|
||
ลางสาด ลางสาดเป็นพืชพื้นเมืองเขตร้อน มีถิ่นกำเนิดตามหมู่เกาะมาลายู ชวา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทยเป็นต้นซึ่งเป็นเขตที่มีอากาศร้อน และชุ่มชื้นได้รับมรสุม ฝนตกชุกติดต่อกันเป็นเวลานาน ประมาณ 180 - 200 วันเป็นไม้ผลเมืองร้อนที่มีลักษณะเด่นหลายประการ เช่น มีผลสีเหลืองนวล ออกเป็นพวงใหญ่ เนื้อของผลมีลักษณะใส รสชาติดีและอยู่ในความนิยมของผู้บริโภค แต่การปลูกลางสาดในประเทศไทยนั้น ขาดการดูแลเอาใจใส่ และปลูกขยายเท่าที่ควร ทำให้ความสำคัญของลางสาดลดลงไปมากทั้งที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ต่อการเจริญเติบโตและการให้ผล ผิดกับประเทศในเขตหนาวซึ่งแม้จะต้องการปลูกเพียงไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นจึงควรที่จะหันมาพิจารณาและให้ความสนใจในเรื่องราวของลางสาด เช่นการคัดพันธุ์การขยายพันธุ์รวมทั้งการปฏิบัติบำรุงรักษาให้มากขึ้น ชื่อของลางสาด
ลางสาดมีชื่อสามัญเรียกกันหลายชื่อด้วยกัน
เช่น Langsat , Lansa , Lanseh , Lanzame ,
และ Lanzon คำว่าลางสาดของไทยก็คงจะมาจากคำว่า
Langsat
ซึ่งสันนิษฐานว่ามาจากภาษามลายู ชื่อวิทยาศาสตร์ของลางสาดก็คือLonsium domesticum Corr.
เป็นพืชในตระกูลMeliaceae มีความสูงปานกลาง ประมาณ 15 - 20 เมตร เปลือกสีน้ำตาลอมเขียวและมีร่องริ้วเล็ก ๆ เป็นรอยแตก เมื่อถูกทำให้เป็นแผลจะมียางสีขาวคล้ายน้ำนม เนื้อไม่แก่นแข็งพอควร มีกิ่งเหยียดตรงขึ้นไป กิ่งก้านแตกเป็นสาขาระเกะระกะรอบต้น ทรงพุ่มเป็นรูปกรวยแหลมหรือมัน มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 30-40เมตร ใบ เป็นใบรวม (Compound leaf ) ส่วนมากมีใบย่อย 3 คู่ หรือ มากกว่านั้น ก้านใบรวม เหนียวแข็งแรง ยาวประมาณ 1 – 1.5 ฟุต การเรียงตัวของใบบนก้านใบเป็นแบบสลับใบย่อยมีความกว้างประมาณ 2 – 3 นิ้ว ยาว 4 - 6 นิ้ว มีลักษณะยาวรี (elliptical )หรือป้อมรูปไข่ (Obovate) มีขนอ่อนปกคลุมโดยเฉพาะทางด้านล่างมีขนอ่อนปกคลุมอยู่หนาแน่น ปลายใบแหลมสั้นแผ่นใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย มีสีเขียวเข้มด้านบน เป็นมันด้านล่างสีเขียวจาง เส้นใบที่แยกออกจากเส้นกลางใบมี10–15คู่ เรียงตัวแบบขนนกแต่ละเส้นโค้งไปทางด้านปลายใบปลายสุด ของเส้นใบเกือบ ถึงขอบริมใบ เส้นใบย่อยสานกันคล้ายตาข่ายเห็นได้ชัดเจน ก้านใบของแต่ละใบย่อยยาว0.8–1.2เซนติเมตร ดอก
