ตั้งแต่มีแฟนเป็นสาวดัชมิลล์ ...

เขียนโดยคุณ Daytona @ห้องสมุด อย่าลืมแวะชม เวปของผู้แต่งนะครับ
..........ผมได้รู้จักกับสาวส่งดัชมิลล์คนหนึ่งเวลาเธอมาส่งนมเปรี้ยวให้ที่ทำงาน ดูแล้วรูปร่างหน้าตาเธอดีกว่าคนก่อนๆที่เคยมาส่ง แต่คงไม่ค่อยมีใครสนใจมากนักเพราะเธอจะใส่หมวกและชุดฟอร์มที่ปิดถึงคอก็หลวมโครกเครก
จนกระทั่งวันหนึ่งเธอเดินเฉียดมาทางผมที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ เสียงเพราะๆของเธอทำให้ผมต้องหยุดและมองตามเสียงที่ถามว่า "ดัชมิลล์มั้ยคะ"........... หน้าตาเธอไม่น่าจะเป็นคนขายนมเปรี้ยวเลย เธอทั้งขาวทั้งสวย เหมือนจะเป็นคนเหนือ ผมว่าผมไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะ
ผมอึ้งไปนิกนึงก่อนจะบอกว่า "ถามผมเหรอ ปกติมีแต่ผู้หญิงกินไม่ใช่เหรอ นมเปรี้ยว หน่ะ"
เธอก็ตอบว่า "ทานได้ค่ะ ทานแล้วดีต่อสุขภาพนะคะ"
แล้วเธอก็ยื่นให้ผมหนึ่งขวด ผมก็ถามว่าเท่าไหร่ เธอก็บอกว่า
"ไม่เป็นไรค่ะ ลองทานดูก่อน ถ้าชอบ พรุ่งนี้จะมาเก็บตัง" แล้วเธอก็จากไป ทิ้งให้ผมยัง ง ง ง อยู่ต่อไป
วันนั้นผมก็กลับมาบ้าน ด้วยอารมณ์ งง งง ปนแปลกใจ ผสมกรุ้มกริ่ม นิดๆ ทานข้าวเสร็จก็มาเปิดทีวีดู ดูไปเรื่อยๆข่าวจบ ก็ดูเกมส์โชว์ แล้วก็มาสะดุดกับโฆษณานมดัชมิลล์อีกทีจนได้ จะว่าไป เธอก็ดูแล้วคล้ายๆกับคนที่อยู่ในโฆษณาเหมือนกันนะ โอ้ย...ทำให้คิดถึงสาวดัชชมิลล์ขึ้นมาอีก รู้สึกอยากเจอเธอขึ้นมา แต่ก็ต้องอดใจรอจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้ ....อาบน้ำแล้วไปนอนคิดว่าจะคุยอะไรกับเธอพรุ่งนี้ดีกว่า
แล้วก็เช้าจนได้ เชื่อมั้ยว่าผมตั้งใจแต่งตัวหล่อเป็นพิเศษ นึกๆก็ทุเรศตัวเองนิดหน่อยที่คิดๆๆเอาแต่คิดไปเองคนเดียว ผมไปถึงที่ทำงานเช้ากว่าปกติ ทั้งๆที่กว่าสาวดัชมิลล์จะมาก็เป็นช่วงบ่ายๆ ทำไมถึงเป็นไปได้ขนาดนี้นะ วันทั้งวันผมไม่มีกะใจทำงานเล้ย รอแต่ว่า เมื่อไหร่นะจะได้ยินเสียง "ดัชมิลล์มาแล้วค่ะ" ซะที หลังเที่ยงผมก็กลับเข้ามาทำงานตามปกติ งานค่อนข้างเยอะ ทำให้ผมลืมๆเรื่องสาวดัชมิลล์ไปบ้าง จนกระทั่งบ่ายแก่ๆ ผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียง "ดัชมิลล์มาแล้วค่ะ" มาดังใกล้ๆโต๊ะทำงานผม
ใช่แล้ว เธอนั่นเองที่ผมรอคอย มายืนยิ้มอยู่ข้างๆโต๊ะแอบดูผมทำงานตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วเธอก็ถามผมว่า "ดัชมิลล์มั้ยคะ" ........................
ผมเงียบไปแป๊ปนึงแล้วก็พูดสิ่งที่ผมนอนคิดมาทั้งคืนว่าจะพูดกับเธอ..... ผมคิดมาตลอดคืนเลยนะ ว่าจะพยายามพูดกับเธอให้สุภาพที่สุด เธอจะได้ไม่คิดว่าผมเจ้าชู้ ...ก็คิดว่าจะทักทายให้เป็นธรรมชาติที่สุด.........ผมก็เลยบอกเธอว่า..............
"สวัสดีครับ ขอบคุณที่ให้ผมลอง กินนม เมื่อวานนี้" !!!!!!!!!!! ตายha ทำไมkuถึงพูดแบบนี้ออกไปได้ ถ้าคนเดินผ่านมาได้ยินจะคิดยังไงเนี่ย ผมคิดในใจ ! ! ! เธอก็งงนะครับ หน้าแดงด้วย ผมก็เลยต้องรีบกลบเกลื่อนว่า "นมดัชชมิลล์ครับ นมดัชชมิลล์นี่อร่อยดีนะครับ" เธอก็บอกว่าไงรู้มั้ยครับ"เหรอคะ หก บาทค่ะ" ท่าทางเธอคงจะโกรธ ผมก็เลยยื่นให้เธอสิบบาท เธอก็กึ่งหยิบกึ่งดึงจากมือผมไป แล้วก็เดินไปเลย ทิ้งผมให้งงกับการกระทำไม่เข้าท่าของตัวเองอยู่คนเดียว ผมก็จะเป็นยังไงล่ะครับ เหี่ยวเลย ไม่รู้ว่าเพราะประหม่า หรือว่า ลน ถึงได้ทำให้พูดอะไรออกไปก็ไม่รู้ ไม่เหมือนกับที่คิดไว้เลย
เลิกงานก็กลับบ้านด้วยใจห่อเหี่ยว ต่างจากเมื่อวานฟ้ากับดินเลย มันเซ็งๆ โกรธตัวเองก็โกรธ คิดว่ายังไงพรุ่งนี้คงไม่มีหน้าไปเจอเธอแน่
วันรุ่งขึ้น ช่วงบ่ายๆ ผมตัดสินใจลงไปดักรอเธอหน้าตึก คิดว่าจะขอโทษเธอและปรับความเข้าใจหน่อย แล้วเธอก็มา ผมเพิ่งรู้ว่าเธอมากับรถบริษัท นั่งมาข้างหน้าเลย ด้านหลังมีสาวดัชมิลล์อีกสามคน พอรถจอด ทุกคนก็สะพายกระเป๋าแยกย้ายกันไป ตึกข้างๆด้วย ส่วนเธอ เดินตรงมาทางล๊อบบี้ตึกผม ที่ซึ่งผมยืนดักเธออยู่หน้าโถงลิฟท์ ดูเธอตั้งใจมาก เดินเฉี่ยวผมไปโดยไม่ทันสังเกตผมเลย ผมก็เลยเรียกเธอ "คุณ คุณ" เธอก็หันมาตามเสียง
เธอหันมา แต่พอรู้ว่าเป็นผม ดูสีหน้าเธอเปลี่ยนไปทันที ผมเลยต้องรีบพูดกับเธอว่า "เดี๋ยวครับ เดี๋ยว ฟังผมพูดก่อน" คือ "เรื่องเมื่อวานนี้ผมขอโทษ เป็นเพราะผมประหม่า ไม่ได้มีเจตนาจะพูดไม่ดีกับคุณนะครับ"
สีหน้าเธอดีขึ้นหน่อยแล้วก็พูดกับผมโดยไม่มองหน้าว่า "แล้วไงคะ"
ผมก็ว่า "ถ้าไม่รังเกียจก็ขอให้ผมเลี้ยงกาแฟสักครั้งเพื่อเป็นการขอโทษก็แล้วกัน เอา สตาร์บัคข้างๆนี่ก็ได้"
เธอก็ตอบมาว่า"จริงๆแล้วก็ไม่ได้มีเหตุอะไรที่จะต้องขอโทษนี่คะ แล้วอีกอย่างชั้นต้องทำงานคงไปทานกาแฟกับคุณไม่ได้หรอกค่ะ"
ผมได้โอกาศก็เลยรีบพูดทันที "ถ้ายังงั้นหลังเลิกงานก็ได้ครับ"
"หลังเลิกงานก็คงไม่ได้หรอกค่ะ ขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ" แล้วเธอก็ขึ้นลิฟท์จากผมไป
ผมก็เซ็งสิครับ ยืนๆนั่งๆแกร่วอยู่ใต้ตึก ไม่อยากกลับขึ้นไปทำงานเลย ไม่กล้าไปเจอหน้าเธอ หากเธอเข้าไปในออฟฟิซผม เดินไปเดินมาก็มาเจอะกับรถส่งนมของบริษัทที่เธอนั่งมาจอดอยู่ด้านข้าง เห็นคุณคนขับแกนั่งเฝ้ารถอยู่ก็เลยเดินไปเลียบๆเคียงๆชวนแกคุยเผื่อจะหลอกถามข้อมูลอะไรได้บ้าง เอาเป็นว่าชวนแกคุยไปคุยมาแล้วก็วกเข้ามาถามแกว่าคนนั่งหน้ามากับแกเป็นใคร เพราะปกติเป็นอีกคนที่มาส่งนมให้เรา แกก็ให้คำตอบมาเป็นสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงเหมือนกัน แกบอกว่า
"อ๋อ คุณแกเป็นหัวหน้าฝ่ายอบรมการปฏิบัติงานเชียวนะ ที่แกออกมาเองก็เพราะกำลังอยู่ในช่วงตรวจงาน เพื่อเก็บข้อมูลไปอบรมพัฒนาพนักงาน" ผมก็เลยถึงบางอ้อ และก็ยังแอบถามมาอีกว่าจะไปดักเจอเธอก่อนกลับบ้านได้ที่ไหน .......เมื่อได้ข้อมูลเป็นที่พอใจแล้วผมก็ขอลา
