รวมเรื่องสั้นประทับใจ


ขอเกลือป่นได้ไหมอยากเอามาใส่ในกาแฟ

โดยคุณ : ???? Date: [2003-04-10 16:30:47]

เขาเจอเธอในงานเลี้ยงแห่งนึง
เธอดูโดดเด่นมาก
และมีคนมากมายรุมล้อมเธอ
ในขณะที่เขาดูเป็นผู้ชายธรรมดาคนนึง
ไม่มีใครใส่ใจเขาเลย

และหลังงานเลี้ยงเลิก
เขาได้มีโอกาสชวนเธอไปทานกาแฟต่อ
เธอประหลาดใจมาก
แต่ท่าทีที่สุภาพของเขา ทำให้เธอตอบตกลง

พวกเขานั่งในร้านกาแฟดีๆแห่งนึง
เขาดูประหม่าจนพูดอะไรไม่ออก
เธอรู้สึกอึดอัดมาก
จนคิดในใจว่า
ได้โปรดให้ฉันกลับบ้านเหอะ

แต่ทันใดนั้น.....
เขาถามบ๋อยว่า ขอเกลือป่นได้ไหม
อยากเอามาใส่ในกาแฟ
ทุกคนในร้านหันมาจ้องเขาด้วยความประหลาดใจ
เขาอายจนต้องก้มหน้า
แต่ก็ยังเติมเกลือลงในกาแฟ และก็ดื่มมันเสียด้วย

ทำให้เธอต้องถามเขาอย่างอดไม่ได้ว่า ทำไมชอบกาแฟรสชาติแบบนี้
เขาตอบว่า เมื่อเขายังเด็ก
บ้านเกิดเขาอยู่ริมทะเล
เขาเป็นลูกน้ำเค็ม
เล่นกับทะเลทุกวัน เคยชินกับรสเค็มของเกลือ
เหมือนกับรสชาติของกาแฟเค็ม
เพราะฉะนั้นเมื่อทุกครั้งที่เขาได้ลิ้มรสกาแฟเค็มๆ
เขาก็จะคิดถึงวัยเด็ก
คิดถึงบ้านเกิด
เขาคิดถึงพ่อแม่ทียังอยู่ที่นั่น

เขาเล่าไปก็น้ำตาไหลอาบแก้ม
เธอรู้สึกสงสารเขาจับใจ
นั่นเป็นความในใจลึกๆของเขา
ผู้ชายคนไหนที่กล้าบอกว่าเขาคิดถึงบ้าน
แสดงว่าเขาต้องรักครอบครัวอย่างมาก
และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว
ดังนั้นเธอก็เริ่มประทับใจในตัวเขา
เริ่มชวนเขาคุย
เล่าถึงบ้านเกิดของเธอบ้าง
ชีวิตในวัยเด็ก ครอบครัวของเธอ
เธอกับเขาคุยกันถูกคอมากขึ้นเรื่อยๆ
และจากการเริ่มต้นที่ดี
ให้เขากับเธอคืบหน้าความสัมพันธ์ต่อไป

จนทีสุด เธอก็ค้นพบว่า เขาคือผู้ชายแบบที่เธอต้องการอย่างแท้จริง
เขาใจกว้าง อ่อนโยน อบอุ่น และดูแลเป็นอย่างดี
เขาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ แต่เธอเกือบจะมองข้ามเขาไป!
ต้องขอบคุณกาแฟแก้วนั้น
และชีวิตรักที่สวยงามเช่นนี้ ก็เหมือนดังเรื่องทั่วไป
เมื่อเธอตกลงใจแต่งงานกับเขา
และก็มีความสุขมาโดยตลอด....
โดยทุกๆครั้งที่เธอชงกาแฟให้กับเขา
เธอต้องใส่เกลือลงไปในกาแฟให้ทุกครั้งไป
เธอรู้ว่านี่เป็นกาแฟที่เขาชอบมากที่สุด

หลังจากนั้นอีกสี่สิบปี
เขาก็จากเธอไป
ทิ้งจดหมายไว้ให้เธอฉบับนึง
ข้างในมีใจความว่า

