การแพ้เครื่องสำอางค์ (cosmetic allergy)
[back to Home] |
by ~nawo~ [Jan 9, 2003] |
แพ้หรือระคายเคืองกันแน่ (Allergy or Irritation?)
การแพ้เครื่องสำอางค์ที่พบได้บ่อย จะเป็นลักษณะผื่นแพ้ (cintant dermatitis) ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ใน 2 ลักษณะ
1.
การแพ้อย่างแท้จริง |
เกิดจากการที่สารซึมลึกลงสู่ใต้ผิวหนังสู่ชั้นหนังแท้
(epidermis)
และจะไปกระตุ้นเซลล์บางชนิดซึ่งจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่เป็นสาเหตุของการแพ้ อาการ บวม เกิดการเป็นผื่นนูนเป็นกลุ่มคล้ายรังผึ้ง (hive-like breakouts) แผลพุพอง และรวมถึงก็พบอาการผิวหนังแดง หยาบด้วย มีอาการปวดแสบปวดร้อน การที่ผิวหนังแห้ง ลอก มีสะเก็ดน้ำเหลืองหรือมีตุ่มนูนเล็กๆ ใสๆ เกิดขึ้นและมักมีอาการคันร่วมด้วย โดยส่วนใหญ่ ผิวหนังจะแสดงอาการแพ้อย่างแท้จริงในครั้งแรกที่ได้รับการสัมผัสสารที่ทำให้ระคายเคือง แต่ในหลายๆกรณี ก็อาจใช้เวลานานหลายปีหรือต้องสัมผัสสารนั้นหลายๆครั้งจึงจะแสดงอาการ หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 7-10 วัน ให้ไปพบแพทย์ผิวหนัง เพราะจะมีเพียงแพทย์เท่านั้นที่จะบอกชนิดของการแพ้และวิธีการรักษาที่ถูกต้องได้ (ถ้าอาการบวมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และ/หรือ มีผลต่อการหายใจ ให้พบแพทย์โดยเร็วที่สุด) |
2.
การระคายเคือง |
ในหลายๆกรณีของการเกิดการอักเสบ
อาการระคายเคืองที่เกิดขึ้น
ไม่ใช่การแพ้อย่างแท้จริง
แต่ก็เป็นการทำร้ายผิวเช่นกัน
อาการ อาจเริ่มจากการคัน ผิวหนังไหม้ เป็นลมพิษ ซึ่งอาจทำให้เกิดแผลเปื่อย มีการคัน แสบ แดงเล็กน้อย ผิวแห้ง หรือบางรายมีสิวอุดตันเม็ดเล็กๆ คล้ายผดที่เรียกว่า สิวเทียม เกิดขึ้น การระคายเคืองอย่างรุนแรง เช่นการสัมผัสสารซักล้างที่มีฤทธิ์เป็นกรด อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาได้ภายใน ไม่กี่นาที หรือไม่กี่ชั่วโมง แต่สำหรับการระคายเคืองที่ไม่รุนแรง เช่นการการสัมผัสกับผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม สีย้อมผ้า หรือพวกผ้ายืดอีลาสติก อาจต้องใช้เวลามากกว่า 1 วันหรือเป็นสัปดาห์จึงจะปรากฏอาการ |
* การระคายเคือง จะเป็นปัญหาที่พบโดยทั่วไปของเครื่องสำอางค์และสกินแคร์ *
|
การระคายเคืองจะสัมพันธ์กับปริมาณสารที่ได้รับ
และจะเกิดอาการกับคนส่วนใหญ่ที่ได้สัมผัสกับสารนั้นๆ
ตรงข้ามกับการแพ้อย่างแท้จริง
ซึ่งจะไม่สัมพันธ์กับปริมาณของสารที่ได้รับ