คงเดาได้ใช่ไหมครับว่าผมจะทำยังไง.....เลิกงานแต่หัววัน แล้วไปดักเจอเธอที่บริษัท.....ผิดครับ ผมไม่ไปหรอก เพราะคิดว่าเธอยังโกรธผมอยู่แน่ๆ ไม่มีอะไรดีแน่ โผล่ไปดื้อๆกลัวเธอจะว่าเป็นพวกโรคจิตเอา แบบพวกstalkingหนะ ทำเป็นเงียบๆจ๋อยๆดีกว่า คิดว่าจวนจะาถึงเวลาที่เธอจะลงมานะ ผมก็แอบไปยืนๆให้พอเห็นหลังได้จากจุดที่เธอจะเดินผ่าน คิดว่าเธอคงจะมองเห็นนะ ซึ่งก็คงจะผิดสังเกตมาก่อนแล้วว่าผมไม่ได้กลับไปทำงาน คงรู้สึกอะไรบ้างแหละน่า
แล้วเธอก็เดินมาขึ้นรถ ผมเห็นในเงาสะท้อนกระจกว่าเธอก็มองมาทางผมเหมือนกัน เธอหยุดนิดนึง เหมือนคิดอะไร แล้วก็เปลี่ยนใจ เดินขึ้นรถไป แต่ก็หันกลับมามองอีกครั้งนะ
พอรถออกพ้นจากตึกไปแล้วผมก็ค่อยกลับขึ้นไปทำงาน เมื่อผมกลับมาที่โต๊ะตัวเอง ผมเจออะไรรู้มี้ยครับ ......กระดาษโน๊ตเขียนคำาว่าขอโทษ รึ.....ไม่ใช่หรอก ผมกลับมาเจอเงินทอน สี่บาท วางอยู่บนโต๊ะ ก็ไม่รู้ว่าเธอวางเงินทอนตามธรรมเนียม หรือมีความหมายเป็นอย่างอื่น ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ลึกๆผมก็คิดว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้นบ้าง
วันรุ่งขึ้นเมื่อใกล้เวลาที่เธอจะมา ผมไปแอบอยู่ที่แถวโต๊ะทำงานเพื่อนมีที่กั้นที่ผมมองเห็นโต๊ะผมได้ แต่จากโต๊ะผมเองถ้าไม่สังเกตก็จะมองไม่เห็นผม แล้วเธอก็มา แต่วันนี้เธอมาเงียบๆ ไม่มีเสียง "ดัชชมิลล์มาแล้วค่ะ" นำมาเหมือนเช่นเคย เธอเดินส่งไปทั่วๆ เหมือนปกติ แต่ก็มองมาทางโต๊ะผมเป็นระยะๆ คงแปลกใจที่ผมไม่อยู่ เธอก็เดินมาเรื่อยๆจนถึงโต๊ะทำงานผม แล้วเธอก็หยุด เธอหันซ้ายหันขวา แล้วก็มีจังหวะนึงที่เธอหันมาทางจุดที่ผมยืนอยู่ ผมตกใจก็เลยก้มลงหลบ ใจเต้นตึกตักเลย
....นับได้ประมาณสิบวินาที ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาทางผมใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ผมก็ยิ่งก้มต่ำลงไปอีก ก้มหน้าด้วยพยายามทำตัวให้เล็กที่สุด
แล้วเสียงเท้าเดินก็มาหยุดลงตรงหน้าผม ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองก็เลยเห็นแต่เท้าคนมายืนค้ำผมอยู่ ผมตื่นเต้นมากเลย สับสนไปหมด คิดแต่ว่า chibหายแล้วku
แล้วผมก็ได้ยินเสียงเจ้าของเท้าคู่นั้นพูดขึ้นมาว่า..... " มี-งมาทำอะไรแถวนี้ว-ะ " ฮูยยยยย...ที่แท้ก็เพื่อนผมเจ้าของโต๊ะนั่นเอง เหมือนยกภูเขาออกจากอก...... ผมรีบกลบเกลื่อนว่าทำคอนแทคเลนส์ตก แต่ว่าหาเจอแล้ว ไปล่ะ......ผมรีบลุกขึ้นมา สายตามองไปที่โตีะตัวเอง แต่เธอไม่อยู่ซะแล้ว ผมเดินกลับมาที่โต๊ะตัวเอง ทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ แล้วผมก็เห็น.... ขวดนมดัชมิลล์ตั้งอยู่บนโต๊ะขวดนึง...... ผมก็หยิบขึ้นมาแกะฝา แล้วยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ....เชื่อมั้ย มันเป็นนมเปรั้ยวขวดที่อร่อยที่สุดในโลกเท่าที่ผมเคยกินทีเดียว นมขวดนี้นอกจากจะให้ประโยชน์กับร่างกายแล้ว ยังให้ความ กล้า กับผมด้วย .....ผมตัดสินใจทันทีว่า พรุ่งนี้ ผมจะพูดกับเธอ ...
เช้าวันใหม่ก็มาถึง ผมต้องแต่งตัวให้ดูดีหน่อย ไม่ใช่เพื่อให้เธอปิ๊งหรอกนะ แต่เพื่อกลบเกลื่อนความโทรมจากการไม่ได้นอนเมื่อคืนนี้ ผมเปล่าตื่นเต้น แต่กลัวต่างหาก กลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยนะสิ กลัวว่าเวลาเจอหน้าเธอแล้วจะประหม่าพูดผิดพูดถูก แต่ผมตัดสินใจแล้ว เป็นยังไงเป็นกัน
ผมมาถึงที่ทำงานตามปกติ แต่สายตาของเพื่อนผมที่มองมา ดูไม่ปกติยังไงก็ไม่รู้ ช่างมันเถอะทำงานของเราไปตามเดิม
ผมทำงานไปเรื่อยๆจนได้ยินเสียงที่ผมรอคอย.... "ดัชชมิลล์มาแล้วค่ะ" ผมออกอาการประหม่าเล็กน้อย ขยับจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่ก็ต้องหยุด เพราะเมื่อมองไปที่เจ้าของเสียง หาใช่คนที่ผมรอคอยไม่.....กลายเป็นคนส่งคนดั้งเดิม คนที่มาส่งเป็นประจำก่อนหน้านี้ ผมรีบลุกไปหาเธอทันที ไม่รอว่าเธอจะเดินมา ผมถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไม "เธอ" ไม่มา ผมได้คำตอบว่า หัวหน้าของเธอหมดภาระออกตรวจตลาด กลับเข้าประจำบริษัทแล้ว ผมฝากงานไว้กับเพื่อนแล้วรีบขับรถออกไปบริษัทเธอทันที
ไปถึงที่บริษัทเธอ ผมกลับไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่เดินป้วนเปี้ยนไปมา เห็นแต่นม...เอ้ย คนส่งนมแต่งตัวเหมือนกันเต็มไปหมด ทำยังไงดีล่ะ ..... ในที่สุดผมก็เลือกที่จะถามน้องคนหนึ่งว่าหัวหน้าเธออยู่หรือเปล่า น้องแกบอกว่า "ไม่อยู่ค่ะ..... หนูหมายถึงไม่อยู่ในตึกค่ะ คงจะตรวจงานอยู่ลานด้านหลัง" ผมบอกขอบคุณแล้วรีบเดินไปตามทางที่เธอบอกทันที
เมือผมเดินไปถึง ก็เห็นเธอจริงๆด้วย จากจุดที่ผมมองเธอ ภาพที่ผมเห็นมันเหมิอนกับในหนังเลยคุณเชื่อมั้ย ผมยืนดูเธอทำงานอยู่พักนึง พอเห็นว่าคนน้อยลงผมก็เดินเข้าไปใกล้เธอเรื่อยๆ เธอหันหลังไปนับลังและจดอะไรอยู่ ผมเลยรีบเดินเข้าไปใกล้เธอยิ่งขึ้น พอเธอทำธุระเสร็จกันเงยหน้าขึ้นมา หันหลังกลับมาแล้วก็เจอกับผมที่ยืนอยู่
"อุ๊ย คุณมาทำอะไรที่นี่"
"ผมเหรอ ผมก็มาหาคุณไง เห็นว่าวันนี้คุณไม่ได้ออกตรวจ ก็เลยมาหาถึงที่เลย"
"แล้วทำไมถึงต้องมาถึงนี่ด้วย"
"ผมตั้งใจมาหาคุณ....ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน รู้แต่ว่า วันนี้ต้องมาหาคุณให้ได้ อยากมาคุยด้วย"
"มาถึงแล้วนี่ มีอะไรก็คุยมาสิคะ"
"ผมอยากจะบอกคุณว่า ผมประทับใจคุณมากๆเลย" เออ ...พูดได้ดีเหมือนกันแฮะ ผมคิด ...ประทับใจ...คำนี้ค่อยดีหน่อย
"ดิฉันทำให้คุณประทับใจเรื่องอะไร ขนาดที่คุณต้องมาบอกด้วยตัวเองเชียวเหรอคะ นี่คงรีบมากเลยนะคะ ถึงขนาดใส่รองเท้าคนละข้างมาเชียว"
ผมก้มลงมองเท้าตัวเอง จริงๆด้วย ผมใส่รองเท้าคนละลายมา อาจเป็นเพราะผมเบลอ เนื่องจากนอนน้อยเมื่อคืน มิน่าล่ะ เพื่อนๆผมมันถึงมองผมด้วยสายตาแปลกๆตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่มีใครบอกผมเลยนะเนี่ย ผมก็หัวเราะกลบเกลื่อนไป เธอก็หัวเราะ สถานการณ์ดูดีขึ้น ผมเลยรีบถามทันที
"คุณเลิกงานกี่โมงครับ"
"ห้าโมง ทำไมคะ"