ที่รัก อภัยให้ผมด้วย
ที่ต้องโกหกคุณชั่วชีวิต
มีเรื่องเดียวเท่านั้นที่ผมโกหกคุณ เรื่องกาแฟเค็มนั่น
จำวันแรกที่เรามีนัดกันได้ไหม
ผมประหม่ามากในตอนนั้น
จริงๆแล้วผมต้องการน้ำตาล แต่ผมพูดผิดเป็นขอเกลือ
ซึ่งมันยากที่จะกลับคำในตอนนั้น ผมจึงต้องปล่อยมันไป
ซึ่งผมไม่คิดว่า นั่นจะทำให้เราได้เริ่มต้นการพูดคุยกัน
ผมพยายามที่จะสารภาพกับคุณหลายต่อหลายครั้ง
แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะสารภาพออกไป
ทำให้ผมสัญญากับตัวเองว่า จะไม่โกหกอะไรคุณอีกแม้แต่ครั้งเดียว
ตอนนี้ผมจากไปแล้ว ผมไม่ต้องหวาดกลัวอะไรอีก
ดังนั้นจึงเล่าความจริงในจดหมายฉบับนี้

แท้จริงแล้วผมไม่ได้ชอบทานกาแฟรสเค็มเลยแม้แต่น้อย
มันรสชาติค่อนข้างแย่ทีเดียว
แต่ว่าผมทานมันตลอดทั้งชีวิตตั้งแต่ได้รู้จักคุณ
ผมไม่เคยนึกเสียใจในสิ่งที่ทำเพื่อคุณเลย
การได้พบคุณเป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดชีวิตของผม
ถ้าผมได้มีโอกาสมีชีวิตอีกครั้ง
ผมก็ยังอยากจะได้พบคุณ และมีคุณเป็นภรรยาผมอีกครั้งเช่นกัน
แม้ว่าผมจะต้องดื่มกาแฟรสเค็มอีกตลอดชีวิตก็ตาม!

น้ำตาของเธอหยดใส่กระดาษจดหมายจนเปียกชุ่ม
และหลังจากนั้น หากมีใครถามเธอ
กาแฟรสเติมเกลือรสชาติเป็นเช่นไร

เธอก็จะตอบเสมอว่า " มันหวาน "


ริบบิ้นสีฟ้า

โดยคุณ @ห้องสมุด

ครูคนหนึ่งที่นิวยอร์คตกลงใจจะแสดงความชื่นชมนักเรียนไฮสคูลชั้นปีสุดท้ายที่เธอสอนด้วยการบอกเขาเหล่านั้นว่าแต่ละคนมีคุณค่า พิเศษต่างจากคนอื่นอย่างไรบ้าง เธอเรียกนักเรียนทุกคนไปหน้าชั้นทีละคน

แรกสุดเธอบอกแต่ละคนว่าพวกเขามีคุณค่าเพียงใดทั้งต่อตัวครูและต่อเพื่อนร่วมห้องจากนั้นเธอก็มอบริบบิ้นสีฟ้าพิมพ์ด้วยตัวหนังสือสีทองเป็นของขวัญให้ ข้อความบนริบบิ้นมีว่า "ฉันเป็นคนมีคุณค่า"

จากนั้นครูให้นักเรียนทำงานกลุ่มของชั้นขึ้นมาชิ้นหนึ่งด้วยวัตถุประสงค์เพื่อดูว่าการแสดงความชื่นชมยกย่องผู้อื่นส่งผลอย่างไรต่อคนในชุมชน เธอมอบริบบิ้นแก่นักเรียนคนละสามเส้น ให้นักเรียนเผยแพร่การรับรู้และชื่นชมคุณค่าผู้อื่นในวงกว้างออกไป

จากนั้นนักเรียนจะต้องติดตามผลและดูว่าใครยกย่องใครบ้างแล้วนำกลับมารายงานในห้องภายในหนึ่งสัปดาห์

