบทเรียนสำเร็จรูปได้ 1 ชุด แต่ละชุดประกอบด้วยหัวเรื่องย่อยที่กำหนดขึ้นจากการศึกษาเอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวข้องและได้รับการตรวจสอบ เพื่อปรับปรุงแก้ไขจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว ดังต่อไปนี้ 2.1 ปฐมบท
2.2 การค้นหาแบบของพฤติกรรมผู้นำของคณบดี
การทำงานของคณบดีแตกต่างกัน
คณะจากแบบประเมินความสัมพันธ์ระหว่างคณบดีกับสมาชิกในคณะ
2.5.2 การประเมินความชัดเจนของงานในคณะ 2.6 การประเมินอำนาจในตำแหน่งของคณบดี
2.7 การประเมินอำนาจในการควบคุมสภาพการณ์ในการนำของคณบดี
2.7.2 ลักษณะและระดับของอำนาจการควบคุมสภาพการณ์ในการนำของคณบดี
2.8 การประสานแบบของพฤติกรรมผู้นำให้เข้ากับสภาพการณ์ในการนำของคณบดี 2.8.1 การประสานแบบของพฤติกรรมผู้นำให้เข้ากับสภาพการณ์ในการนำของคณบดีได้ อย่างเหมาะสม
สภาพการณ์ในการนำของคณบดี 2.9 การปรับเปลี่ยนสภาพการณ์ในการนำของคณบดี
2.10 ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏ
ประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏ 3. ข้อบกพร่องของบทเรียนสำเร็จรูปซึ่งได้จากการทดลองใช้ทั้ง 3 ครั้ง และได้รับการปรับปรุงแก้ไขแล้ว มีดังนี้
4. ประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูป ซึ่งเป็นผลมาจากการทดลองใช้ชุดฝึกในบทเรียนสำเร็จรูปครั้งที่ 3 มีผลสรุป 2 ลักษณะดังนี้
การอภิปรายผล ผลการวิจัยสรุปข้างต้นสามารถอภิปรายผลได้ดังนี้ 1. ลักษณะและตัวแบบประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏ จากการศึกษาวิจัยตอนที่ 1 พบว่า สามารถนำทฤษฎีประสิทธิผลภาวะผู้นำตามสภาพการณ์ของฟีดเลอร์ (Fiedler. 1967) มาใช้เป็นโครงสร้างหลักในการกำหนดลักษณะและตัวแบบ ซึ่งประกอบด้วย (1) คุณลักษณะด้านพฤติกรรมผู้นำของคณบดี (2) สภาพแวดล้อมทางภารกิจของคณบดีหรือสภาพการณ์ในการนำของคณบดี ซึ่งกำหนดองค์ประกอบย่อยได้ 3 ประการ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างคณบดีกับสมาชิกในคณะ โครงสร้างของงานในคณะและอำนาจในตำแหน่งของคณบดี โดยการกำหนดสภาพการณ์ในการนำของคณบดีไว้ 3 สภาพการณ์ คือ สภาพการณ์ที่เอื้อต่อคณบดีต่ำ ปานกลาง สูง ส่วนจิตลักษณะของคณบดีจากทฤษฎีต้นไม้จริยธรรมของ ดวงเดือน พันธุมนาวิน (2538) ที่สำคัญ ที่ค้นพบจากการวิจัยตอนที่ 1 คือ เจตคติที่ดีต่อการทำงานของคณบดี ลักษณะมุ่งอนาคตของคณบดีและความเชื่ออำนาจในตนของคณบดีและคุณลักษณะทางด้านการบริหาร 2 ประการ คือ พฤติกรรมความร่วมมือของคณบดี และสภาพความคงอยู่ในตำแหน่งของคณบดี เป็นคุณลักษณะเสริมของคณบดีที่มีผลทำให้คณบดีได้ใช้แบบการนำในสภาพการณ์ต่างๆ ให้เกิดประสิทธิผลซึ่งอาศัยหลักความสัมพันธ์แบบพหุคูณหรือหลักการกรองหลายขั้นตอน (Multiple Screen Model) ของฟีดเลอร์มาเพื่ออธิบายได้ จากผลของการวิเคราะห์ลักษณะของการบริหารงานของคณบดีในสถาบันราชภัฏและจากผลการวิจัยตอนที่ 1 แสดงให้เห็นถึงความสำคัญและความเหมาะสมในการกำหนดหัวเรื่องต่างๆ เช่น "ปฐมบท", "การค้นหาแบบของพฤติกรรมผู้นำของคณบดี", "ทำความเข้าใจกับสภาพการณ์ในการนำของคณบดี" เป็นต้น ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญทั้งที่เป็นนักวิชาการและนักปฏิบัติการในมหาวิทยาลัยและในสถาบันราชภัฏ ซึ่งจะทำให้ให้คณบดีที่ได้ศึกษาเนื้อหาดังกล่าว มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของผู้นำ ภาวะผู้นำและประสิทธิผลภาวะผู้นำที่มีผลต่อประสิทธิผลในการบริหารงานของคณบดี ได้ทราบถึงแนวทางค้นหาแบบของพฤติกรรมผู้นำของคณบดี และเกิดความรู้และเข้าใจเรื่องของสภาพการณ์ในการนำของคณบดีว่ามีลักษณะองค์ประกอบที่สำคัญอะไรบ้างมีอิทธิผลต่อประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีแต่ละลักษณะอย่างไร เป็นต้น ซึ่งตามทฤษฎีการจูงใจของลอเลอร์และปอร์เตอร์ (Lauler Portor. ; อ้างจาก วิโรจน์ สารรัตนะ : 25 : 424) ได้กล่าวถึงบุคคลที่มีแรงจูงใจในการทำงานได้ดีขึ้นและถูกต้องขึ้น ถ้าหากได้ทราบถึงบทบาท หน้าที่ และสภาพแวดล้อมทางภารกิจของตนเอง หรือ ตามแนวคิดของการบริหารแบบเน้นวัตถุประสงค์ ซึ่งจะให้ความสำคัญกับผู้ปฏิบัติได้ทราบถึงวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายสุดท้ายที่จะได้จากการทำงานจะเป็นสิ่งจูงใจให้ผู้ปฏิบัติได้ใช้ความพยายาม เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายนั้นอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการกำหนดหัวเรื่องดังกล่าวข้างต้น เพื่อพัฒนาเป็นบทเรียนสำเร็จรูปชุดหนึ่ง ๆ จึงมีความเหมาะสมที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการบริหารงานวิชาการของคณบดีให้บรรลุผลอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพได้ 2. ตัวแบบการพัฒนาประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏ ผลการศึกษาวิจัยพบว่ามีขั้นตอนการดำเนินงาน 10 ขั้นตอน เป็นการผสมผสานระหว่างทฤษฎีประสิทธิผลภาวะผู้นำตามสภาพการณ์ของฟีดเลอร์ ตัวแบบจากบทเรียนสำเร็จรูปการปรับปรุงประสิทธิผลภาวะผู้นำของฟีดเลอร์และคณะ และแนวทางการพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปของนักวิจัยในประเทศไทยและต่างประเทศ ทั้งนี้ เพื่อให้ตัวแบบการพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูป เพื่อปรับปรุงประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏมีความถูกต้องตามแนวคิด หลักการหรือทฤษฎีของการพัฒนา ปรับปรุงประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูปให้มีความสอดคล้องกับสภาพจริงของสถาบันราชภัฏให้มากที่สุด นอกจากนั้นหัวเรื่องทั้งหมดที่ได้จากตัวแบบดังกล่าวได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญที่เป็นนักวิชาการและนักปฏิบัติการในมหาวิทยาลัยและในสถาบันราชภัฏ จึงมีความเหมาะสมที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏได้อย่างเหมาะสมต่อไป 3. หัวเรื่องย่อยของแต่ละหัวเรื่องที่กำหนดขึ้นเพื่อเป็นโครงร่างเสนอเนื้อหา ผู้วิจัยได้เน้นการจัดลำดับจากการให้ความรู้พื้นฐานไปสู่ความเข้าใจ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ ตลอดจนการนำไปประยุกต์ใช้ในสภาพการณ์จริงต่อไป ดังเห็นได้จากรูปแบบการเสนอเนื้อหาในบทเรียนสำเร็จรูปแต่ละชุดจะให้ผู้ศึกษามีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับความหมาย จุดมุ่งหมาย แนวคิดและความสำคัญของเรื่องนั้น ๆ ก่อนแล้วจึงให้มีความสามารถในการสังเคราะห์ การวิเคราะห์ การประยุกต์ใช้ หรือ การฝึกปฏิบัติแล้วแต่กรณี ลักษณะการจัดลำดับของหัวเรื่องย่อย เพื่อเสนอเนื้อหาดังกล่าว เป็นไปตามเกณฑ์การสอนแบบโปรแกรม (Programmed Instruction) ซึ่งสามารถนำไปใช้พัฒนาคณบดีให้เกิดการเรียนรู้ขึ้นได้ 4. ข้อบกพร่องของบทเรียนสำเร็จรูป ส่วนหนึ่งจะเกี่ยวข้องกับการพิมพ์ไม่ถูก