"ผมอยากชวนคุณไปทานข้าวเย็น ถ้าไม่รังเกียจ ผมจะรอ"
"ปกติบริษัทเลิกงานห้าโมง แต่ฉันเลิกสายกว่านั้นเยอะ อย่ารอเลยค่ะ"
"ไม่เป็นไรครับ ผมออกจากบริษัทมาแล้ว ไม่ไปไหนแล้วครับ"
"ตามใจ อยากรอก็รอ" แล้วเธอก็เดินเบียดผมกลับเข้าไปในบริษัท
ผมก็รอสิครับ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอ รอจนถึงกี่โมงรู้มั้ยครับ สามทุ่มครึ่ง..... เธอมาสะกิดผมที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่
"ยังรออยู่อีกเหรอคะ" ผมเลยถามเธอบ้างว่า
"สามทุ่มกว่าแล้ว คุณไม่หิวเหรอครับ" เธอบอกผมพร้อมยักไหล่นิดนึงว่า
"ไม่หิวหรอกค่ะ ให้เด็กไปซื้อของมาให้ทานแล้ว ทานตั้งแต่ตอนทุ่มกว่าแล้ว ใครจะไปทนหิวได้คะ.."
"อ้าว งั้นผมก็รอเก้อสิ"
เธอตอบผมว่า "ใครให้คุณรอล่ะ กลับบ้านเถอะคุณ ดึกแล้ว ไปนะ" แล้วเธอก็จากผมไป
หลังจากที่ต้องรอเก้อ และหิ้วท้องรอ.... ผมก็เลยหน้าเหี่ยวกลับบ้านไป ใจคิดว่าถ้าเป็นอย่างนี้สงสัยไปได้ไม่กี่น้ำแน่ๆ เลยหยิบโทรศัพท์มาโทรไปปรึกษาเพื่อนผมทันที เพื่อนผมบอกให้ใจเย็นๆ เรื่องอย่างนี้ต้องค่อยๆ ทำตัวให้ดีหน่อย สุ๓าพๆอย่าบุ่มบ่าม ไปหาบ่อยๆได้ แต่อย่าตื๊อ แล้วก็ตำหนิผมว่าทำไมไปมือเปล่า อย่างงี้ใครเค้าจะสนใจ ทะเร่อทะร่าจริงๆ น่าจะมีอะไรติดไม้ติดมือไปด้วย แล้วก็หัดมีฟอร์มบ้าง พรุ่งนี้ไม่ต้องไปนะ เพื่อนผมสั่งไว้ ....ผมก็คุยมาเรื่อยๆจนถึงบ้าน กลับมา อาบน้ำนอน เห็นแต่ภาพที่แอบมองเธอทำงานติดตา เหมือนโฆษณา แบรนด็ สาวชุดดำ ยังไงยังงั้นเลย............... นึกออกมั้ยครับ
วันใหม่อีกแล้ว วันนี้ผมจะไม่ไปหาเธอจริงๆหรือเนี่ย แค่คิดก็แย่แล้ว หงอยจริงๆ ก็เลยเซ็งๆทำงานจนหมดไปอีกวันนึง กลับมาบ้านก็นอนไม่ค่อยหลับ คิดถึงเธอจริงๆ
เช้าวันต่อมา วันนี้วันศุกร์ ผมตั้งใจจะไปหาเธอนะ แต่พอมาเจอะหน้าเพื่อนบอกว่าวันนี้มีประชุมเย็น ก็คงต้องอดไปอีกวัน ผมงี้ เซ็งไปเลย....สี่โมงแล้ว สาวดัชมิลล์คนดั้งเดิมมาส่งนมตรงเวลาเป๊ะ ใจผมอยากจะเสกให้กลายเป็น "เธอ" จริงๆเลย เพราะผมไปไหนไม่ได้ อยากเห็นหน้าจริงๆ แต่ทำไงได้ก้มหน้าก้มตาเตรียมเสนองานในที่ประชุมดีกว่า หลายวันนี้ทำงานไม่ได้เท่าไหร่เลย
ทำงานอยู่ๆสาวดัชมิลล์เดินมาทางผม ส่งนมให้ขวดนึง แล้วบอกว่า "ดัชมิลล์ของคุณค่ะ......."
ผมก็ "เฮ้.. ผมไม่ได้สั่งนี่นา เข้าใจผิดแล้ว" สาวดัชมิลล์ก็บอกว่า
"ค่ะ คุณไม่ได้สั่ง แต่มีคนสั่งให้คุณ" ผมก็รับมาแบบงง งง แล้วก็เหลือบไปเห็นข้างๆขวดมีโน็ตเล็กๆแปะติดเอาไว้ ผมรีบแกะออกมาอ่านโดยเร็ว ในกระดาษมีข้อความเขียนไว้ว่า "ไม่ได้ทานข้าว ทานดัชมิลล์แทนก็ได้นะ" แล้วก็ลงชื่อ......... (ขอปิดไว้ก่อนนะ) ผมดีใจขนาดไหน ไม่บอกก็คงรู้ ก็เลย อ่านไปอ่านมาอยู่นั่นแหละ รู้สึกว่าโลกนี้น่าอยู่ขึ้นมาอีกตั้งเยอะ ผมก็เลยรีบเขียนโน๊ตอีกใบฝากสาวดัชมิลล์ไปให้หัวหน้าเธอด้วย
ผมเขียนไปว่า......"อยากเจอมาก แต่วันนี้มีประชุม เลิกแล้วจะรีบไปหา อยู่ที่บริษัทถึงกี่โมงช่วยส่งmessageมาบอกด้วย" อะไรประมาณนี้แหละ แล้วผมก็ลงชื่อพร้อมแนบเบอร์มือถือของผม ฝากสาวดัชมิลล์ไป
ห้าโมงกว่าจะหกโมงแล้ว ผมนั่งจ้องมือถือของตัวเอง รอว่าเมื่อไหร่จะมีข้อความเข้ามาซะที แต่ก็ไม่มี..... หกโมงครึ่งเพื่อนเรียกเข้าห้องประชุม ผมก็เดินตามไปอย่างไร้วิญญาณ รู้นะว่าประชุมกันอยู่ แต่พูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ มันเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวาไปเลย ตาก็มองไปที่เพื่อนคนที่กำลังพูดอยู่ แต่จริงๆมันข้ามไหล่ออกนอกหน้าต่างไปถึงไหนก็ไม่รู้
แล้วอยู่ๆก็เหมือนเสียงสวรรค์ ผมได้ยินเสียง ปี๊ป ๆ ๆ ผมรีบคว้าโทรศัพท์มาดูข้อความทันที เปล่า...มันไม่ใช่ของผม มันเป็นของเพื่อนคนนั่งข้างๆผมนั่นเอง มันหยิบมาดู กดๆ แล้วก็อมยิ้มคนเดียว สงสัยแฟนมันส่งมา กวนจริงๆ ผมก็รอต่อไป แล้วการประชุมก็จบ โดยที่ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยซักอย่าง ทุกคนเดินออกจากห้องประชุม แยกย้ายกันไปเคลียงานและกลับบ้าน ผมดูนาฬิกา เป็นเวลาทุ่มครึ่งแล้ว อยู่ไปก็ไม่มีอารมณ์ทำงาน กลับบ้านดีกว่า ผมตัดสินใจขับรถกลับบ้าน พอออกมาถนนรถค่อนข้างเยอะ กลับบ้านตอนนี้ก็เร็วไปมั้ง ไหนๆก็ไม่ได้เจอแน่ๆแล้ว ไม่ได้เห็นหน้าแวะไปดูบริษัทซักหน่อยก็ยังดี แล้วไปหาซื้ออะไรกินแถวนั้นก็ได้ คิดได้ยังงั้นผมก็กลับรถ มุ่งหน้าไปที่ทำงานเธอทันที
เมื่อไปถึงผมจอดรถแล้วก็ลงไปยืนอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม ป่านนี้เธอคงกลับบ้านไปแล้วล่ะ เพราะบริษัทปิดแล้ว เหลือไฟอยู่ริบหรี่จริงๆ วันนี้เป็นวันศุกร์ ผู้คนบนถนนเยอะแยะ เดินกันไป มา ท่าทางสนุกสนาน แต่ผมเหมือนอยู่ตัวคนเดียวยืนมองตึกเหม่อๆอย่างไม่มีจุดหมาย นานแค่ไหนไม่รู้ แล้วจู่ๆโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นแสดงว่ามีข้อความเข้ามา ผมรีบหยิบขึ้นมาดูมีข้อความเข้ามาว่า "AIS ขอขอบคุณผู้ใช้บริการ ด้วยการมอบ.........." ปัทโธ่เว้ย คนกำลังเซ็ง ยังจะมาแหย่ให้ตกใจอีก ผมก็เลยกดdeleteข้อความนั้นไป ระหว่างที่ผมกำลังกดอยู่นั้น ก็มีเสียง ปี๊ป ปี๊ปดังขึ้นมาอีกครั้ง ผมนึกในใจ "อะไรอีกล่ะ" ผมกดnext message ได้ข้อความว่า
"เลิกงานแล้ว ถ้ามาถึงที่ทำงานได้ภายในห้านาที จะรอ"
ว้าว ไม่น่าเชื่อ...เธอส่งข้อความมาหาผมจนได้ เธอคงคิดว่าผมยังอยู่ที่ทำงานแน่นอน หรือยังไงซะคงไม่คิดว่าผมจะมาถึงเธอได้ภายในห้านาทีแน่ๆ อย่างนี้ก็เสร็จผมสิ
ผมรีบวิ่งข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามทันที ผมเคาะ เคาะ ประตู อย่างกับว่ามีคนป่วยมาขอพบหมอยังงั้นแหนะ ในที่สุดก็มี รปภ.มาเปิดให้ เมื่อผมบอกว่าผมมาพบใคร เค้าก็อนุญาตให้เข้าและพามาส่งถึงห้องทำงานเธอ ผมเห็นเธอกำลังเก็บของอยู่เตรียมตัวกลับบ้าน คงไม่ทันเห็นผม ผมก็เลยพูดขึ้นมาเบาๆว่า "หวังว่าคงไม่เกินห้านาทีนะครับ"