นักเรียนชายคนหนึ่งเข้าพบผู้บริหารระดับรองที่ทำงานในบริษัทใกล้ๆเพื่อยกย่องว่าชายผู้นี้เคยช่วยเขาวางแผนอาชีพในอนาคต แล้วมอบริบบิ้นติดให้บนเสื้อเชิ้ต

จากนั้นก็มอบริบบิ้นอีกสองเส้นที่เหลือพร้อมกับกล่าวว่า...."เรากำลังทำงานกลุ่มของชั้นเรียนเกี่ยวกับเรื่องการแสดงความยกย่องชื่นชมผู้อื่นครับ ผมอยากขอให้คุณช่วยหาใครสักคนที่คุณต้องการยกย่อง" แล้วให้ริบบิ้นเขา ส่วนอีกเส้นก็ให้เขาไว้สำหรับมอบให้คนต่อไปเพื่อเผยแพร่การยกย่องชื่นชมนี้ให้กระจายต่อไป แล้วช่วยกลับมาบอกผมด้วยครับว่าผลเป็นยังไงบ้าง"

ต่อมาในวันเดียวกัน ผู้บริหารท่านนี้เเข้าพบเจ้านายเขาซึ่งเป็นคนที่ใครๆรู้กันดีว่าเกรี้ยวกราด อารมณ์ร้าย เขานั่งลงคุยกับเจ้านาย บอกเจ้านายว่า ลึกๆ เขายกย่องชื่นชมเจ้านายว่าเป็นผู้มีหัวคิดสร้างสรรค์ระดับอัจฉริยะ ดูเหมือนเจ้านายเขาจะประหลาดใจอย่างยิ่ง เขาถามเจ้านายว่าจะยินดีรับริบบิ้นสีฟ้าเป็นของขวัญแสดงความชื่นชม และอนุญาตให้เขาติดริบบิ้นให้ได้หรือไม่ เจ้านายผู้ประหลาดใจตอบว่าได้ เขาจึงติดริบบิ้นสีฟ้าเส้นนั้นบนปกเสื้อนอก บริเวณเหนือหัวใจ เมื่อเขามอบริบบิ้นเส้นสุดท้ายแก่เจ้านาย เขาบอกเจ้านายว่า ช่วยอะไรผมสักอย่างได้ไหมครับ ผมอยากให้เจ้านายช่วยส่งต่อริบบิ้น เส้นสุดท้ายนี่ด้วยการยกย่องชื่นชมใครสักคน พ่อหนุ่มที่ให้ริบบิ้นผมมาเป็นคนแรก กำลังทำงานกลุ่มของชั้นอยู่ เขาอยากให้ช่วยกระจายการยกย่องชื่นชมนี้ให้เผยแพร่ในวงกว้างออกไป แล้วดูว่าการทำแบบนี้ส่งผลต่อใครๆ ยังไงบ้าง

ค่ำวันนั้น ชายผู้เป็นเจ้านายกลับบ้านไปหาลูกชายวัยรุ่นอายุสิบสี่เขาเรียกลูกชายให้นั่งลง แล้วกล่าวว่า วันนี้เกิดเรื่องเหลือเชื่อที่สุดกับพ่อ ตอนอยู่ห้องทำงาน ลูกน้องคนหนึ่งเข้ามาบอกว่า เขาชื่นชมพ่อแล้วให้ริบบิ้นเส้นหนึ่งเป็นการยกย่องว่าพ่อเป็นอัจริยะเรื่องความมีหัวคิดสร้าง สรรค์ ลองนึกดูเขาคิดว่าพ่อมีหัวคิดสร้างสรรค์เข้าขั้นอัจฉริยะเชียวนะ
แล้วเขาก็เอาริบบิ้นเส้นนี้ที่เขียนว่าฉันเป็นคนมีคุณค่าติดให้บนปกเสื้อนอกตรงหัวใจนี่แล้วยังให้ริบบิ้นมาอีกเส้นให้พ่อมองหาใครสักคนที่จะยกย่องชื่นชมต่อระหว่างที่พ่อ ขับรถกลับบ้าน ก็คิดว่าริบบิ้นเส้นนี้จะให้ใครดี แล้วพ่อก็นึกถึงแก พ่ออยากชื่นชมแกนะ วันๆ พ่อทำงานยุ่งเหยิงมาก พอกลับมาบ้านก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจแกสักเท่าไร บางทียังอาละวาดอีก เรื่องแกเรียนได้เกรดไม่ดี เรื่องทำห้องนอนรก แต่ยังไงไม่รู้สิ วันนี้พ่อกลับอยากนั่งลงตรงนี้กับแก อยากบอกว่า แกมีค่ากับพ่อมากแค่ไหน นอกจากแม่แกแล้ว ก็มีแกนี่แหละที่เป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตพ่อ แกเป็นเด็ก ที่ยอดเยี่ยมเลยแหละ แล้วพ่อก็รักแกนะ...

