การเมืองเรื่อง
"สัญชาติ" :
ทางออกในเขาวงกต
ศุภชัย เจริญวงศ์
หากบัตรประจำตัวประชาชนมีความหมายเพียงแค่เอกสารที่ราชการมอบให้แสดงตัว ไม่เกี่ยวกับการได้หรือเสียสิทธิอย่างอื่น การชุมนุมของตัวแทนชาวบ้านในนามสมัชชาชนเผ่าแห่งประเทศไทย ในระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม 2542 ที่หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ก็คงไม่เกิดขึ้น แต่บัตรประชาชนมีความหมายรวมถึงสิทธิ การเข้าถึงทรัพยากร และสถานะความมีตัวตนของคน เหมือนที่ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าวว่า "คนที่มีบัตรจะไม่รู้หรอกว่าสำคัญอย่างไร..บัตรหมายถึงชีวิตเราทั้งชีวิต..ถ้าไม่มีบัตรก็หมายถึงไม่มีใครรับรู้ว่าเรามีชีวิต.." บัตรจึงสะท้อนทั้งประวัติศาสตร์และความเป็นคน การเรียกร้องเรื่องสัญชาติจึงเป็นการเรียกร้องขอความมีตัวตนและการยอมรับให้มีชีวิตผ่านการมีบัตร ซึ่งรัฐบาลก็ตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาตามมติครม.11 พฤษภาคม 2542 ที่เสนอให้แก้ไขกฎระเบียบอันเป็นข้อติดขัดในการลงรายการสัญชาติ แต่จากการพิจารณาพบว่ามีหลายประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจอย่างรอบคอบ เพราะปัญหาสัญชาติเป็นประเด็นที่สลับซับซ้อน การแก้กฎหมายก็อาจส่งผลในระยะยาว ยิ่งสังคมยังไม่เข้าใจความสลับซับซ้อนของนโยบายและประเภทของชาวเขา การจัดการปัญหาก็อาจกลายเป็นทางออกที่วกวนและเจือปนด้วยอคติ ปัญหา "สัญชาติ" :
นโยบายที่กลายเป็นปัญหา
หากจำแนกประเภทคนที่ยังไม่ได้รับสิทธิความเป็นไทย
ก็อาจพบว่ามีชนกลุ่มอื่น
ทั้งคนไทยที่ตกหล่น
เด็กเร่ร่อนกำพร้า
และชนกลุ่มน้อยอีกหลายกลุ่มที่ไม่สามารถแสดงตัวทางกฎหมายหรือไม่มีบัตร
การเรียกร้องของชาวไทยภูเขาจึงไม่ใช่เพียงแก้ไขเฉพาะปัญหาของชาวไทยภูเขาที่ยังไม่ได้รับสิทธิ
แต่ยังรวมถึงการจุดประเด็นปัญหาของคนกลุ่มอื่นควบคู่กันด้วย
การเสนอให้แยกแยะคนไทยออกจากชาวเขาอพยพจึงเป็นการคลี่คลายความสับสนเบื้องต้นในเรื่องสถานะบุคคล
โดยเฉพาะความซับซ้อนอันมีที่มาเกี่ยวพันกับนโยบายและท่าทีที่รัฐมีต่อชาวบ้าน
นับแต่เริ่มให้ความสนใจกับชาวไทยภูเขา
ในช่วงปีพ.ศ.2499
เมื่อรัฐบาลรับเอาแนวคิดจากประเทศตะวันตกมาพัฒนาประเทศ
สิ่งหนึ่งที่จะต้องดำเนินการคือสำรวจจำนวนประชากรเพื่อวางแผนและดำเนินโครงการ
จึงประกาศ
พรบ.ทะเบียนราษฎรพร้อมกับจัดทำทะเบียนบ้านให้กับคนไทย
แต่ผลที่ตามมาคือสร้างสถานะทางกฎหมายที่แยกระหว่าง
"คนไทย" และ
"ไม่ใช่ไทย"
ผ่านการใช้บัตรแสดงตัว
และเมื่อเกิดความขัดแย้งกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
รัฐบาลก็ดำเนินโครงการสำรวจจำนวนประชากรชาวเขาในปีพ.ศ.2512-2513
เพื่อควบคุมความเคลื่อนไหว
โดยกอ.รมน.และกระทรวงมหาดไทยเร่งการจดทะเบียนชาวไทยภูเขา(ทร.ชข.)