เมื่อเธอได้ยินเสียงผม เธอก็ตกใจเล็กน้อย หันกลับมาเจอะกับผมก็ยิ่งทำหน้างงเข้าไปใหญ่ เธอถามผมแบบตะกุกตะกักว่า
"ตายแล้ว มาได้ยังไงเนี่ย" ผมก็
"อ้าว ก็คุณบอกผมเองนี่ว่าให้มาถึงภายในห้านาที ผมก็รีบมาสิครับ"
"แต่ฉันไม่คิดว่า......"เธอแย้งไม่ทันจบ ผมรีบชิงบอกทันที
"แต่ยังไงคุณต้องรักษาสัญญานะ ไปเถอะ ผมหิวข้าวแล้ว" เธอพยายามจะบ่ายเบี่ยงแต่ผมก็ตื๊อจนเธอใจอ่อนยอมไปกับผมจนได้........ เธอบอกว่าทานแถวนี้ก็แล้วกันนะ รีบทานแล้วจะรีบกลับ ผมหนะไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ได้ทานข้าวกับเธอแม้จะทานส้มตำข้างถนนก็เอา
ระหว่างที่ทานข้าว แรกๆเธอไม่มองหน้าผมเลยนะ แต่เราก็คุยกันได้ พอคุยไปเรื่อยๆ ดูเธอเครียดน้อยลง คงเป็นเพราะเราเริ่มคุ้นกันแล้ว ผมชวนเธอคุยเรื่องทั่วๆไป เรื่องรอบๆตัว เกี่ยวกับบริษัท ถามเรื่องงาน เรื่องอะไรประมาณนี้ พยายามจะไม่คุยเรื่องหน้าแตกในอดีต ผมมีความรู้สึกว่า เธอกับผมมีอะไรหลายๆอย่างคล้ายๆกัน เราเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน แค่ ต่างปี ต่างคณะ เราทั้งสองคนเป็นพวกบ้างานพอสมควร ไม่ค่อยชอบไปเที่ยวไหนหรอก ชอบอยู่บ้านมากกว่า
ระหว่างที่คุยกัน ผมมองหน้าเธอบ่อยๆ เธอเป็นคนสวยแบบใสๆ ไม่ค่อยแต่งหน้า เวลาทำงานก็รวบผม เวลาเลิกงานก็ปล่อยออกสบายๆ ดูเธอเป็นคนง่ายๆดี ไม่ซีเรียส ผมถามเธอว่าปกติวันเสาร์ อาทิตย์เธอทำอะไร เธอบอกว่า ส่วนมากก็อยู่บ้านพักผ่อน ออกไปซื้อของบ้างแต่ก็เป็นส่วนน้อย ที่บ้านเธอมีคุณแม่อยู่คนเดียว วันทำงานส่วนมากเธอจะกลับค่ำ ดังนั้นเวลาที่ไม่ต้องทำงานเธอจะทุ่มให้คุณแม่เธอทั้งหมด กลัวคุณแม่จะเหงา เธอน่ารักมั้ยครับ
แล้วเธอก็ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา "อุ๊ย สามทุ่มกว่าแล้ว ต้องกลับแล้วล่ะ กลับนะ นะ" อะไรกัน ทำไมเวลามันผ่านไปเร็วอย่างนี้ล่ะ ผมคิด อย่างว่าแหละครับ เวลาเรามีความสุข เวลามักจะผ่านไปเร็ว เอ้า กลับ ก็กลับ ผมเรียกเด็กมาเช็คบิลล และขอเป็นคนจ่าย ไม่ใช่ว่าจะทำเป็นหน้าใหญ่นะครับ แต่ขอเธอว่าให้ผมเลี้ยงตอบแทนดัชชมิลล์ทั้งสองขวดนั่นเอง
เราเดินกลับมาที่ลานจอดรถหน้าบริษัท ผมเดินมาส่งเธอที่รถ ใจน่ะยังไม่อยากจากเธอเลย ยอมรับว่ายิ่งได้คุยกับเธอแล้วยิ่งชอบเธอมากขึ้นไปอีก
เดินมาเรื่อยๆจนถึงที่จอดรถ เชื่อมั้ยว่าผมอยากให้ที่จอดรถอยู่ไกลออกไปซัก500โล ผมจะได้มีเวลาอยู่กับเธออีกหน่อย แต่ในเมื่อเป็นไปไม่ได้ก็ต้องมาถึงรถ
ผมบอกเธอว่าจะขับรถตามไปส่งเธอถึงบ้านจะได้มั้ย เธอบอกว่าไม่เป็นไรเพราะเธอก็ขับกลับเองมาได้ตั้งนานแล้ว เอาไงดีล่ะ คิดได้ว่าตื๊อเกินไปคงไม่ดีแน่ อืมม...แล้วแต่เธอก็แล้วกัน เมื่อเธอสตาร์ทรถผมได้ยินเสียงวิทยุดังขึ้นมาเบาๆ ทำให้ผมนึกอะไรได้บางอย่าง ผมบอกให้เธอรอแป๊ปนึงแล้วก็รีบวิ่งไปที่รถ หยิบเอาซีดีแผ่นนึงที่ผมมีอยู่ เอามาให้เธอ แล้วบอกให้เธอฟังไปเรื่อยๆ แต่ฟังเพลงที่สามให้ดีๆนะ ถ้าชอบใจจะส่งข้อความเข้ามาที่เครื่องผมก็ได้นะ เธอมีเบอร์ผมแล้วนี่
ผมอิดออดอีกหน่อยแล้วก็แยกจากกัน คงอยากรู้ใช่ไหมครับว่าเพลงที่สามคือเพลงอะไร คือมันเป็นเพลงที่ค่อนข้างเก่านะ แต่ความหมายเหมาะกับช่วงเวลานี้มากกก
มัน คือ............"เพลง ใช่เลย" คือคนนี้เลย ที่รอตั้งนาน ประมาณนี้เลย ใช่เลย ผมก็ขับรถกลับบ้านด้วยใจอิ่มเอิบเป็นที่สุด เมื่อกลับมาถึงบ้านก็อาบน้ำ เอาโทรศัพท์ติดตัวไปด้วยตลอดเลย เสร็จแล้วก็มานั่งเปิดวิทยุฟัง ฟังไปตั้งนานนนโทรศัพท์ก็ไม่มีข้อความเข้ามาซักที ดูนาฬิกาได้เวลาห้าทุ่มแล้วยังไม่มีวี่แววอะไรเลย
ทำไมเป็นยังงี้นะ หรือว่าเธอไม่สนใจเรา ยิ่งคิดยิ่งเศร้าแฮะ เอ๊ะ! หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ทำไมเธอยังกลับไม่ถึงบ้าน มีอะไรรึเปล่านะ ชักเริ่มเป็นห่วงซะแล้วสิ
แล้วข้อความก็เข้ามาตอนเกือบๆเที่ยงคืน " เพลงเพราะดี ขอบคุณนะ goodnight :) "
ว้าว! เธอคงไม่รู้หรอกว่าข้อความสั้นๆแค่นี้ได้ทำให้ใจของผู้ชายธรรมดาๆคนนึง พองโตอิ่มเอิบขนาดไหน ผมได้แต่ร้อง "ไชโย ไชโย"อยู่คนเดียว งานนี้มีลุ้นแล้วเรา ผมคิดอย่างนั้นนะ ไปนอนบ้างดีกว่า ไปคิดว่าพรุ่งนี้จะทำยังไงต่อไปดี เย่....มีสิทธิ์ มีสิทธิ์
ผมเดินมานั่งบนเตียง หยิบนามบัตรที่เธอให้ผมเมื่อตอนเราทานข้าวด้วยกันมาดู พลิกไปมา...อืมม ชื่อเพราะดี ไม่มีสระเลย สงสัยเกิดวันจันทร์ นามสกุลก็เพราะ เหมาะกับชื่อดี แต่ถ้าเปลี่ยนมาใช้นามสกุลเดียวกับเราจะเหมาะกว่านี้นะ....ฮ่า...ฮ่า ผมคิดอะไรบ้าๆบอๆตามเรื่องแล้วก็เอานามบัตรของเธอไว้บนหัวเตียงแล้วก็ก้มลงกราบสามที....เฮ้ ผมไม่ได้กราบนามบัตรนะครับ ผมกราบแล้วอธิฐานว่า "เจ้าประคู้ณ ลูกช้างทำดีมาตลอด อาจจะมีไม่ดีบ้างนิดนึง แต่ ขอให้เธอที่เป็นเจ้าของนามบัตรใบนี้ มีใจให้กระผมบ้างเถิดดดด....เพี้ยง ผมก้มกราบอีกสามที แล้วก็เอื้อมมือไปปิดไฟ..นอน
ผมนอนเหยียดยาวอย่างผ่อนคลาย ความสบายทำให้จิตใจผมสงบลง ผมยังไม่หลับแต่นอนจ้องเพดานมืดๆ แล้วก็คิดได้ว่า มีคนเคยบอกไว้ว่า "ในความมืดสนิท บางทีก็ทำให้เราเห็นอะไรๆชัดขึ้น" จริงด้วย ผมค่อยๆคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมในหลายวันที่ผ่านมา มันเหมือนจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ มันเป็นเหตุบังเอิญ หรือพรหมลิขิตกันแน่ ที่ทำให้ผมได้มาพบกับเธอ ได้เจอ ได้คุย ได้ทานข้าวด้วยกัน ผมคิดไปต่างๆนาๆ สะเปะสะปะ แล้วก็คิดถึงภาพใบหน้าของเธอตอนที่ยิ้มให้ มันชัดเจนมากจนทำให้ผมรู้สึกเย็นๆที่หัวใจยังไงไม่รู้ ผมดึงผ้าขึ้นมาห่มและกอดเบาๆจนหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
............ ......... ......
เช้าแล้ว ผมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่ห้องรับแขก มีเสียงคนกดออดที่หน้าประตู ออด.....อออดดด ผมลุกไปเปิดประตู "เธอ"นั่นเอง ผมงงว่าเธอรู้จักบ้านผมได้ยังไง แล้วเธอก็ถามผมว่า
"จะไม่เชิญให้เข้าบ้านเหรอคะ" ผมก็เลยรีบเชิญเธอเข้ามาในบ้าน ระหว่างที่เดินเข้ามา ผมถามเธอว่านี่มันอะไรกันเนี่ย....เธอตอบว่า
"ก็คิดถึงนะสิ เลยมาหา" ผมที่กำลังงงอยู่แล้วก็เลยยิ่งงงเข้าไปใหญ่ แล้วผมก็ได้ยินเสียงออดดดดด ดังขึ้นอีก ใครมาอีกหละ ผมเดินมาที่ประตูอีกครั้ง แล้วก็รู้สึกเหมือนโลกหมุนเป็นวงกลม ทุกอย่างดับมืดลงแล้วก็สว่างขึ้นมา
ผมรู้สึกตัวอีกครั้ง ตัวเองนอนอยู่บนเตียง งงมาก อะไรกันนี่ แต่หลังจากคิดๆแล้ว ผมก็รู้ว่าว่าผมฝันไปนั่นเอง นี่เราเป็นมากถึงขนาดนี้เชียวหรือเนี่ย ผมหัวเราะกับความฝันแปลกๆที่เกิดขึ้น บอกจริงๆว่าเสียดายมากกน่าจะฝันต่ออีกหน่อย ดูเหมือนจริงยังไงไม่รู้ อยากรู้จริงๆว่าถ้าฝันต่อไปจะเป็นยังไง แต่ก็เช้าแล้วนี่ กี่โมงแล้วล่ะ ผมหยิบนาฬิกาขึ้นมาดู เพิ่งจะเก้าโมง ปกติผมไม่ตื่นเช้าอย่างนี้หรอกนะ ถ้าเป็นวันหยุด แต่ว่าตื่นมาแล้วสดชื่นดีจัง นอนต่อก็คงไม่หลับ ตื่นแล้วตื่นเลยก็แล้วกัน
ผมลุกไปอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน เสร็จแล้วก็มานั่งที่โต๊ะทำงาน ดูเวลาสิบโมงเช้าพอดี ผมเปิดเพลงเบาๆ เปิดโทรศัพท์มือถือ เปิดคอมพิวเตอร์ กำลังจะต่อinternet แล้วมือถือผมก็ดังขึ้นมา
ปี๊ป ปี๊ปปปปป ปี๊ปปปปป มีmessageเข้ามาแฮะ ข้อความว่าไงนะ แล้วใครส่งมา อยากรู้จังว่าจะใช่จากคนที่ผมรอรึเปล่า ผมรีบกดดูทันที .......................
ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดทันที MENU -> Message -> Inbox -> you have 1 new message ตื่นเต้น ตื่นเต้น from 01819xxxx อ้า จากเธอนี่ เบอร์นี้ ใช่แน่ๆ ส่งมาว่าไงนะ อยากรู้จัง