(การสัมผัสสารนั้นเพียงชั่วครู่ก็การทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงได้)
และจะปรากฏอาการเพียงแค่
1-2 % ของคนทั่วไปเท่านั้น
|
|
ดังนั้นการที่เกิดการคันและมีสะเก็ดน่าจะเป็นสัญญาณของการระคายเคืองมากกว่าการแพ้อย่างแท้จริง ซึ่งอาการนี้มักเกิดเมื่อภูมิคุ้มกันน้อยลง สภาวะจากสิ่งแวดล้อม และ/หรือ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารเคมีที่อาจทำให้เกิดการแพ้ได้ง่าย |
การแพ้และการระคายเคืองอาจเกิดการสารดังต่อไปนี้ |
|
1. | น้ำหอม |
2. | สารกันบูด |
3. | สบู่ หรือ soap-like formulation ได้แก่ แชมพูที่เป็น detergent-based |
4. | สี และ formaldehyde ที่ผสมอยู่กับใยผ้า เช่นเสื้อผ้าที่สวมใส่ ผ้าปูที่นอน เป็นต้น |
5. | Abrasive detergent ที่ใช้กำจัดน้ำมันและ grease |
6. | โลหะหนัก ได้แก่ นิกเกิล |
7. | การสัมผัสกับพืชบางชนิด
เช่น - Poison ivy, poison oak, poison sumac - ผลของต้น gingko; ใบและเปลือกมะม่วง; น้ำมันจากเปลือกเล็ดมะม่วงหิมพานต์ - ผักบางอย่างเช่นกระเทียม หัวหอม มะเขือเทศ ขิง, parsnip และแครรอท - ดอกไม้ต่างๆในสวน เช่น English ivy, geranium, lilac, magnolia, poinsettia, primrose, philodendron, and tulip |
การเกิดผื่นสัมผัส สิวและการแพ้อย่าแท้จริงจากเครื่องสำอางค์จะหายากมากในบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรง และมีระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายที่ดี โดยเฉพาะพวกเมคอัพก็จะไม่ค่อยพบการแพ้ อย่างไรก็ตามการแพ้ ระคายเคือง หรือสิวจากเครื่องสำอางค์ก็อาจจะเกิดจากสิ่งต่างๆต่อไปนี้
1. | การใช้เครื่องสำอางค์ใหม่ๆจำนวนมากๆตลอดเวลา โดยเฉลี่ยพบว่า คนนึงมักใช้เครื่องสำอางค์ 12-15 ชนิดบนใบหน้า ซึ่งจะประกอบไปด้วยสารเคมีต่างๆกันถึง 3000 ชนิดทุกๆวัน! ดังนั้น กรุณาหมั่นใส่ใจทุกผลิตภัณฑ์ว่าคุณใช้อะไรและเมื่อไหร่บ้าง รวมถึงอาหารที่กินและผลิภัณฑ์ชำระล้างทุกประเภทที่คุณใช้ในชีวิตประจำวันของคุณ |
2. | การใช้แปรงหรืออุปกรณ์แต่งหน้าที่สกปรก ทำความสะอาดแปรงและอุปกรณ์การแต่งหน้าอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการใช้เมคอัพใหม่กับแปรงที่ยังไม่ได้ล้าง จะให้ดีที่สุดควรล้างแปรงและอุปกรณ์ไม่ต่ำกว่า 2-4 ครั้ง/เดือน (ดีที่สุดคืออาทิตย์ละครั้ง) อย่าลืมทำความสะอาดตลับแป้งตามร่องต่างๆอย่างสม่ำเสมอด้วย ระวังเรื่องน้ำยาและเครื่องมือที่เอาใช้ในการล้างและต้องแน่ใจว่าได้ล้างน้ำอย่างสะอาด รวมถึงแปรงและอุปกรณ์ต้องแห้งก่อนจะถูกนำไปใช้ในครั้งต่อไป |