และกรณีตัวอย่างควรเกี่ยวข้องกับการศึกษา และสภาพการทำงานของคณบดีให้มากขึ้น อีกส่วนหนึ่งเป็นการใช้คำ หรือข้อความเฉพาะควรสอดคล้องกันในบทเรียนชุดต่าง ๆ ผู้วิจัยได้ปรับปรุงให้เหมาะสมกับข้อเสนอแนะของกลุ่มตัวอย่างคณบดีให้มากที่สุด ถึงแม้ว่ากลุ่มตัวอย่างคณบดี ซึ่งได้ศึกษาบทเรียนสำเร็จรูปทุกชุดจากการทดลองใช้ครั้งที่ 3 และได้ประเมินคุณภาพของชุดต่าง ๆ ในบทเรียนทั้ง 10 ชุด อยู่ในเกณฑ์ระดับเหมาะสมมากก็ตาม (กลุ่มตัวอย่างส่วนมากได้ประเมินคุณภาพของชุดที่ 1-9 อยู่ระดับเหมาะสมมาก และชุดที่ 10 อยู่ระดับเหมาะสมปานกลาง) 5. ประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูปแต่ละชุดตามเกณฑ์มาตรฐาน 90/90 ซึ่งผลการทดลองใช้บทเรียนสำเร็จรูปทุกชุดครั้งที่ 3 พบว่ามีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 90 ตัวแรกและมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 90 ตัวหลัง ตามสมมุติฐานการวิจัยที่กำหนดไว้ทั้ง 2 ข้อ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเมื่อพิจารณาโดยภาพรวมแล้วชุดฝึกแต่ละชุดในบทเรียนสำเร็จรูปมีประสิทธิภาพที่สามารถพัฒนาผู้เรียน(คณบดี)ให้เกิดการเรียนรู้ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ได้ 6. ประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูปทุกชุด ตามเกณฑ์การเปรียบเทียบความแตกต่างของ ผลการเรียนรู้ของกลุ่มตัวอย่างระหว่างก่อนและหลังการศึกษาบทเรียนสำเร็จรูปทุกชุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งพบว่ามีประสิทธิภาพตามเกณฑ์และเป็นไปตามสมมุติฐานการวิจัยข้อที่ 3 แสดงให้เห็นว่าบทเรียนสำเร็จรูปทั้งหมดทุกชุดมีประสิทธิภาพที่สามารถนำไปใช้พัฒนาคณบดีในสถาบันราชภัฏโดยใช้วิธีเดียวกับวิธีที่ใช้ทดลองครั้งที่ 3 ได้ดี เหตุผลที่บทเรียนสำเร็จรูปรวมทุกชุดมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ดังกล่าวในระดับสูงนั้นอาจเป็นผลมาจากประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีเป็นเรื่องที่ตรงกับความต้องการและสอดคล้องกับการดำเนินชีวิตที่เกี่ยวข้องกับภารกิจและสภาพการณ์ต่างๆ ของคณบดีในสถาบันราชภัฏต่าง ๆ ในปัจจุบัน นอกจากนั้นยังสามารถจะนำไปประยุกต์ใช้ได้ และวิธีการในการศึกษาก็เหมาะสมกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นคณบดี ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ตามหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ และความละเอียด รอบคอบในการพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปที่อาศัยหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ในหลักการสอนแบบโปรแกรม และรูปแบบการเรียนรู้แจ้ง(Mastery Learning) ซึ่งมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีพฤติกรรมการเรียนรู้ตามเกณฑ์ที่กำหนดจากการเรียนการสอนแบบซ่อมเสริม
ข้อเสนอแนะ จากผลการวิจัยพัฒนาเพื่อปรับปรุงประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีสถาบันราชภัฏที่ได้เสนอไปแล้วนั้น ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้ ข้อเสนอแนะเพื่อการนำไปใช้ 1. การนำบทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง "การแสงวงหาภาวะผู้นำของคณบดี" ไปใช้พัฒนาคณบดีในสถาบันราชภัฏ ควรดำเนินการดังนี้ 1.1 ทำการทดสอบคณบดีด้วย แบบทดสอบภาวะผู้นำของคณบดี หากใครที่ได้คะแนนไม่ถึงร้อยละ 90 ของคะแนนเต็ม