Y
o
u

a
r
e

t
h
e

o
n
e

i
l
o
v
e

เฮ้ ...อะไรกันนี่ มี love ด้วยหรือเนี่ย ว้าว... !ผม กดไป คิดไป

t
o

s
e
n
d

f
u
n
n
y

p
i
c
t
u
r
e

t
o

because

you

look

like

it

( )__ _( )
( __ V _ )
( -O- -O- )
( ===0==)
" " " " " " "

Meaw Meaw....Good morning!

ฮ่า...ฮ่า....นี่มันอะไรกันเนี่ย ตลกจัง อารมณ์ดีจริงนะแม่คุณ ผมคิด ...เล่นเหมือนวัยรุ่นเลย น่ารักจัง เฮ้อ...ผมค่อยๆหยุดหัวเราะ คิดว่าเราควรจะส่งอะไรกลับไปบ้างดีมั้ยเนี่ย แต่เราไม่มีอะไรตลกๆแบบนี้เลย เอาไงดีล่ะ คิด...คิด...คิด
คิดแล้วว่าส่งไปส่งมาท่าจะไม่ได้เรื่องแน่ โทรไปหาเลยดีกว่า มีเบอร์เธอแล้วนี่ แต่....เอ บอกเธอก่อนสักนิดดีกว่า ส่งmessageไปก่อนละกัน
ผมกด reply -> write message แล้วเริ่มพิมพ์
thank you for a very funny picture. I wake up already. Can I call you? แล้วผมก็กด -> SEND
ทำไมถึงตื่นเต้นอย่างนี้นะ ไม่ใช่เด็กๆแล้วเรา ผมคิด แต่ใจมันเต้นตึกตักยังไงไม่รู้อะ
ผ่านไปห้านาทีแล้ว ยังไม่มีคำตอบ ผมก็นั่งจ้องโทรศัพท์ต่อไป ทำไมนานจัง หรือว่าไปอาบน้ำ แล้วจู่ๆโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ไม่ใช่ดังเพราะมืmessage แต่ใครไม่รู้โทรเข้ามา
ผมดูเบอร์ที่โทรเข้ามา เฮ้ย! เธอโทรมา.....ผมมือสั่นนิดหน่อย ใจก็เต้นตุ้มๆต่อมๆ ค่อยๆกดปุ่มรับสาย -ปิ๊ป-
"ฮะ--ฮะ-ฮาโหล สะ-สวัสดีครับบ" ผมพูดตะกุก ตะกัก
"ว่าไงคะ" เสียงเธอพูดมา เรียบๆ
"ไม่ ว่า ไงครับ...เอ่อ...ทำอะไรอยู่ครับ"
"ก็คุยกับคุณไง ...ฮะ...ฮะ" เธอหัวเราะน่ารัก "ล้อเล่นหนะ ก็ ทำโน่น ทำนี่ นิดหน่อยค่ะ" เธอว่าต่อ
"ไม่ออกไปไหนเหรอครับ" ผมถาม
"ก็ว่าจะออกไปซื้ออะไรมาทาน แต่คุณแม่ขับรถออกไปทำบุญที่วัด ยังไม่กลับมาเลยอะ สงสัยต้องทำเองแล้วมั้ง"
"หิวแล้วเหรอครับ"
"ใกล้เที่ยงแล้วนะคะ"
"เออ..จริงสินะ ว่าไปผมก็ชักหิวเหมือนกันซะแล้วสิ"
"จะมีอะไรในครัวบ้างก็ไม่รู้สิ"
"เอาอย่างนี้มั้ยครับ ผมไปรับออกมาทานอะไรดีมั้ยครับ แถวบ้านผมมีร้านอาหารอร่อยๆหลายร้านเลย"
"จะดีเหรอ คะ รบกวนคุณเปล่าๆ ชั้นหาอะไรทำกินเองในบ้านก็ได้"
"ไม่รบกวนเลยครับ ผมอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว"
"จริงๆไม่ต้องทานอะไรมากหรอกค่ะ แค่ก๋วยเตี๋ยวก็พอแล้ว"
" อ๋อ...ก๋วยเตี๋ยว ได้เลยครับ ก๋วยเตี๋ยวไก่สายน้ำผึ้ง ดีมั้ยครับ เจ้านี้อร่อยมากนะครับ เพื่อนผมมาทานทุกคนติดใจทุกคนเลย" ผมรีบโฆษณาทันที
"เคยได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยไปนะ ....อืมม ไม่เอาดีกว่า หาอะไรทานแถวนี้เองดีกว่าค่ะ"
"อ้าว...ทำไมเปลี่ยนใจล่ะ ไปเถอะนะ นะ ออกไปทานง่ายกว่าทำเองนะ" ผมพยายามเกลี้ยกล่อม
ปี้นนน....ปี๊นน ผมได้ยิงเสียงแตรรถ จากฝั่งของเธอ "เอ้อ....คุณแม่กลับมาแล้ว"
ว้า.....แย่จัง อย่างงี้ก็อดไปหาแล้วสิเนี่ย ผมคิด
"เอ๋ ไม่ใช่แฮะ คุณน้าข้างบ้านต่างหาก" เย่....ดีใจจังที่ไม่ใช่คุณแม่เธอ
"เอางี้....ไปก็ได้ คุณจะมาบ้านชั้นถูกเหรอ ไกลนะ" ว้าว...เหมือน ฟ้าประทาน
"คุณบอกทางผมมาเถอะ ถ้าอยู่ในกรุงเทพ ก็ไม่ไกลหรอก"
"บ้านคุณอยู่ไหนล่ะ....."
"ผมอยู่สุขุมวิท ซอย........"
"อ้อ ไม่ไกล ไม่ไกล ..อืมม...รู้จักหมู่บ้าน......มั้ยคะ"
"อ๋อ...รู้ครับ ผมมีเพื่อนคนนึงอยู่หมู่บ้านนี้เลย"
"ค่ะ บ้านชั้น อยู่ซอย .........ค่ะ เลี้ยว...... นะคะ แล้วก็...... ข้ามสะพาน ...ตรงมาอีกนิด....อยู่ขวามือค่ะ ไม่ยากมั้งคะ"
"ไม่ยากครับ ไม่ยาก ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลยนะครับ"
"ค่ะ" แล้วเธอก็วางหูไป คำสุดท้ายที่เธอพูด ...ช่างเป็นคำสั้นๆ แต่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกรางวัลที่หนึ่ง หรืออะไรซักอย่างจริงๆ
ผมรีบไปแต่งตัว แล้วรีบขับรถออกจากบ้านทันที....อ้อ....แวะซื้ออะไรติดไม้ติดมือนิดหน่อยดีกว่า...(ทายซิครับ ว่าผมแอบไปซื้ออะไรมา)
ผมไปถึงบ้านเธอในระยะเวลาอันรวดเร็ว ผมลงจากรถ กดกระดิ่งที่ประตูทันที .....กิ๊งก่อง .............
"ค่าาาาาาาาาาา มาแล้วค่าาาาา" ว้าว เสียงเธอแว่วมาแล้ว
เธอเปิดประตูบ้านแล้วเดินมาทางผม เธอใส่เสื้อยืดตัวเล็กๆสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงขาสั้นสีขาว ภาพที่เธอกำลังเดินมาทางผม ผมเห็นเหมือนกับภาพสโลวโมชั่นเลยล่ะ
เธอค่อยๆเดินเข้ามา เมื่อเห็นผมจ้องเธอไม่กะพริบตา เธอยิ้มนิดๆ รอยยิ้มของเธอทำให้แดดตอนเที่ยงๆของวันอาทิตย์ไม่มีความหมายอะไรเลย
"มาเร็วเหมือนเดิมเลยนะคะ" คำพูดเธอทำให้ผมรู้สึกตัว หยุดจ้องเธอชั่วขณะ
"คะ-ครับ ผ-ผมมาเร็วไปหรือเปล่าเนี่ย"
"ก็ไม่หรอกค่ะ เชิญเข้ามาก่อนสิคะ เดี๋ยวคุณนั่งรอแป๊ปนึงนะคะ ไปเขียนโน๊ตทิ้งไว้ให้คุณแม่ก่อนค่ะ"
ผมนั่งรอเธออยู่ที่สนามหน้าบ้าน เด็กรับใช้เอาน้ำมาเสริฟให้ แกมองหน้าผมแล้วก็อมยิ้มนิดๆก่อนเดินหายไป ผมนั่งมองไปทั่วๆ บ้านเธอตกแต่งได้น่ารักดี ถึงแม้ตัวบ้านจะอายุมาก แต่ก็เห็นได้ถึงการดูแลเอาใจใส่รักษาเป็นอย่างดี ถ้าเธอมีแฟน เธอจะดูแลแฟนเธอดีอย่างนี้มั้ยน๊า ผมคิดอะไรไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ยินเสียง
"ไปกันรึยังคะ" ผมหันหลังกลับไปมองตามเสียง แล้วผมก็ได้พบกับ นางฟ้า...เอ้ย ไม่ใช่ เธอนั่นเอง เธอมาในชุดใหม่ ใส่เสื้อแขนกุดสีฟ้า กับกางเกงยีนส์สี่ส่วน ทำให้เธอดูน่ารักสดใส ไปอีกแบบ
"ขอโทษที่ให้รอนะคะ ไปแต่งตัวมาใหม่น่ะค่ะ"
"ไม่เป็นไรครับ บ้านน่าอยู่นะครับ ผมก็เลยนั่งเพลินๆ" แล้วเราก็เดินมาที่รถ ผมเปิดประตูให้เธอขึ้นนั่ง แล้วก็รีบวิ่งไปประจำที่คนขับทันที ....
"บ้านหายากมั้ยคะ" เธอเริ่มชวนคุยก่อน
"ไม่ยากครับ ก็ขับมาตามที่คุณบอก ง่ายๆเลย"
"จริงๆ แล้ว ไม่น่าลำบากมาถึงนี่เลย ชั้นหาอะไรทานเองก็ได้"
"เอางี้...ถือว่ามาทานกลางวันเป็นเพื่อนผมก็แล้วกันนะครับ จะได้ไม่ต้องเกรงใจ"
"ว้าย! เลี้ยวซ้ายค่ะ เลี้ยวซ้าย ทางนี้ออกไม่ได้ค่ะ วันเวย์" อยู่ๆเธอก็อุทานขึ้นมา เมื่อผมขับรถสวนทางผิดเลน
"อ้าว....เหรอครับ ผมนี่แย่จริงๆเลย สงสัยต้องเลยไปนิดนึงค่อยกลับรถแล้วล่ะครับ"
"ไม่เป็นไรค่ะ ก็อย่างนี้แหละค่ะ ขับรถเมืองไทย ถนนเปลี่ยนได้เสมอ เดี๋ยวสวนได้ เดี๋ยวสวนไม่ได้"
"ครับ หวังว่าแถวนี้คงไม่มีตำรวจนะครับ" แล้วความหวังผมก็เป็นจริง คุณตำรวจแกโผล่มากวักมือเรียกผมทันที
"สวัสดีครับ คุณวิ่งสวนทางมาผิดนะครับ ขออนุญาตดูใบขับขี่ด้วยครับ" คุณตำรวจแกขึงขังดีจริงๆ ผมเลยรีบหยิบใบขับขี่ส่งให้แกทันที
"นี่ครับ ขอโทษนะครับ คือผมไม่ค่อยได้มาแถวนี้ครับ เลยไม่รู้ว่าเป็นทางวันเวย์" ผมรีบอธิบายเผื่อแกจะเข้าใจ
"ครับ พูดยังงี้ทุกคนแหละครับ" น่านนน คุณพี่แกย้อนผมแรงดีจัง ฮึ่มม.. อย่างนี้ต้องมีกลับคืนบ้าง
"ครั้งนี้ผมขอก็แล้วกันนะครับคุณตำรวจ คนกันเอง คุณพ่อผมก็อยู่ที่ สน.นี้เหมือนกัน" ท่าทางจะได้ผลแฮะ แกมองลอดแว่นมาทันที
"ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าท่านอยู่ที่ สน.แผนกไหนครับ" ทีท่าแกอ่อนลงแล้ว
"ไม่ได้อยู่แผนกไหนหรอกครับ แกอยู่ที่ สน. กำลังเสียค่าปรับอยู่ครับ โดนตรงนี้เหมือนกันเลย" แหะแหะ
"อ้าว คุณล้อผมเล่นหรือครับ เดี๋ยวจับติดคุกซะเลยนี่" แกเล่นผมกลับแรงอีกแล้ว
"โอย เปล่าครับ ไม่ได้ตั้งใจนี่ครับ ขอซักครั้งนะครับ" คุณตำรวจแกหยิบใบขับขี่ผมขึ้นมาดูอีกครั้ง แกยิ้มๆแล้วพูดขึ้นมาว่า
"เอาล่ะครับ ดูจากที่อยู่คุณแล้ว คุณไม่ได้อยู่แถวนี้จริงๆ ครั้งนี้ผมยกให้ แต่คราวหลังอย่าทำผิดอีกนะครับ" แล้วแกก็ส่งใบขับขี่คืนให้ผม
"ขอบคุณครับ รับรองครับ ถึงทำ ก็ไม่ให้เห็นแน่นอนครับ" แล้วผมก็ลาจากคุณพี่ตำรวจมาโดยสวัสดิภาพ
"คุณ นี่ตลกจริงๆเลย กล้าทำอย่างงั้นได้ยังไงนะ บ้าจริงๆเลย" เธอว่า
"แหม...ยังไงก็โดนเรียกแล้ว ลองคุยกันหน่อย ก็เราไม่ได้ตั้งนี่นา ใช่มั้ยล่ะ คุยกับแกดีๆ ให้ก็ดี ไม่ให้ก็ไม่ว่ากัน"
"อืมม..จะจำไว้ใช้ดูมั่ง ตลกดี ...ฮะ ฮะ" เธอหัวเราะน่ารัก จริงๆ
ระหว่างขับรถ ผมแอบมองเธอบ่อยๆแบบพยายามไม่ให้เธอรู้ ผมรู้สึกว่าโลกนี้เหมือนมีเราแค่สองคน เหมือนกับความฝันเลยผมคิด ถ้าเป็นความฝัน ผมก็อยากจะหลับฝันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ...เฮ้อ อย่างว่าแหละครับ เวลาคนเราอยู่ในความรัก อะไรๆก็ดูเหมือนจะดีไปหมด ขนาดตำรวจจับ แกยังเปลี่ยนใจไม่จับเลย....ผมคิดเพ้อเจ้อไปตามเรื่อง
เราขับรถมาเรื่อยๆ ผมเอาซีดีให้เธอเลือกเปิด เธอหยิบแผ่น sound track ของ Nothing Hill มาแล้วเปิดเพลง When You Say Nothing At All เพลงนี้ปกติเวลาผมฟังเองคนเดียวก็ไม่รู้สึกอะไร แต่เวลานี้ทำไมเพลงที่เราฟังอยู่บ่อยๆถึงได้ให้บรรยากาศที่แปลกออกไปได้
"เพลงนี้เพราะดีนะ" เธอพูดขึ้นมาเบาๆ............... ผมพยักหน้าแล้วไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้เพลงบรรเลงไปจนจบ ผมกดเลื่อนเพลงให้ข้ามไป แล้วพูดขึ้นว่า "ผมชอบเพลงนี้นะ หาคนที่จะเปิดให้ฟังมานานแล้ว" แล้วเพลงก็เริ่มintro....