เด็กหนุ่มผู้ตื่นตะลึงเริ่มสะอื้น แล้วก็สะอื้น เขาไม่อาจหยุดร้องไห้ ร่างสั่นเทาไปทั้งตัว เขาเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อแล้วกล่าวทั้งน้ำตา
"พ่อครับ เมื่อตอนเย็น ผมอยู่บนห้อง นั่งเขียนจดหมายถึงพ่อกับแม่
เพื่ออธิบายว่าทำไมผมถึงฆ่าตัวตาย แล้วก็ขอให้พ่อยกโทษให้ผม ผมตั้งใจจะฆ่าตัวตายคืนนี้ตอนพ่อหลับ ผมคิดว่าพ่อไม่เคยแคร์ผมเลยจดหมายอยู่บนห้องครับ แต่ผมคิดว่าผมคงไม่ต้องการมันแล้วล่ะ"

พ่อของเด็กหนุ่มเดินขึ้นไปบนห้องพบจดหมายข้อความสะเทือนใจบรรยายถึงความเจ็บปวดและทุกข์ ทรมาน จดหมายฉบับนั้นจ่าหน้า ถึงพ่อกับแม่ ชายผู้เป็นเจ้านายกลับไปที่ทำงานอย่างเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาเลิกเป็นคนขี้โมโหแต่จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้พนักงาน ใต้บังคับบัญชารู้ว่าพวกเขามีค่าอย่างไรบ้าง

สวนชายผู้เป็นนักบริหารระดับรองก็ช่วยให้คำแนะนำเด็กหนุ่มอื่นๆต่ออีกหลายคนในเรื่องการวางแผน อาชีพในอนาคต แล้วก็ไม่เคยลืมบอกเด็กเหล่านั้นว่าแต่ละคนมีคุณค่าต่อชีวิตเขาอย่างไรบ้าง หนึ่งในนั้นก็คือเด็กหนุ่มลูกชายเจ้านายเขา

สวนเด็กหนุ่มกับเพื่อนร่วมชั้นก็ได้เรียนรู้บทเรียนที่มีค่าเรื่องหนึ่งนั่นคือเราต่างเป็นคนที่มีคุณค่าด้วยกันทั้งนั้น

คุณไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องนี้ต่อให้ใครแม้แต่คนเดียว.. อย่าว่าแต่สองคนหรือสองร้อยคนเลย สำหรับฉัน(ผู้เขียนเรื่องนี้) คุณอาจจะลบเรื่องนี้ทิ้ง แล้วไปเปิดดูเรื่องอื่นๆ ต่อไป แต่ถ้าคุณมีใครสักคนที่มีความหมายกับคุณมาก ฉันขอสนับสนุนให้คุณส่งเรื่องนี้ไปให้เขาหรือเธอผู้นั้น เพื่อให้เขาได้รับรู้ความรู้สึกของคุณ คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าการให้กำลังใจเล็กๆน้อยๆ มีคุณค่าแค่ไหนกับคนสักคน

ส่งเรื่องนี้ไปยังคนทุกคนที่คุณเห็นว่ามีความหมายต่อคุณ มีความสำคัญต่อคุณ

หรืออาจส่งไปให้คนหนึ่ง..สอง..หรือสามคนที่มีความหมายต่อคุณมากที่สุดหรือคุณอาจจะแค่ยิ้มที่ได้รู้ว่ามีใครบางคนคิดว่าคุณเป็นคนสำคัญ ไม่งั้น คุณก็คงไม่ได้อ่านเรื่องนี้แต่แรก