ควรต้องได้รับการพัฒนา โดยเฉพาะผู้ที่ได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ดังกล่าวมาก 1.2 ให้คณบดีที่ต้องได้รับการพัฒนาทำแบบทดสอบคำถามสรุปบทเรียนท้ายชุดแต่ละชุด ก่อนที่จะศึกษาบทเรียนสำเร็จรูปแต่ละชุด เพื่อทดสอบความรู้ความสามารถว่าควรได้รับการพัฒนาด้วยบทเรียนสำเร็จรูปนี้หรือไม่ โดยผู้ที่ทำคะแนนได้ถึงร้อยละ 90 ของคะแนนเต็มขึ้นไป (ทำข้อทดสอบถูกหมด 5 ข้อ) ไม่จำเป็นต้องรับการพัฒนา คงได้รับการพัฒนาหรือต้องศึกษาบทเรียนสำเร็จรูปเฉพาะชุดที่ทำคะแนนได้ต่ำกว่าร้อยละ 90 ของคะแนนเต็มเท่านั้น 1.3 ให้คณบดีที่ต้องได้รับการพัฒนาดำเนินการตาม 1.2 ตามลำดับจากชุดที่ 1-10 ในเวลาและสถานที่ที่แต่ละคนสะดวก หลังจากการศึกษาบทเรียนสำเร็จรูปแล้ว ให้คณบดีทำแบบทดสอบคำถามสรุปบทเรียนท้ายชุดแต่ละชุดนั้น ๆ เสร็จแล้วจึงทำการตรวจสอบความถูกต้องโดยอาศัยคำเฉลยในชุดฝึกเพื่อซ่อมเสริม หากทำข้อใดไม่ถูกต้องให้ทำการศึกษาซ่อมเสริมตามคำแนะนำในชุดฝึกเพื่อซ่อมเสริมประเด็นดังกล่าวนั้น จนกว่าจะมีความรู้ ความเข้าใจ หรือฝึกปฏิบัติในเรื่องนั้นได้ จึงจะทำการทดสอบตนเอง เพื่อจะศึกษาชุดฝึกชุดต่อไปได้ 1.4 เมื่อคณบดีได้ศึกษาบทเรียนสำเร็จรูปครบทุกชุดแล้ว ให้ทำแบบทดสอบภาวะผู้นำของคณบดีอีกครั้งหนึ่ง หากสามารถทำคะแนนจากแบบทดสอบได้ถึงร้อยละ 90 ของคะแนนเต็ม หรือมากกว่าก็แสดงว่าเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถในเรื่องของภาวะผู้นำของคณบดีตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด แต่ถ้าหากทำแบบทดสอบได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ดังกล่าว แสดงว่าควรตรวจสอบหาข้อบกพร่องที่ทำให้ไม่สามารถทำคะแนนได้ตามเกณฑ์ดังกล่าวได้ โดยเฉพาะผู้ที่ทำคะแนนได้ต่ำกว่าเกณฑ์ดังกล่าวมากแล้วหาทางปรับปรุงแก้ไข เพื่อศึกษาเพิ่มในส่วนที่ตนเองคิดว่ายังไม่มีความรู้ ความเข้าใจ หรือฝึกปฏิบัติต่อไป 2. หลังจากได้พิจารณาคณบดีไปได้รับระยะเวลาหนึ่ง 15-30 วัน หรืออื่น ๆ ตามความเหมาะสม ผู้บริหาร หรือผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งอาจจะเป็นบุคลากรในศูนย์ฝึกอบรมของสถาบันราชภัฏควรสังเกตพฤติกรรมการทำงานของคณบดีที่ได้รับการพัฒนาไปแล้วว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือไม่ นอกจากนั้น ควรตรวจสอบองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับภาวะผู้นำ เช่น พฤติกรรมผู้นำของคณบดี ความสัมพันธ์ระหว่างคณบดีกับสมาชิกในคณะ ลักษณะความชัดเจนของงานในคณะ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางด้านคุณภาพที่ดีขึ้นหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อศึกษาสาเหตุที่ควรปรับปรุงแก้ไขต่อไป 3. หากมีเหตุการณ์หรือสภาพการณ์ใดที่เกิดขึ้นแล้วมีผลทำให้การเสนอเนื้อหาในชุดต่าง ๆ ของบทเรียนสำเร็จรูปบางส่วนคาดเคลื่อนไปจากสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นใหม่นั้น ควรแจ้งให้ผู้วิจัยทราบ เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้มีความถูกต้องต่อไป 4. การนำบทเรียนสำเร็จรูปไปใช้พัฒนาบุคลากร ไม่จำกัดเฉพาะคณบดีในสถาบันราชภัฏเท่านั้น แต่อาจจะปรับใช้กับบุคลากรอื่น ๆ เช่น ผู้บริหารสถาบันราชภัฏระดับอื่น เช่น อธิการบดี รองอธิการบดี เป็นต้น หรือผู้บริหารหน่วยงานทางการศึกษาอื่น ๆ เช่น อาจารย์ใหญ่ หรือผู้อำนวยการโรงเรียน และผู้ช่วย หัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอหรือจังหวัดและผู้ช่วย ผู้อำนวยการสามัญศึกษาจังหวัดและผู้ช่วย เป็นต้น โดยอาศัยวิธีดำเนินงานเดียวกัน ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป 1. บทเรียนสำเร็จรูปเรื่อง การแสวงหาภาวะผู้นำของคณบดีนี้ พัฒนาจากกรอบความคิดของผลการวิจัยพื้นฐานลักษณะและตัวแบบประสิทธิผลภาวะผู้นำของคณบดีในสถาบันราชภัฏ ซึ่งเป็นการวิจัยหรือทดสอบทฤษฎีประสิทธิผลภาวะผู้นำตามสภาพการณ์ของฟีดเลอร์ และทฤษฎีและแนวคิดเสริมดังกล่าวว่าสามารถใช้กับคณบดีในสถาบันราชภัฏได้หรือไม่ ดังนั้นถ้าจะนำบทเรียนสำเร็จรูปนี้ไปใช้กับผู้บริหารหน่วยงานลักษณะอื่นที่มิใช่หน่วยงานทางการศึกษา ควรจะศึกษาเพื่อเป็นการทดสอบทฤษฎี ดังกล่าวก่อน 2. บทเรียนสำเร็จรูปที่พัฒนาขึ้นนี้ได้รับการทดสอบประสิทธิภาพเฉพาะในเรื่องความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาและทักษะในการปฏิบัติตามกรณีตัวอย่างหลังการศึกษาสิ้นสุดลงไปแล้วเท่านั้น ไม่ได้ศึกษาประสิทธิภาพที่มีผลต่อเนื่องไปถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการทำงานและผลการปฎิบัติงานที่มีคุณภาพหลังจากการศึกษาสิ้นสุดแล้วในช่วงเวลาหนึ่ง ดังนั้นผู้ที่สนใจอาจวิจัยให้ทราบถึงประสิทธิภาพของชุดฝึกด้วยตนเองในประเด็นดังกล่าวได้ 3. การทดลองใช้บทเรียนสำเร็จรูปครั้งที่ 3 มีข้อจำกัดเกี่ยวกับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย ผู้วิจัยไม่สามารถดำเนินการวิจัยด้วยตนเองได้ จึงขอความร่วมมือจากผู้บริหารสถาบันราชภัฏเป็นผู้ดำเนินการวิจัยให้ตามระเบียบและขั้นตอนที่ผู้วิจัยกำหนด จึงอาจเป็นตัวแปรที่มีผลกระทบต่อการทดลองได้ทั้งในทางบวกหรือทางลบ ดังนั้นเพื่อขจัดอิทธิพลของตัวแปรดังกล่าว และเพื่อให้เป็นหลักการเรียนการสอนแบบโปรแกรมอย่างแท้จริง ผู้วิจัยควรดำเนินการด้วยตนเอง 4. เนื่องจากการทดสอบประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูปครั้งที่ 3 นั้น ผู้วิจัยได้ให้กลุ่ม ตัวอย่างตรวจสอบหาข้อบกพร่องของบทเรียนสำเร็จรูปแต่ละชุดที่ควรปรับปรุงแก้ไขด้วย จึงควรจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กลุ่มตัวอย่างไม่บรรลุผลการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ ดังนั้น การวิจัยเพื่อพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปอื่น ๆ ที่มีลักษณะเดียวกันนี้ หากต้องการทราบประสิทธิภาพอย่างแท้จริงควรหลีกเลี่ยงวิธีการที่ให้กลุ่มตัวอย่างช่วยตรวจสอบหาข้อบกพร่องที่ควรปรับปรุงแก้ไขด้วย
บรรณานุกรม เจิดหล้า สุนทรวิภาต. คุณลักษณะของผู้นำและประสิทธิผลของภาควิชาของคณะศึกษาศาสตร์ใน มหาวิทยาลัยไทย. ปริญญานิพนธ์ กศ.ด. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, 2534. ดวงเดือน พันธุมนาวิน. ทฤษฎีต้นไม้จริยธรรม : การวิจัยและพัฒนาบุคคล. กรุงเทพมหานคร : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2538. ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์. ความผูกพันต่อสถาบันของอาจารย์ในสาขาครุศาสตร์อุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า. ปริญญานิพนธ์ กศ.ด. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, 2532. พระราชบัญญัติสถาบันราชภัฏ พุทธศักราช 2538, ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 112 ตอนที่ 4 ก. ลงวันที่ 26 มกราคม 2538. ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา. พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่บัณฑิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ณ ห้องประชุมสวนอัมพร กรุงเทพมหานคร, ประมวลพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาท. 2529. ราชภัฏสกลนคร, สถาบัน. แผนพัฒนาการศึกษาระยะที่ 8 พ.ศ. 2540 - 2544. สกลนคร : สำนักวางแผนและพัฒนา สถาบันราชภัฏสกลนคร, 2540. วิโรจน์ สารรัตนะ. การพัฒนาชุดฝึกด้วยตนเองเรื่องการวางแผนการศึกษาในโรงเรียนมัธยมศึกษา. ปริญญานิพนธ์ กศ.ด. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, 2532. สภาสถาบันราชภัฏ, สำนักงาน. หนังสือที่ ศธ. 1502.6 / ว 8881 เรื่องการแบ่งส่วนราชการใน สถาบันราชภัฏ. ลงวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2542. Chemers, M.M. , R.W. Rice , E. Sunstrom , W. Butler. and R. Ayman. Leadership
Cook, J.D. and others. The Experience of Work : A Compendium and Review of 249 Measures and Their Use. London : Academic Press, Inc., 1981 Espich, James E. and Bill Williams. Developing Program Instructional Materials. New York : Lear Siegler, Inc., 1967. Fiedler, F.E. A Theory of Leadership Effectiveness. New York : Mc Graw Hill, 1967.
. M.M. Chemers , and L. Mahar. Improving Leadership Effectiveness : The Leader Match Concept. New York : John Wiley & Sons, Inc., 1976.
International. 45(7) : 106 ; may, 1976. Hoy, W.K. and C.G. Miskel. Educational Administration : Theory, Research and Practice. 2 nd ed. New York : Random House, 1982. Likert, R. New Patterns of Management. New York : Mc Graw - Hill Book Company, 1961. Meyer, G. Rex. Modules : From Design to Implementation. Singapore : The Columbo Plan Staff College for Technician Education, 1984. McCorkle, C.O. and others. Management and Leadership in Higher Education. San Francisco : Jossey - Bass Publishers, 1982. Morris, V.C. Deaning : Middle Management in Accademic. Urbana, Chicago : University of Illinois Press, 1981. Parten, M.B. School Participation among Pre-School Children, Journal of Social Psychology. 27, 1933. Porter, L.W. and R.M. Steers. Organization Work and Personal Factor in Turnover and Absenteeism, Psychological Bulletin. 80 : 151 - 176 ; 1973.
. and others. Organizational Commitment, Job Satisfaction and Turnover Amang Psychiatric Technicians, Journal of Applied Psychology. 59 (5) : 603 - 609 ; October, 1974.
. E.E. Lawler and J.R. Hackman. Behavior in Organization International. Student Edition, Tokyo : Mc Graw-Hill Kogakusa, Ltd. 1975. Riley, C.L. and V.J. Baldridge. Governing Academic Organization, New Problems, New Perspective. California : Mc Cutchan Publishing Cooperation, 1977. Romiszosky, K.E. Self-Training Materials and Instruction. New York : John Willey & Sons, 1986. Worthen, B.R. Printed Materials in the Classroom, in The International Encyclopedia of Education. Great Britain : A Wheaton & Co., Ltd., 1985.
|