เพลงที่ผมเลือกใหม่ เป็นเพลงไทยความหมายตรงใจผมมาก ทันทีที่ผมเปิดเพลงนี้ให้เธอฟัง จะด้วยความบังเอิญหรืออารมณ์พาไปก็ไม่ทราบ ผมว่าผมเห็นเธอหน้าแดงนิดๆและนั่งก้มหน้าไม่พูดอะไรอีกเลยจนเพลงจบ
อาจจะเป็นท่อนแยกของเพลงก็ได้มั้งที่บอกความหมายอะไรเป็นนัยๆให้เธอรู้ ก็ตอนที่นักร้องร้องว่า
"ไม่คิดว่ารักจะดีอย่างนี้....ไม่คิดว่าฝันจะเป็นไปได้.... วันนับวันชั้นเฝ้าแต่รอ.... เมื่อเห็นหน้าเธอฉันจึงเป็นสุข อยู่ในหัวใจ."
และพอตอนจบของเพลง ท่อนนี้ก็จะกลับมาตอกย้ำอีกรอบหนึ่งแถมทิ้งท้ายให้หนาวหัวใจด้วยท่อนลงที่ว่า
"ไม่คิดว่ารักจะดีอย่างนี้....ไม่คิดว่าฝันจะเป็นไปได้.... วันนับวันชั้นเฝ้าแต่รอ.... เมื่อเห็นหน้าเธอฉันจึงเป็นสุข อยู่ในหัวใจ........ รักเธอผู้เดียว..."
เอาแล้วมั้ยล่ะ ผมคิด .....แรงไปหรือเปล่าหว่า ....นิ่งไปเลยอะ ทำไงดีล่ะ......ดูสิ ยังก้มหน้าอยู่เลย. ...........
"เพราะดีนะครับ ฟังกี่ครั้งก็ยังเพราะ" ผมพูดขึ้นมาเบาๆให้บรรยากาศสบายขึ้น
"ค่ะ" แล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นมา "ความหมายก็ดีด้วยค่ะ" แล้วเธอก็เงียบไป ผมก็เงียบด้วย ปล่อยให้เพลงบรรเลงต่อไป ส่วนใครจะคิดอะไรในใจ ก็สุดจะคาดเดาได้ล่ะครับ......................
.........
แล้วเราก็มาถึงที่ร้าน วันอาทิตย์อย่างนี้คนเยอะเหมือนเดิม ระหว่างที่รอ เราก็นั่งกันเงียบๆ ผมคิดจะชวนเธอคุยอะไรเบาๆ แต่ก็นึกไม่ออกสักที
แล้วเธอก็พูดขึ้นมาก่อน "ร้านนี้เอง มีคนบอกให้มาลองชิมหลายคนแล้ว ว่าจะมาหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จซะที"
ผมรีบเสนอทันที "ถ้าชอบทานอะไรอร่อยๆนะ ผมนี่แหละ นักชิมเลย ผมรู้จักร้านอาหารอร่อยๆเยอะเลย เอาไว้ผมพาไปนะ นะ" เธอยิ้มนิดๆไม่พูดอะไร แต่ผมก็คิดเข้าข้างตัวเองไว้ก่อนว่าเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน
แล้วก๋วยเตี๋ยวก็ถูกยกมาเสริฟ ผมตักน้ำตาลใส่ลงไปหนึ่งช้อนเหมือนอย่างเคย
"ว้าย ตายแล้ว ทำไมใส่น้ำตาลมากแบบนี้ ไม่ได้นะคะ ทานหวานอย่างนี้ไม่ได้ ไม่ดีต่อสุขภาพ" เธอดุผมแฮะ
ผมหยุดอึ้งไปเลย ไม่เคยมีใคร ดุ ผมแบบนี้มาก่อน ผมวางช้อนลงแล้วจ้องหน้าเธอ ...เธอ งงแล้วถามผมว่า
"โกรธหรือคะ ขอโทษที่เสียงดัง แต่เห็นแล้วอดไม่ได้ค่ะ"
ผมตอบว่า "ไม่โกรธหรอกครับ ดีใจต่างหาก ดีใจที่คุณเป็นห่วงผม ไม่เคยมีใครห่วงผมอย่างนี้มาก่อนเลย" แล้วผมก็ค่อยๆยิ้ม
"บ้า! นึกว่าคุณโกรธชั้นซะอีก นี่แน่ะ" แล้วเธอก็เธอตะเกียบข้างนึง เคาะที่นิ้วผมดังป๊อก ผมว่าผมเห็นเธอหน้าแดงอีกแล้วล่ะ หรือว่าอากาศร้อนก็ไม่รู้....
ระหว่างที่ทานกันอยู่โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้นมา เธอมองดูเบอร์ "คุณแม่โทรมาน่ะค่ะ" เธอคุยกับคุณแม่สักพักแล้วก็วางสาย "คุณแม่โทรมาบอกว่าจะไปทานข้าวกับเพื่อนๆ คงจะกลับเย็นๆ" เอาล่ะสิ เหมือนฟ้าเป็นใจ ผมเลยรีบพูดขึ้นมาทันที
"ถ้างั้นคุณก็ไม่ต้องรีบกลับจนกว่าจะถึงเย็นใช่มั้ยครับ"ผมถามด้วยความหวังเต็มที่
"ก็คงไม่เย็นมากหรอกค่ะ กลับก่อนคุณแม่สักหน่อย คงดีกว่า"
"แล้วคุณอยากจะไปไหนต่อจากนี้รึเปล่าครับ ไปดูหนัง หรือไปเดินเล่นกันมั้ย" ผมลองชวนเธอดู
"ไปดูหนังคงไม่ล่ะค่ะ แล้วถ้าไปเดินเล่น คุณจะไปเดินที่ไหนคะ" เธอถามผมกลับ
"อืมม.. ตอนนี้ที่สถานฑูตอังกฤษมีงาน เพลินจิตแฟร์ คุณเคยไปมั้ยครับ สนุกดีนะ เจ้าหน้าที่สถานฑูตเค้ามาออกร้านขายของกัน ปีที่แล้วผมได้แจกันคริสตัลมาใบนึง สวยและถูกมากเลยครับ"
"เหรอคะ น่าสนใจดีค่ะ ไม่เคยไปเลย ลองไปดูสักทีก็ดีเหมือนกัน" ....................ในที่สุดวันของเราก็ยังไม่หมดแค่นี้แน่นอน
.............
เราขับรถไปจอดที่เซ็นทรัลแล้วเดินมาที่สถานฑูต อากาศไม่ร้อนทำให้บรรยากาศของงานน่าสนุกมาก คนเยอะเดินกันเต็มไปหมด เด็กๆวิ่งถือลูกโป่ง บางคนถือสายไหม วิ่งไปกินไป แหม...บรรยากาศช่างเหมือนกับการออกเดทจริงๆ
เราเดินคู่กัน ดูโน่น ดูนี่ไปเรื่อยๆ เธอคงชอบและสนุกเพราะสนใจเข้าร้านโน้น ออกร้านนี้ โน่นก็น่ารัก นี่ก็น่าซื้อ เธอว่า ....แล้วผมก็ชวนเธอแวะไปดูซุ้มขายแผ่นเสียงเก่า ผมเองชอบฟังเพลงเก่าๆด้วย ยิ่งมาเจอเจาของร้านมือสมัครเล่น แต่ฝีมือการเชียร์ขายไม่สมัครเล่นเลย ทำให้ผมหลวมตัวซื้อมาตั้งหลายแผ่น อาจจะด้วยราคาไม่แพงเพราะเป็นของมือสอง แต่ก็เป็นของดี ที่น่าสะสม...ผมได้แผ่นของ แฟรง ซินาตร้า, เฮนรี่ แมนซีนี่, บีทเทิลชุดเก่าๆ และอื่นๆอีกมากติดมือมา
เธอบอกว่าผมเชยจัง ฟังเพลงเก่าาาาามากกกกก ผมก็เลยบอกเธอว่า เอาไว้จะอัดเฉพาะเพลงเพราะๆมาให้ลองฟัง แล้วจะเปลี่ยนใจ .....
ออกจากร้านแผ่นเสียง เราก็แวะเข้าร้านไวน์ เพราะมีให้ชิมฟรี เราก็เลยไปลองของฟรีกัน ....เราหยิบมาชิมกันคนละแก้ว เธอทำหน้าไม่ชอบทั้งๆที่ยังไม่ได้ลองชิม ผมก็เลยบอกให้เธอค่อยๆจิบดู ....เธอยกแก้วขึ้นจิบ ผมบอกให้เธออมไวน์ไว้ที่กระพุ้งแก้มก่อนค่อยกลืน จะได้รสชาติที่ดีกว่า เธอลองทำตามแล้วก็ว่า อร่อยดี ทำให้ไม่ฝาดคอ แล้วเธอก็ชิมๆๆๆจนหมดแก้วเลย...
ออกจากร้านไวน์เราก็เดินไปดูร้านขายดอกไม้ ดอกไม้สวยมากเพราะเป็นดอกไม้นอก แถมร้านก็ติดแอร์ เราเลยถือโอกาศมาเดินตากแอร์ไปในตัว เราเดินดูดอกไม้มาเรื่อยๆ แล้วก็มาเจอเจ้าของร้านที่เป็นฝรั่ง แกทักทายเราแล้วยื่นดอกทิวลิปให้ผมดอกนึง แล้วบอกกับผมว่า.....
"แฟนคุณน่ารักมาก ผมคิดว่าคนสวยๆอย่างเธอคงเหมาะกับดอกไม้สวยๆอย่างนี้เช่นกัน" ว้าว......ผมอึ้งไปเลยกับคำพูดของพี่แก ก็เลยงง งงยื่นมือไปรับดอกไม้จากเจ้าของร้าน เอามาให้เธอ เธอก็รับไป หน้าแดงงงงงงทีเดียว จะเพราะอาย หรือ เพราะไวน์ก็ไม่ทราบได้
เราเดินดูดอกไม้กันไปเรื่อยๆ ดูเธอเขินๆยังไงก็ไม่รู้ แต่แล้วอยู่ๆก็มีเด็กสองคนวิ่งไล่กันมาจากไหนไม่รู้ คนแรกวิ่งเฉี่ยวผมไป แต่คนที่สองหลบไม่พ้น วิ่งชน เธอ อย่างจัง เธอถึงกับเสียหลักเซมาชนผม ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยโอบเอวประคองเธอไว้ไม่ให้ล้ม แต่ว่ากลัวจะรับไม่อยู่ผมก็เลยต้องใช้สองมือโอบ
ผลที่ออกมาก็เลยกลายเป็นว่า ผมต้องกอดเธอเอาไว้ พอเธอตั้งหลักได้ ก็กึ่งผลักกึ่งดันผละออกจากผมทันที ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง...ได้แต่อึกอัก แล้วบอกเธอว่า ขอโทษ ...เธอซึ่งค่อนข้างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่พูดอะไร อยู่ๆก็ก้มหน้าก้มตาเดินออกไป ผมก็ทำอะไรไม่ถูก ยืนอยู่เฉยๆไม่รู้ว่าจะตามเธอไปดีหรือเปล่า
แล้วเธอก็หันกลับมาหน้าบึ้งๆ บอกผมว่า "กลับเถอะ" แล้วเธอก็เดินจากไปทันที...........ผมก็เลยรีบเดินตามเธอออกไปทันที เมื่อออกมาข้างนอกผมรู้สึกเหมือนว่าท้องฟ้ามันช่างมืดมนเหลือเกิน ทำไมมันถึงได้ต่างจากตอนที่เรามาถึงขนาดนี้ ทำไม.....
ผมเดินตามเธอมาเรื่อยๆ ใจคิดมาตลอดทางว่าเราควรจะพูดอะไร หรือควรจะทำอะไรดี แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก ได้แต่เดินตามหลังไปเรื่อยๆ จนมาถึงที่รถ
เธอเดินมาถึงก่อน ยืนคอยอยู่ที่ประตู เธอไม่พูดอะไร ไม่แม้แต่จะมองหน้าผม แต่มองไปทางไหนไม่รู้ เมื่อผมกดรีโมทปลดล๊อคให้รถ เธอก็เปิดประตูแล้วขึ้นนั่งทันที
ผมก็ขึ้นมานั่งบ้าง สตาร์ทรถแต่ยังไม่ขับออกไป ผมนั่งมองเธอด้วยว่าไม่รู้จะเอายังไง เธอก็เงียบไม่มอง ไม่พูดอะไรเหมือนเดิม ทุกอย่าง .........เงียบ...........
......ผมรู้สึกว่าเวลาเดินช้ามาก แต่สมองของผมกลับปั่นเร็วจี๋ ในหัวมีแต่ความคิดวิ่งไปวิ่งมาเต็มไปหมด เป็นช่วงเวลาที่ผมสับสนและกังวลมากจริงๆ
....แล้วเธอก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า ......กลับเถอะ....... ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรที่ดีไปกว่านี้ได้ ก็เลยขับรถออกจากที่จอดอย่างช้าๆ
ระหว่างทางที่ขับรถกลับ ทุกอย่างเงียบสนิท ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา คิดไปคืดมา คิดมากคิดมาย ในที่สุดผมก็เลิกคิดแล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไปจากนี้ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดก็แล้วกัน จะโกรธ จะเกลียดกัน ก็ต้องแล้วแต่เธอ ...ผมจนปัญญาจริงๆ
ผมขับรถมาเรื่อยๆ ผมรู้สึกเหมือนว่าเส้นทางที่เราเดินทางมานั้นยาวไกลเสียเหลือเกิน ผมเริ่มเหนื่อย ความเหนื่อยของหัวใจนี่มันช่างเหนื่อยกว่าความเหนื่อยของร่างกายมากมายจริงๆ
แล้วผมก็ขับรถมาจนถึงบ้านเธอจนได้ ผมจอดรถที่หน้าบ้าน มองเข้าไปเห็นไม่มีรถ แสดงว่าคุณแม่เธอคงยังไม่กลับมา ผมละสายตามามองที่เธออีกครั้งหนึ่ง เธอก็ยังคงนิ่ง ไม่พูดอะไรเหมือนเดิม
ผมก็ไม่ว่าอะไร เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร เลยปรับเบาะพนักพิงให้เอนลงนิดหน่อยเพื่อให้ตัวเองผ่อนคลาย......เวลายังคงเดินผ่านไปอย่างช้าๆ ผมเริ่มคิดว่าท่าทางเราสองคนคงจะไปกันไม่รอด ของที่ผมแอบไปซื้อมาให้เธอเมื่อตอนเช้า ก็คงไม่ได้ให้แล้ว
...ทำไมอะไร อะไร ที่กำลังจะไปได้ดี ถึงจะต้องมีอันจบลงแบบนี้ ...ทำไมช่วงเวลาของเราสองคนจึงสั้นแค่นี้ ช่วงเวลาดีๆมีแค่นี้จริงๆหรือนี่
ระหว่างที่ผมกำลังมองไปนอกหน้าต่าง และคิดไม่ตกอยู่นั้น จู่ๆเธอก็เอ่ยขึ้นมาว่า ........
"จริงๆแล้วชั้นไม่ได้โกรธคุณนะ แต่ชั้นตกใจหนะ ตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก พูดอะไรไม่ออก.....คุณอย่าเข้าใจชั้นผิดนะ"
ผมหันกลับมามองเธอทันที แล้วก็มาเจอะกับเธอที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว ผมมองเธอ เธอก็มองผม แล้วเธอก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า
"ถ้าชั้นทำให้คุณไม่สบายใจ ก็ขอโทษนะ" เธอพยายามยิ้มให้ผม
.....คุณเชื่อมั้ยว่าคำพูดของเธอทำให้ผมอยากกระโดดเข้าไปกอดเธอจริงๆเลย ....แต่ มารยาลูกผู้ชายอย่างเรา ต้องตีหน้าเศร้าไว้ก่อน ทำกระดี๊กระด๊าไม่ได้ ไม่งาม ผมก็เลยแกล้งทำเป็นหน้าจ๋อยๆแล้วพูดกับเธอว่า
"แต่ผมตกใจมากนะครับ ไม่สบายใจด้วย" ผมตัดพ้อ....ได้ผลครับ เธอหยุดยิ้มทันที หน้าเธอเสียนิดหน่อย แล้วรีบพูดขึ้นมาทันที
"จริงหรือคะ ขอโทษนะคะ ขอโทษ ขอโทษจริงๆค่ะ" ฟังดูเธอตกใจ....ผมได้ที รีบเข็นเกวียนออกมาร้อยเล่มเลย
" แล้วผมก็ค่อนข้างจะเสียใจด้วย ผมเสียใจจริงๆนะครับ" น่าน......เอาใหญ่เลย ลองเจอมารยาชายดูบ้าง
"ชั้นไม่ได้ตั้งใจนะ คุณอย่าโกรธนะ นะ นะคะ" เธอเริ่มอ้อน....เอาล่ะสิ คนละร้อยเล่มเกวียน รวมกันเป็นสองร้อยเล่มเกวียน ชนกันเละ ละงานนี้
บรรยากาศค่อยๆดีขึ้นแล้ว ผมก็เลยจ้องหน้าเธอแล้วก็พูดกับเธอเบาๆว่า "ไม่โกรธก็ได้.....แต่คุณต้องสัญญานะ ว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีก"
"ค่าาาาาาาาา......าาาาาาาา" เธอรับปากพร้อมทำหน้าทะเล้น...และ.... น่ารัก ....แหม ถ้าคนไหนที่เบื่อโลกนะ ได้มาเห็นเธอตอนนี้คงเปลี่ยนใจเลยล่ะครับ รอยยิ้มของเธอทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นมากกกกกกกกเลยจริงๆ
เธอยกมือขึ้นดูเวลาแล้วก็เอ่ยว่า...."คุณแม่ใกล้จะกลับมาแล้ว เข้าบ้านดีกว่า.... คุณจะเข้ามานั่งเล่นมั้ยคะ" ไวเท่าความคิด ผมรีบเอ่ยขึ้นมาทันที
"เอาไว้วันหลังดีกว่าครับ วันนี้ออกข้างนอกมาทั้งวันแล้ว คุณไปพักผ่อนเถอะ นะครับ" น่าน....มีรุก ก็ต้องมีถอยบ้าง ให้พองาม ผมคิดเพื่อยั้งตัวเองไว้ ก่อนจะใจอ่อน
"จริงเหรอคะ จะไม่เข้ามาดื่มน้ำสักหน่อยหรือคะ" เธอชวนอีกที
"ไม่เป็นไรครับ เท่าที่คุณยอมออกมากับผมวันนี้ ผมก็ดีใจมากแล้วครับ" แจ๋วมากเพื่อน พูดได้ดี พูดได้ดี "เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันนะครับ ผมมาอีกแน่ๆ" ผมหยอดทิ้งท้าย
เธอยิ้มนิดๆ "ตามใจคุณเถอะค่ะ บ้านนี้ยินดีต้อนรับเสมอ" ว้าว.....ได้ผล ผมคิด "ไปนะคะ" แล้วเธอก็เปิดประตูลงจากรถ
ผมรีบลงรถไปส่งเธอที่ประตูเช่นกัน โดยไม่ลืมที่จะหยิบของฝากที่คิดว่าจะไม่ได้ให้เธอซะแล้วติดมือลงไปด้วย แล้วเราก็หยุดยืนคุยกันที่ประตูอีกหน่อย
"นี่ครับผมตั้งใจเอามาฝาก ถือซะว่าเป็นของที่ระลึกในการออกไปข้างนอกครั้งแรกของเราก็แล้วกัน" แล้วผมก็ยื่นห่อของขวัญเล็กๆให้กับเธอ เธอทำหน้างง งง
"เอาไว้ค่อยแกะดูก็ได้ครับ กลับถึงบ้านแล้วผมจะโทรมาหานะครับ" ผมถามหยั่งเชิงดู
"ค่ะ" เธอตอบรับสั้นๆ แต่มีความหมายสำหรับผมเหลือเกิน
"คุณเข้าบ้านเถอะ ผมส่งคุณตรงนี้นะ" แล้วผมก็ยืนมองส่งเธอเข้าบ้านปิดประตูไป
ผมเดินกลับมาที่รถ เปิดประตูเข้ามานั่ง นิ่งๆ คิดทบทวนแล้วก็ยิ้มๆคนเดียว "ใช้ได้ ใช้ได้ ไปได้สวยอย่างนี้ดีแน่ๆ" ผมคิดไปเรื่อยๆ คิดขอบใจเด็กทั้งสองคน คิดนั่นคิดนี่ คิดอะไรเพลินๆ แล้วจู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นว่า มี message เข้ามา ผมรีบกดดูทันที

: what r u doing ja?
i can see u from here na : )

ผมรีบมองเข้าไปในบ้านเห็นเธอยืนยิ้มมองผมอยู่ที่หน้าต่าง ผมทั้งเขิน ทั้งอาย รีบยกมือขึ้นบ๊ายบายเธอแล้วขับรถออกไปทันที
ด้วยความอาย ผมรีบขับรถออกจากหน้าบ้านเธอทันที พลางคิดกับตัวเองว่า "เรานี่มันซื่อบื้อจริงๆเลย ทำอะไรไม่ระวัง ปล่อยให้เธอเห็นเราทำกระดี๊กระด๊าได้" เรานี่โง่จริงๆ สงสัยว่าเขาจะให้เอามาแต่เกวียน แต่เราดันเอาควายมาด้วย...... ว๊า แย่ แย่ เสียฟอร์มหมดเลยเรา
ผมขับรถเลยหน้าบ้านเธอมาได้นิดหน่อยก็เลี้ยวรถมาจอดที่สวนของหมู่บ้าน เลือกเอาตรงที่ร่มๆ แถมมีวิวทะเลสาปและมองเห็นบ้านของเธอได้ แค่ได้เห็นบ้านเธอผมก็มีความสุขแล้ว นี่แหละน๊า อานุภาพของความรัก
......ผมจอดรถ ดับเครื่อง เปิดกระจกลง เปิดเพลงช้าๆเบาๆ แล้วนั่งสบายๆคิดถึงสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ ผมรู้สึกดีจริงๆ นะ คิดว่าความสัมพันธ์ของเราค่อนข้างดีพอไปได้ ทีเดียว คิดไป คิดมา แล้วก็คิดได้ว่า นี่ผมหลงรักเธออย่างหมดหัวใจซะแล้วสิ คิดแล้วผมรู้สึกร้อนวูบๆที่หัวใจยังไงไม่รู้ แถมในท้องก็รู้สึกเหมือนมีผีเสื้อบินกันพรึบพรับเต็มไปหมด... ผมไม่รอช้ารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเธอทันที ผมคิดว่าอารมณ์ขนาดนี้แหละกำลังดี อาจทำให้ผมกล้าพูดสิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่ในใจก็ได้ โทรติดแล้ว ....อืมมมม..ตื่นเต้นๆ
"ค่าาาา.....ว่าไงคะ ถึงบ้านแล้วเหรอ" เสียงเธอหวานบาดใจเหลือเกิน
"ยังครับ ยังไปไม่ถึงไหนเลย มัวแต่หาของอยู่"
"เอ๋...หาของ? หาอะไรคะ อะไรหาย" ฟังดูเธองง งง
"ใจครับ หัวใจผมหาย" เอ่ออ...เน่ามั้ยครับ รู้นะครับว่าเน่า แต่อารมณ์นั้น ผมพูดออกไปอย่างนี้จริงๆ "หัวใจผมหาย กลับบ้านไม่ถูกเลยครับ" ผมบรรยายความรู้สึกต่อ
เธอ อึ้งไปนิดนึง แล้วก็พูดต่อว่า...... "แล้วไปทำหายที่ไหนคะ"
ผมรีบตอบทันที "ผมว่าผมรู้แล้วครับว่าอยู่ที่ไหน เดี๋ยวผมจะรีบไปนะครับ" แล้วผมก็วางโทรศัพท์ทันที... ไม่ต้องบอกก็รู้นะครับว่า ผมจะไปไหน ผมรีบสตาร์ทรถแล้วขับออกไปยังบ้านของเธอทันที เมื่อไปถึงผมเห็นเธอยืนคอยอยู่ที่หน้าประตูแล้ว ผมจอดรถแล้วรีบเดินไปหาเธอทันที เธอก็เดินมาเปิดประตูใหญ่ต้อนรับผมเช่นกัน
"ว่าไงคะ ..." เธอถามผม แถมจ้องหน้าเหมือนต้องการรู้คำตอบจริงๆในใจของผม
"ขอโทษครับ จริงๆแล้วผมยังไม่อยากกลับเลย อยากอยู่ อยากคุยกับคุณต่อ" ผมพูดความรู้สึกในใจของผมออกไปหมด
"ก็ใครไล่ ไม่ให้คุณอยู่ล่ะคะ คุณจะกลับเองนี่ แต่...มาแล้วก็เชิญเข้ามาสิคะ" แล้วเธอก็เชิญผมเข้าไปนั่งเล่นที่สวนหน้าบ้าน ส่วนเธอนั้นเข้าไปนั่งในหัวใจผมตั้งนานแล้วล่ะ
"คุณนี่ตลกดีนะ บอกให้อยู่ก็จะไป พอไป แล้วก็จะกลับมาอยู่ .....ว่างนักเหรอไงคะ" เธอแซวผม แถมค้อนให้ทีนึง
"คือ....ผม.....ไม่ค่อยแน่ใจหนะครับ กลัวว่าจะเซ้าซี้คุณเกินไป ใจหนะอยากอยู่ อยู่แล้ว อืมมม...แล้วคุณแกะของขวัญหรือยังครับ ...ชอบหรือเปล่าครับ"
"อ๋อ ยังเลยค่ะ จริงๆไม่เห็นต้องให้อะไรเลยนี่คะ ให้อะไรมาหรือคะ บอกได้ไหมเอ่ย"
"เอาไว้คุณแกะดูเอาเองก็แล้วกันนะครับ"
"ถ้างั้น เดี๋ยวชั้นไปเอามาแกะดูเลยก็แล้วกันนะ" แล้วเธอก็ลุกเดินไป
ระหว่างที่เธอเดินไป ผมก็คิดแล้วคิดอีก ว่าจะขอเธอเป็นแฟนยังไงดี ดูจากท่าทีแล้ว จะบุกเลย หรือจะค่อยๆเลียบๆเคียงๆดี คิดๆยังตัดสินใจไม่ได้ เธอก็เดินมาพอดี
"เอ...จะเป็นอะไรน๊าาา แกะเลยนะคะ" ....."เอาเลยครับ หวังว่าคงพอใช้ได้นะครับ"ผมพูดพลางมองเธอแกะห่อของขวัญ
"สมุดโน๊ต??? ลายน่ารักดี แต่.. ให้ชั้นทำไมคะเนี่ย" เธอถามด้วยความแปลกใจ
"ผมอยากให้คุณเอาไว้จดๆๆ จดอะไรก็ได้แล้วแต่คุณ"
"ขอบคุณนะคะ ว่าแต่คุณเถอะ เข้าไปนั่งยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ในรถ หนะ เป็นอะไรคะ ทำอย่างกับพวกโรคจิตแหนะ"
"อ๋อ....ผมก็ดีใจนะสิครับ ดีใจที่ได้ออกไปเที่ยวกับคุณวันนี้ ผมมีความสุขมากกกเลย ถ้าคุณไม่รังเกียจ เอาไว้ผมมารับคุณออกไปข้างนอกอีกนะครับ" ผมรีบบุกทันที
"แหม จริงๆแล้วชั้นไม่ชอบออกไปข้างนอกเท่าไหร่ คุณก็รู้นี่"
"ไม่เป็นไรครับ เอาไว้ให้ผมมาหาคุณที่บ้านบ่อยๆก็แล้วกัน ไม่ต้องออกไปไหนก็ได้"
"แล้วแต่คุณก็แล้วกันค่ะ ก็ชั้นบอกแล้วว่า บ้านนี้ต้อนรับคุณเสมอ" เธอพูดแล้วก็มองไปทางอื่น
บรรยากาศเย็นๆอย่างนี้ และดูเธอไม่รังเกียจผมแน่ๆแล้ว ผมควรจะพูดอะไรที่เข้าเรื่องซะที...ผมก็เลยรวบรวมความกล้าทั้งหมด พูดขึ้นมาแบบกล้าๆกลัวๆว่า
"แล้ว..ก็...ยังไงลองคบกับผมดูนะครับ" ไม่รู้ว่าเธอจะว่ายังไง แต่ผมก็ตัดสินใจพูดออกไปแล้ว
เธอหันกลับมาทันที แต่เมื่อเจอกับสายตาผมที่จ้องอยู่ เธอก็ก้มหน้าลงแล้วพูดเบาๆว่า "แหม...ยังไงก็ต้องค่อยๆดูกันไปล่ะค่ะ แล้วคุณแน่ใจเหรอคะ ที่พูดมาน่ะ" เธอยังคงก้มหน้าอยู่ดี
"ครับ ผมแน่ใจ แล้วก็คิดมาหลายวันแล้วด้วย สมุดที่ผมให้คุณ จริงๆแล้วผมก็อยากให้คุณเอาไว้จด สิ่งที่ดีๆที่เกิดขึ้นระหว่างเราสองคน อีกข้างหนึ่งก็เอาไว้จดสิ่งที่ไม่ดี"
"ก็....ลองดูแล้วกันนะคะ แต่คุณก็อย่าเพิ่งคิดอะไรที่มันจริงจังไปนักนะ...เราเองก็รู้จักกันไม่ท่าไหร่..." ถึงแม้เธอจะไม่ได้มองผม แต่ผมก็มั่นใจว่า เธอเองก็คงจะรู้ได้ว่าวินาทีที่เธอพูดจบ หัวใจของผู้ชายคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม มันพองโตจนแทบจะกระเด็นออกมาให้เธอเห็นทีเดียว .........................


เอาล่ะครับ เรื่องของผมก็คงจะจบจริงๆซะที หวังว่าคงจะให้บรรยากาศที่ดีๆของความรัก แก่ทุกๆท่านที่อ่านเรื่องของผมนี้นะครับ อย่างที่ผมเคยบอกไว้แล้วสำหรับเหตุผลที่ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ผมคิดว่า เวลาที่เรามีความรัก เราจะรู้สึกได้ถึงพลังของมัน ความรักทำให้หัวใจซาบซ่า ความรักทำให้เราอิ่มเอิบ ความรักทำให้เรายอมทำได้ทุกอย่าง ผมคิดว่าทุกๆท่านคงจะนึกถึงความรู้สึกดีๆนี้ได้ แต่บางครั้งอาจจะรู้สึกน้อยลง หรือหลงลืมไปบ้าง ตามกาลเวลา ผมคิดว่าเรื่องราวของผมคงจะกระตุ้นเตือนให้คุณๆคิดถึงความรู้สึกดีๆเหล่านี้ได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

ขอให้ทุกๆคนมีความสุขกับความรักนะครับ รักคนอื่นมากๆแล้ว แล้ว ก็อย่าลืมรักตัวเองด้วยนะครับ
o present by neko [ [email protected] ]
Hosted by www.Geocities.ws

1