โดยทั่วไปแล้วดอกจะออกจากตาตามลำต้นและกิ่งใหญ่ แต่ก็มีบ้างที่พบตามกิ่งเล็ก
ๆ
ซึ่งเป็นกิ่งแก่ ดอกจะออกเป็นเส้น
ๆ หนึ่ง ๆ คือ ผล เป็นพวงแน่นติดอยู่กับก้านพวง ช่อสั้นกะทัดรัด (ไม่ยาวแบบพวงองุ่น ) ผลจะสุกในราวเดือนกันยายน ลักษณะของผลกลมหรือกลมยาว มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 – 2.5 เซนติเมตร ยาว 2 – 4 เซนติเมตร สีเหลืองนวล หรือ เหลืองปนน้ำตาล หรือสีฟางอ่อน เปลือกบางคล้ายแผ่นหนังผิวเรียบ มีขนอ่อนสั้น ๆ แน่นทึบคล้ายกำมะหยี่ ปกคลุมอยู่ ที่เปลือกมียางสีขาวคล้ายน้ำนมเหนียวในผลหนึ่งปกติแล้วจะมีเมล็ดสมบูรณ์พียง 1 - 2 เมล็ด นอกนั้นจะลีบเสียไป แต่ละเมล็ดถูหุ้มด้วยเนื้อสีขาวขุ่น (opague ) สีขาวใส (tranlucent ) มีน้ำอยู่ภายใน ภายในผลจึงเห็นเป็นกลีบ ๆ (segments ) ประมาณ 5 กลีบ แต่ละ กลีบมีขนาดไม่เท่ากัน มีผนังบาง ๆ กั้น และมีกลิ่นของ turpentine อยู่ด้วย เนื้อของลางสาดมีรสชาติแตกต่างกันออกไป เช่น หวานสนิท หวานอมเปรี้ยว และเปรี้ยว เป็นต้น เมล็ด มีลักษณะกลมแบนสีเขียวสด ขนาดยาวประมาณ 1.25 เซนติเมตร กว้างประมาณ 0.6 เซนติเมตร มีรสขม ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง (cotyledon ) หนาสีเขียว ภายในมีจุดกำเนิด (embryo ) 2 จุด จุดกำเนิดนี้มีอายุอยู่ไม่นานวันนัก จากการทดลองโดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เก็บเมล็ดไว้ในระยะเวลานานต่างกัน พบว่า เมื่อเก็บไว้นาน 1 - 5 วัน ในฤดูฝนมีเปอร์เซนต์ความงอก 90 เปอร์เซ็นต์ ในฤดูหนาว 0 เปอร์เซ็นต์ คือไม่งอกเลย ถ้านำเมล็ดมาเก็บไว้ในขวดปิดผาแน่น เก็บไว้ในตู้เย็น อุณหภูมิ 15 องค์ศาเชลเชียส นาน 40 วัน มีความงอก 95 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเก็บใส่ขวดที่มีถ่านปนบรรจุอยู่ แล้วปิดฝาให้แน่นเก็บรักษาในตู้เย็นอุณหภูมิ 30 องค์ศาเชลเชียส นาน 5 วัน เปอร์เซนต์ความงอกจะเท่ากับ 0 คือไม่งอกเลย แต่ถ้าเก็บไว้ในขวดทีมีถ่านป่นปิดฝาแน่นในห้องปรับอากาศอุณหภูมิ 22 องค์ศาเชล-เชียส นาน 5 วัน จะมีความงอกดีกว่าที่เก็บไว้ในอุณหภูมิปรกติ พันธุ์
1. พันธุ์ Typica Backer พันธุ์นี้
ตามกิ่งเล็ก
ๆ ที่ยังอ่อนอยู่หรือใต้ใบ
กลีบรองก้านดอก
จะมีขนอ่อน
ๆ ปกคลุมอยู่
ผลมีลักษณะกลมยาวหรือค่อนข้างยาว
เปลือกบาง ยางน้อยเมล็ดเล็ก
เนื้อละเอียดหนา ประโยชน์ของลางสาด น้ำ
84.1 กรัม ส่วนต่าง
ๆ ของลางสาดยังมีประโยชน์ในทางยา
|
||
เรียบเรียงโดย นู๋ทิพย์ เอกสารอ้างอิง
|
||