และแจก
"เหรียญที่ระลึกชาวเขา"
พร้อมกับระบุเผ่าไว้ในส่วนที่เป็นสัญชาติ
ทำให้ชาวเขาที่ได้รับการจดทะเบียนมีสัญชาติตามเผ่า
และมีความสับสนในการแสดงตัวเนื่องจากไม่มีรูปถ่ายบนเหรียญ
ในปีพ.ศ.2515
มีการอพยพของชาวเขาจากประเทศเพื่อนบ้าน
ผนวกกับภาวะสงครามในอินโดจีน
ทำให้รัฐกังวลกับความไม่มั่นคงที่มาจากชาวเวียดนามอพยพ
จึงออกประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่
337
ยกเว้นการให้สัญชาติโดยหลักดินแดนแก่บุคคลที่บิดามารดาเข้าเมืองโดยไม่ถูกต้องตามกฏหมาย
ชาวเขาจำนวนมากจึงได้รับผลกรรมจากมาตรการนี้ด้วย
เพราะพ่อแม่ยังเป็นบุคคลเข้าเมืองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
แต่เมื่อสถานการณ์สงครามอินโดจีนคลี่คลาย
ผนวกกับการสิ้นสุดของรัฐบาลทหาร
กรมการปกครองโดยอนุกรรมการชาวเขา
สาขาการปกครองก็มีความเห็นว่า
"ชาวเขาเป็นพวกที่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยมานาน
ตามหลักกฏหมายย่อมได้สัญชาติไทยอยู่แล้ว
เพียงแต่ยังไม่มีหน่วยราชการเข้าไปปกครองดูแลถึง
ชาวเขาจึงยังไม่มีทะเบียนบ้านและสัญชาติตามกฎหมาย
การกรอกระเบียบเกี่ยวกับสัญชาติของชาวเขาจึงใช้คำว่า
ลงรายการสัญชาติ แทนคำว่า
ให้สัญชาติ" รัฐบาลจึงปรับแนวคิดว่าชาวเขาเป็นคนไทยและดำเนินโครงการลงรายการสัญชาติไทยในทะเบียนบ้าน
โดยเร่งจัดทำทะเบียนประวัติตาม
"โครงการสิงห์ภูเขา"
และออก บัตรสีฟ้า
กับทะเบียนบ้านชั่วคราวหรือ
ทร.13 ให้ ซึ่งเป็นผลให้ชาวไทยภูเขาสามารถขอลงรายการสัญชาติตามระเบียบสำนักทะเบียนกลางปีพ.ศ.2535
ได้ แต่ในทางเป็นจริงเงื่อนไขก็จำกัดและเปิดช่องให้เกิดการทุจจริตกันทุกท้องที่
ในปีพ.ศ. 2538
รัฐบาลมีมติ ครม.