จำไว้นะ ฉันให้ริบบิ้นสีฟ้าแก่คุณแล้ว


สามีของฉัน

โดยคุณ DirtyDuck 12-Feb-2003 21:44:24 @MrPalm.com

ฉันแต่งงานมาแล้ว 5 ปี
โดยที่ก่อนแต่งงานนั้นก็ได้เป็นแฟนกันมา 11 ปี….
นับว่าเป็นเวลานานมาก
16 ปีที่รู้จักผู้ชายคนนี้….สามีของฉัน

เรารู้จักกันในชมรมดนตรีไทยที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
เขาพยายามจะเข้ามาสมัครเรียนขิม…
แต่มาสมัครได้ 3 ครั้ง ห้องก็ปิดทั้ง 3 ครั้ง
มีอยู่วันหนึ่ง เขาเดินผ่านห้องชมรม
ได้ยินเสียงฉันตีระนาด …
เขาก็เดินเข้ามา แว่บแรกที่เห็นเขา
ฉันรู้สึกเหมือนว่าเคยรู้จักเขาที่ไหนน๊า… คิดไม่ออก

สำหรับเขาก็บอกฉันว่า ครั้งแรกที่เจอกัน
เขารู้สึกรำคาญฉัน คิดแต่ว่า "เจอ ยัยคนนี้อีกแล้ว"
แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน
เวลาผ่านไป จากเพื่อนร่วมชมรม ก็ได้เป็นแฟนกัน

ฉันไม่ได้รักเขาเต็มหัวใจ
เพราะเคยอกหักแบบร้ายแรงมาก่อน ทำให้ขยาดกับรักแบบไม่ลืมหูลืมตา
ฉันเคยสัญญากับตัวเองว่า จะไม่เสียใจกับความรักอย่างนั้นอีกแล้ว
รักของฉันครั้งใหม่ ต้องเป็นการรักด้วยสมอง ไม่ใช่หัวใจ
ผู้ชายรักแบบนี้ได้
ทำไมฉันจะทำไม่ได้

สามีของฉันเป็นผู้ชายเคร่งขรึม ผิดกับฉันที่เป็นคนเฮฮา
เขาเป็นคนที่คิด คิด แล้วคิด อีกที
ก่อนจะลงมือทำอะไรก็ตาม
ดังนั้น สิ่งที่เขาทำจะได้ผลที่ดีเสมอ
ฉันเป็นคนสะเพร่า ชอบทำของใช้แตกเสียหายประจำ
เขาก็จะบ่นเล็กน้อย แต่ก็ก้มหน้าก้มตาซ่อมจนใช้งานได้ใหม่
เรียกได้ว่าไม่เคยต้องจ้าง ช่างซ่อมไฟฟ้า ประปา เลย

สิ่งที่ติดใจฉันตลอดเวลาก็คือ "เขาแต่งงานกับฉันทำไมนะ"

ตอนที่จะตัดสินใจแต่งงานกัน ฉันโดนรบเร้าจากญาติพี่น้อง
ถามกันทุกครั้งที่เจอหน้า "เมื่อไหร่จะแต่งงานสักทีเรา"
เคยโดนแบบนี้ไหม ถามแล้ว ถามอีก
จากแค่คำถามเดิมๆซ้ำซากๆ กลับกลายเป็นแรงกดดัน
พ่อแม่ เริ่มถามอีก "เมื่อไหร่จะแต่งงาน เป็นแฟนกันมาตั้ง 10 กว่าปี"
เอ เอาละซิ เขามีการจำกัดกันด้วยเหรอ ว่าห้ามเป็นแฟนกันเกิน 10 ปี
"อายุ 28 แล้วนะ น่าจะแต่งได้แล้ว"
คำถามนี้ฉันก็แปลกใจว่า
อะไรเป็นตัวกำหนดให้ผู้หญิงต้องรีบแต่งงานก่อนอายุ 30
คงจะเป็นประเพณีนิยมมั้ง เอาเถอะ
อย่างน้อยคำถามเหล่านี้ไม่ได้กล้ำกลายเขาแม้แต่น้อย
จนฉันทนไม่ไหว ถามเขาว่า "เราจะแต่งงานกันไหม"
"เอาซิ" เป็นคำตอบของเขา

หลังจากนั้น 8 เดือน เราก็แต่งงานกัน
ไม่เหมือนในหนังที่เคยดูๆมาเลย
พระเอกต้องหาวิธีขอนางเอกแต่งงาน
แต่สำหรับฉัน เหมือนกับปรึกษากันเรื่องงาน
เฮ้อฉันเก็บความคิดว่า "เขาแต่งงานกับฉันทำไมนะ" ไว้กับตัวเอง
เขาไม่เคยพูดคำหวานๆ หรือแสดงอะไรให้ฉันประทับใจเลย
ฉันได้แต่คิดว่า เขาคงแต่งกับฉันเพราะเราเป็นแฟนกันมานาน
เพราะเขาเกรงใจพ่อแม่ฉัน
เพราะเขาหาคนอื่นไม่ได้แล้ว (หรือขี้เกียจหา แบบเอาก็เอาวะ)
เพราะเขาคิดว่าฉันเหมาะสม ทั้งทางด้านการศึกษา และครอบครัว
เพราะ …. เพราะ…. เพราะ …. สารพัด

แต่ในสมองฉันไม่มีเหตุผลที่ว่าเพราะเขารักฉัน ทำไมเหรอ
ฉันคิดว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าเขารักเรา
แต่ถ้าเขาไม่พูดออกมาก็ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง (จริงไหม)
ฉันได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้มาตลอด 5 ปี

เมื่อคืนก่อน ระหว่างดูทีวี ฉันถามเขาว่า…
"ถ้าจะต้องให้เลือกว่าใครจะตายก่อน คุณจะเลือกเอาใคร?"
สามีฉันนิ่งเงียบสักพัก คิ้วขมวดเล็กน้อยถามฉันว่า "แล้วคุณคิดยังไง"
ฉันตอบว่า "ขอฉันตายก่อนแล้วกัน ฉันทนเห็นเขาเอาคุณลงโลงไม่ได้หรอก"
"ฉันคงอยู่คนเดียวไม่ได้" นี่คือคำตอบของฉัน

เขานั่งสักพัก แล้วก็พูดว่า "ผมก็คิดเหมือนกัน"
"ผมว่าคุณตายก่อนแหละดีแล้ว"
อ้าว!!! น้ำตาฉันเริ่มปริ่มๆ ด้วยความน้อยใจ
นี่เขาไม่รักเราจริงๆนั่นแหละ หูเริ่มอื้อ
แล้วฉันก็ได้ยินเขาพูดว่า
"ผมรู้ว่าผมจะไปตามหาคุณได้ที่ไหน"
"คุณน่ะ ชอบหลงทางทุกที
ถ้าคุณไปแล้ว ผมต้องหาทางตามคุณจนได้แหละน่า"
"แล้วเราก็จะได้อยู่ด้วยกันอีกไง"

เขาพูดจบด้วยรอยยิ้ม
และสายตาที่เขามองฉันนั้นอบอุ่นเหลือเกิน
น้ำตาฉันไหล ….
"อ้าว ร้องไห้ทำไม ไม่อยากตายก่อนเหรอ"
ฉันไม่ตอบ…
แต่ฉันได้คำตอบที่ติดใจฉันมานานแล้วว่า "เขาแต่งงานกับฉันทำไม"
คืนนั้น ฉันร้องไห้เงียบๆ
สามีฉันก็เงียบไม่ถามอะไรอีก ได้แต่ลูบหัวฉันไปมา
หัวใจฉันเต็มตื้น
ไม่ต้องมีคำหวานๆ
มีแต่ความเข้าใจและความผูกพันของคนสองคน
นี่ไง "สามีของฉัน"
:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:+:


o present by neko [ [email protected] ]
Hosted by www.Geocities.ws

1