3. | การใช้แปรงที่ใช้กับผลิตภัณฑ์ที่มีสีแดงเป็นส่วนผสมและแปรงนั้นยังไม่ได้ทำความสะอาด ผลิตภัณฑ์ที่ผสมสีแดงสังเคราะห์ ซึ่งสีแดงมักจะก่อให้เกิดโคเมโดนซึ่งเป็นสาเหตุของสิวที่เกิดการเครื่องสำอางค์ ("cosmetic acne") รวมทั้งสิวหัวดำ หัวขาว และการระคายเคืองที่ไม่ร้ายแรงทั้งหลาย ทางที่ดีที่สุด ทำความสะอาดแปรงและอุปกรณ์ต่างๆทุกครั้งก่อนเอาไปใช้กับผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ |
4. | การใช้ฟองน้ำแต่งหน้าที่ทำจากลาเทกซ์ บางคนแพ้ลาเท็กซ์ค่ะ ไม่เว้นถุงมือยางและฟองน้ำที่ทำจากลาเท็กซ์แต่งหน้าด้วย ควรหลีกเลี่ยงฟองน้ำที่ทำจากลาเท็กซ์หากคุณแพ้นะคะ |
5. | การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่สะอาด
มีสิ่งเจือปน ตรวจดูสารเคมีที่ใช้และสารเจือปนมนผลิตภัณฑ์ที่คุณใช้ว่ามันแห้งสะอาดหรือไม่และหากเป็นแป้งฝุ่นก็ควรแน่ใจว่ามันสามารถผ่านทางตะแกรง (sifter)ได้ |
6. | การใช้แปรงผิดประเภท สำหรับการแต่งหน้าทั่วไป แปรงที่ทำจากขนสัตว์แท้จะดีที่สุด สำหรับแปรงที่ใช้กับครีม ควรใช้ที่ทำจากขนสังเคราะห์หรือไนลอน เพราะจะสารถควบคุมเวลาลงครีมได้ดีกว่า และล้างออกง่ายกว่า |
การทดสอบการแพ้ (Patch Test) มี 2 แบบ | |
1. | Open Patch Test |
เป็นการทดสอบโดยการเอาสารมาทาที่บริเวณท้องแขน หลังหรือหลังหู ขนาดประมาณ 1 ซ.ม. โดยไม่ต้องเอาอะไรมาปิดทับ สารที่ทำให้เกิดการระคายเคืองมักอ่านผลใน 12 ช.ม. ส่วนสารที่มักให้เกิดการแพ้จะแสดงปฏิกิริยาภายใน 48 - 72 ช.ม. หรืออาจทำง่ายๆ โดยการทาสารนั้นที่ใบหูติดต่อกัน 10 วัน | |
2. | Closed Patch Test |
เป็นการทดสอบโดยการใช้ผ้าก็อชหรือพลาสเตอร์ที่มีสารเคมีที่จะทำการทดสอบแล้วนำมาแปะไว้ที่ผิวหนัง
ถ้าทำน้อยๆ
ก็ติดที่ต้นแขน
หรือถ้าต้องการทดสอบเป็นบริเวณกว้าง
ก็เอาไปแปะที่หลัง
ทิ้งไว้ 48 ชม.
แพทย์จะนัดมาอ่านผลการทดสอบ
2 ครั้ง ( ครั้งที่ 1 ที่ 48 ชม. ,
ครั้งที่ 2 ที่ 96 ชม.
หรือหลังจากนั้น)
ระหว่างนี้ไม่ให้แผ่นหลังเปียกน้ำ - พยายามหลีกเลี่ยงภาวะที่มีเหงื่อออกมาก เช่น วิ่ง เล่นกีฬา หรือถูกแสงแดดมาก ๆ - ไม่ควรทำการทดสอบนี้ หากคุณกำลังตั้งครรภ์ การทดสอบบางอย่าง อาจมีการฉายแสง โดยใช้หลอด mercury arc lamp เพื่อแทนแสง UV หากสงสัยว่าจะมีการแพ้แบบ photoallergic contact dermititis |
References:
http://www.thebeautybottle.com/articles/cosmeticallergy.shtml
http://www.thaiclinic.com/allergic_contact_rash.html
http://www.arubaaloe.com/allergy.htm
http://www.aad.org/pamphlets/cosmetic.html