เห็นชอบหลักการโครงการพิจารณาให้สถานะคนต่างด้าวแก่ชาวเขาที่อพยพเข้ามาในประเทศไทย
โดยมีเงื่อนไข 10
ประการให้สามารถขอสถานะบุคคลเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายประเภทคนไร้สัญชาตินอกกำหนดหรือ
สถานะต่างด้าว
ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2540
และในปีพ.ศ.2542
ยังมีโครงการสำรวจและจัดทำทะเบียนประวัติชุมชนบนพื้นที่สูงซึ่งรับการสนับสนุนจากโครงการเงินกู้พิเศษ
Miyazawa โดยแจกบัตรสีเขียวขอบแดงให้ชาวเขาที่ผ่านการสำรวจ
จากพัฒนาการของโครงการต่างๆของรัฐในการกำหนดสถานะบุคคลบนพื้นที่สูง
แม้จะมีเจตนาแก้ปัญหาความสับสนเรื่องสถานะของชาวเขา
โดยสำรวจ ตรวจสอบ
หรือดำเนินโครงการพิสูจน์ทราบหลายครั้ง
แต่ในทางปฏิบัติกลับส่งผลให้เกิดความสับสน
เพราะทุกโครงการมีผู้ตกหล่นหรือมีผู้แสวงหาประโยชน์จากช่องทางในทุกโครงการ
บุคคลหลายกลุ่มก็ยังเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าชาวเขากลุ่มไหนสมควรได้รับสถานะใด
ยิ่งก่อนการชุมนุมมีโครงการที่เกี่ยวข้องและแจกบัตรถึงสามโครงการพร้อมกัน
คือ
โครงการพิจารณาให้สถานะคนต่างด้าว
โครงการ Miyazawa และการลงรายการสัญชาติ
ชาวเขาบางคนคิดว่า
บัตร
จะสามารถแสดงตัวได้อย่างมีสิทธิ
จึงร้องขอทั้งสามโครงการจนเกิดการเสียสิทธิ
ปัญหาความสับสนจึงยิ่งรุนแรงมากขึ้น
อุปสรรคและทางออก :
ข้อเสนอจากชายขอบแผ่นดิน
สมัชชาชนเผ่าแห่งประเทศไทยพยายามเสนอให้แก้ปัญหาพร้อมกันทั้งกฎหมายและเร่งรัดการลงรายการสัญชาติ
เพราะการแก้ทั้งสองระดับจะทำให้เห็นมาตรการอันยืนอยู่บนฐานข้อเท็จจริง
ยิ่งกว่านั้นปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรที่ทวีความรุนแรงและกำลังขยายกลายเป็นความขัดแย้งเรื่องเชื้อชาติ
โดยเฉพาะการอ้างว่าผู้ที่เป็นไทยหรือมีบัตรประชาชนมีสิทธิใช้ทรัพยากร
ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวล่อแหลมต่อปัญหาที่อาจขยายเป็นความรุนแรงและไม่มั่นคงได้
ผู้อยู่ชายขอบจึงเรียกร้องให้แยกระหว่างชาวเขาที่เป็นคนไทยและผู้ที่อพยพเข้ามาใหม่
ด้วยการชะลอโครงการพิจารณาให้สถานะคนต่างด้าวแก่ชาวเขาที่อพยพไว้ก่อนเพื่อป้องกันความสับสน
หลังจากนั้นจึงเร่งรัดการลงรายการสัญชาติให้ชาวไทยภูเขา
ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดของกรมการปกครองพบว่า
ชาวไทยภูเขาทั้งหมด
774,316 คน
มีผู้ได้รับการลงรายการสัญชาติตั้งแต่ปีพ.ศ.2517
ถึงปัจจุบันแล้วจำนวน
214,127 คน ที่เหลืออีก 560,189
คน
ยังไม่มีสถานะเป็นคนไทยตามกฎหมาย
ในจำนวนนี้จึงต้องแก้ไขเป็นเบื้องต้น ปัญหาที่ชาวบ้านพบพอสรุปได้สามประการ คือ ปัญหาเรื่องหลักฐานการพิสูจน์ตน ด้วยเหตุที่เอกสารบางอย่างที่กฎระเบียบระบุให้นำมาแสดง เกิดการสูญหายหรือบางอย่างขัดกัน เช่น ในทร.ชข.ระบุว่าเกิดพม่าหรือเกิดลาว กรณีนี้แม้นายอำเภอสามารถใช้ระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการจัดทำทะเบียนราษฎ์ 2535 แก้ไขเอกสารได้หากสอบพยานแล้วน่าเชื่อถือ แต่ก็มีปัญหาอีกว่าพยานที่เรียกมาสอบหรือพยานบุคคลอาจเรียกเงินในอัตราสูงแลกกับการรับรองตัวบุคคล ทำให้ชาวไทยภูเขาที่ยากจนหมดสิทธิ ประการต่อมาแม้เอกสารทุกชนิดจะครบและถูกต้องตามหลักเกณฑ์ แต่ก็ถูกจำกัดด้วยข้อกฎหมาย เช่น ปว.337 ระบุไม่ให้สัญชาติแก่บุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทยโดยบิดาหรือม |