พระเจ้าจากอวกาศ ตอนที่ 2-3

 

 

เอาล่ะครับ มาต่อกันเสียทีสำหรับเรื่องของพระเจ้าจากอวกาศ สำหรับท่านที่เพิ่งติดตามเรื่องนี้ อาจจะรู้สึกว่ายกเอาแต่เรื่องเก่าโบร่ำโบราณขึ้นมาเล่า ความมันส์มันอยู่ตรงความโบราณนี่แหละครับ เพราะยิ่งเก่าเท่าไหร่ เราก็ยิ่งแน่ใจได้ว่า มนุษย์โลกเรา เคยติดต่อพบปะกับมนุษย์ต่างดาวจากโพ้นอวกาศมานานแสนนานแล้ว ในภาคที่สองของซีรี่ส์พระเจ้าจากอวกาศ ผมขออนุญาติพาทุกท่านหลบจากมายา - อินคา ในอเมริกาใต้ ไปสู่ความร้อนระอุของทะเลทรายในแอฟริกา คนพื้นเมืองโบราณของที่นี่ เป็นเพียงกลุ่มชนเล็กๆ ยังชีพด้วยการหาของป่าล่าสัตว์ ไม่ได้มีอาณาจักรใหญ่โตเหลือเชื่ออย่างชาวอินคา กระนั้น หลักฐานที่จะนำมาเล่าให้ท่านฟังในวันนี้ ก็ยืนยันได้เป็นอย่างดีครับ ว่าชาวแอฟริกาก็เคยติดต่อกับพระเจ้าจากอวกาศมาก่อนเช่นกัน เอาล่ะครับทาครีมกันแดด แล้วก็โดดเกาะท้ายรถนายโซนิคไปแอฟริกากันเลย

เทพมัจฉานอมโมสในจินตนาการครับ
ในประเทศมาลี แอฟริกาตะวันตก มีชนเผ่าโบราณกลุ่มเล็กๆที่ชื่อว่าชาวโดกอน เผ่านี้ก็เหมือนพวกปิ๊กมี่ครับ ทำมาหากินแบบยังชีพ ไม่ได้มีอะไรวิลิศมาหราแม้แต่น้อย เรื่องน่าอัศจรรย์ใจของชาวโดกอนก็คือ พวกเขามีความรู้ทางดาราศาสตร์เป็นเยี่ยมมากครับ พวกเขาศึกษาดาราศาสตร์มานานมากกว่า 5000 ปีแล้ว มีตำนานโบราณบทหนึ่งของชาวโดกอนที่กล่าวถึงดาวซีริอุสครับ ตำนานที่เก่าแก่นับพันๆปีนี้สร้างความฉงนฉงายแก่นักดาราศาสตร์ไม่น้อยเลยทีเดียว ตำนานกล่าวถึงดาวฝาแฝดของดาวซีริอุสซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าของมนุษย์ (แล้วพวกเขารู้ได้อย่างไร ประหลาดไหม) ดาวดวงนี้โคจรเป็นวงรีรอบดาวซีริอุสที่เรารู้จักกันดี วงโคจรรอบหนึ่งกินเวลา 50 ปีของโลกมนุษย์ แน่ะ รู้ถึงขนาดนั้นเชียว คนป่าพวกนี้…

ตำนานนี้คงจะวนเวียนเล่าขานกันเฉพาะในหมู่ชนเผ่าโดกอน หากไม่เพราะนักมานุษยวิทยาชาวฝรั่งเศสสองคน คือ Marcel Griaule และ Germain Dieterlen ได้จดบันทึกเรื่องราวจากนักบวชชาวโดกอน แล้วนำมาเผยแพร่ให้สาธารณชนรับทราบในปี 1930 มาถึงตรงนี้ท่านคงจะรึกสึกทึ่งเล็กๆกับความรู้ของคนป่าพวกนี้แล้วสินะครับ ก็จะไม่ให้ทึ่งได้อย่างไรล่ะเออ ในเมื่อพวกเขารู้จักดาวดวงนี้มานับพันๆปี ทั้งที่ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เลย แถมดาวดวงนี้ยังมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าอีก ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์เรียกดาวดวงนั้นว่า ดาวซีริอุส B ครับ เพิ่งมารู้จักและถ่ายรูปมันได้เมื่อมีการประดิษฐ์กล้องโทรทัศน์ขนาดยักษ์ในปี 1970 นี้เอง ล้าหลังคนป่าในแอฟริกาตั้งห้าพันกว่าปีแน่ะ

ดาวดวงที่ว่านี้ ตำนานของชาวโดกอนกล่าวว่า มีมนุษย์อาศัยอยู่ด้วยครับ เผ่าพันธ์ของพวกนี้เรียกตามภาษาโดกอนว่า นอมโมส( Nommos ) มีลักษณะคล้ายมนุษย์ปลา รูปร่างอัปลักษณ์เป็นที่หนึ่ง และดูเหมือนว่า ในตำนานของชนเผ่าโบราณที่เจริญมาในเวลาไล่เลี่ยกันก็กล่าวถึงมนุษย์เผ่าพันธ์นี้เอาไว้ด้วย เช่น บาบิโลเนี่ยน อัลคาเดีย รวมถึงตำนานของชนชาติสุเมเรียน แม้แต่ในอียิปต์ก็เช่นกัน มหาเทวีไอซิสของอียิปต์ ในบางครั้งจะถูกกล่าวแทนด้วยนามของนางเงือกแห่งลุ่มน้ำไนล์ จากรายละเอียดที่นักโบราณคดีศึกษามา ไอซิสก็มีความสัมพันธ์บางอย่างกับกลุ่มดาวบนท้องฟ้า โดยเฉพาะดาวซิริอุสครับ

ทว่า รายละเอียดที่ทำให้นักวิชาการตาโตมันอยู่ตรงนี้เองครับ ชาวโดกอนเล่าว่า นอมโมสหรือมนุษย์ปลาพวกนี้ อาศัยกระจัดกระจายอยู่ตามดาวบริวารต่างๆที่โคจรรอบดาวซิริอุส พวกเขามายังโลกด้วย "หีบ" ที่หมุนวนอย่างรวดเร็วในอากาศ ยามใดที่ลงพื้นจะทำให้เกิดกระแสลมปั่นป่วนรวมทั้งเสียงอื้ออึง พวกเขานี้เองที่สอนให้ชาวโดกอนรู้จักพื้นฐานทางดาราศาสตร์ และสั่งให้นักบวชจดบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับดาวซีริอุส B เอาไว้

ไม่เชื่อก็คงต้องเชื่อแหละนะครับ เพราะตำรับตำราโบราณของชาวโดกอนบันทึกรายละเอียดที่น่าสนใจเกี่ยวกับระบบสุริยะของเราไว้หลายอย่าง รายละเอียดเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่ชาวนอมโมสถ่ายทอดให้พระชาวโดกอนฟังทั้งสิ้น เช่นว่า ดาวพฤหัสมีบริวารเป็นดวงจันทร์อยู่ 4 ดวง และถัดจากดาวพฤหัสมีดาวมหัสจรรย์ที่แวดล้อมไปด้วยวงแหวนหลายชั้น นั่นคือดาวเสาร์ เห็นหรือยังล่ะครับ ตำนานโบราณอายุห้าพันกว่าปีนี้มีความไม่ธรรมดาแฝงอยู่ในตัวของมันเอง หันมาดูมนุษย์ยุคใหม่อย่างพวกเราสิครับ เราเพิ่งรู้ข้อเท็จจริงเหล่านี้หลังจากที่กาลิเลโอประดิษฐ์กล้องโทรทัศน์เมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้เอง ห่างชั้นกันเห็นๆ (แซวเล่นน่ะครับ อย่างเพิ่งค้อนกันเลย)

เรื่องของชาวโดกอนโด่งดังเอามากๆเมื่อ Robert K.G. Temple นำไปเขียนหนังสือชื่อ The Sirius Mistery แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์หย่ายหลายท่านออกมาแย้งว่า ข้อมูลพวกนี้ อาจจะมาจากนักดาราศาสตร์ชาวตะวันตกก็ได้ ที่เข้าไปพูดคุยกับนักบวชชาวโดกอน แล้วนักบวชเหล่านั้นก็เอามาผสมในตำนานของพวกเขาเสียเลย แหม… ฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่นะครับเหตุผลนี้

ก็ดาวซีริอุส B น่ะค้นพบกันด้วยกล้องโทรทัศน์เมื่อปี 1862 แต่ชาวโดกอนมีพิธีเฉลิมฉลอง ว่าด้วยการแสดงความยินดีที่ดาวซีริอุส A และ B โคจรครบหนึ่งรอบมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13 แล้ว นานนมกว่าชาวยุโรปจะค้นพบตั้ง 400 กว่าปี หรือจะบอกว่าเป็นนักดาราศาสตร์ชาวยุโรปไปสนทนากับพวกเขามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 มันฟังไม่ขึ้นใช่มั๊ยล่ะครับท่านทั้งหลาย

แต่ก็ใช่ว่าข้อโต้แย้งของนักวิทยาศาสตร์จะไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว ในเมื่อชาวโดกอนอ้างว่า วงโคจรของดาวซีริอุส B คือ 50 ปี แล้วทำไมงานฉลองการโคจรครบรอบของพวกเขาจึงจัดขึ้นทุกๆ 60 ปี แปลกเหมือนกันใช่ไหมครับ ข้อนี้นักบวชโดกอนก็ได้แต่อ้ำๆอึ้ง แล้วบอกว่า มันเป็นธรรมเนียมที่ทำกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ พวกเขามีหน้าที่ปฏิบัติตาม ไม่ได้มีหน้าที่สงสัย ว่าเข้าไปนั่นเลย…

สาเหตุสำคัญที่ทำให้พบดาวซีริอุส B ก็คือ นักวิทยาศาสตร์รู้สึกแปลกใจกับการโคจรแบบแปลกๆของดาวซีริอุส A คือมันโคจรรอบอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น พวกเขาจึงตั้งข้อสังเกตุว่า มันต้องมีดาวแคระสีขาว หรือไม่ก็แบล็คโฮลอยู่บริเวณนั้น (อ่านรายละเอียดได้จากเรื่องแบล็คโฮลครับ) จากการค้นหาเป็นการใหญ่ทำให้มีการค้นพบดาวซีริอุส B ซึ่งเป็นดาวแคระสีขาวขึ้นมา

ไคลแม็กซ์ของเรื่องมันอยู่ตรงนี้เองครับ ตามตำนานของชาวโดกอน ยังมีดาวซีริอุสอีกหนึ่งดวง ที่เรารู้จักกันในนามของซีริอุส C ซึ่งดาวดวงนี้เองที่เป็นดาวฤกษ์ที่ดาวบริวารอันเป็นบ้านเกิดของมนุษย์ปลาทั้งหลายอาศัยอยู่ ใช่ครับ… ในตอนแรกไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้ จนกระทั่ง Daniel Benest และทีมงาน ผู้เสนอทฤษฎีที่ว่า ดาวซิริอุสเป็นดาวแฝดสามดวง ได้ทำการค้นคว้าดาวดวงที่เหลือในกลุ่มดาวสุนัขใหญ่และสุนัขเล็ก ในที่สุดพวกเขาก็พบมันจนได้ ดาวซีริอุส C ตามตำนานของชาวโดกอน มันเป็นดาวแคระสีแดงครับท่าน มีมวลแค่ 0.5 เท่าของดาวซีริอุส B การค้นพบครั้งนี้เอง ที่ทำให้คนที่ไม่เชื่อเรื่องตำนานมนุษย์ปลาจากดาวซีริอุสเริ่มมั่นใจขึ้นมาบ้างว่า ตำนานของพวกเขา คงไม่ใช่แค่นิทานเหลวไหลอีกต่อไป

ถึงดูเหมือนว่า เราจะพบบ้านเกิดของมนุษย์ปลานอมโมสแล้วก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ก็ยังสรุปไม่ได้อยู่ดีว่า จะมีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาอยู่ที่นั่นจริงหรือไม่ เพราะอย่างน้อยตอนนี้ สภาพของระบบดาวในกลุ่มดาวของซีริอุส ไม่ได้ส่อแววเลยว่า จะมีอะไรเป็นปัจจัยเอื้ออำนวยให้สิ่งมีชีวิตสามารถดำรงอยู่ได้

สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้เป็นปริศนาที่ตีไม่แตกอีกตามเคย… เฮ้อ

Part III

วันนี้ได้ข้อมูลเพิ่มเติมนิดหน่อยเกี่ยวกับชาวโดกอนมาครับ ว่าด้วยตำนานเกี่ยวกับมนุษย์ปลาจากระบบดาวซิรีอุสนั่นแล สำหรับท่านที่เพิ่งจะเคยอ่านตอนนี้เป็นตอนแรก ก็ขอให้ย้อนกลับไปอ่านบทแรกๆเกี่ยวๆกับชาวโดกอนกันก่อนนะครับ จะได้ทราบพื้นหลังเกี่ยวกับชนเผ่าโบราณของแอฟริกานี้เสียหน่อย ปัจจุบันเหลือชาวโดกอนอยู่น้อยครับ อาศัย กระจัดกระจายอยู่แถบเทือกเขา ฮอมบูรี ในประเทศมาลี ทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา พวกเขามีความรู้ทางดาราศาสตร์อย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะการรู้จักดาวซิรีอุส B ซึ่งเป็นดาวแคระสีขาวก่อนหน้าวงการวิทยาศาสตร์ปัจจุบันนับพันๆปี ดาวซิรีอุส B ในภาษาโดกอนเรียกว่า Po Tolo ครับ

คำว่า Tolo หมายถึงดวงดาว ส่วนคำว่า Po หมายถึงเมล็ดพันธ์เล็กๆ ตรงกับลักษณะที่เป็นดาวแคระสีขาวของซิรีอุส B ไหมล่ะครับ

และตำนานตรงนี้ของชาวโดกอนก็มิได้เป็นเพียงตำนานอีกต่อไป เพราะปัจจุบัน วงการดาราศาสตร์ยอมรับแล้วว่าดาวซิรีอุส B มีจริง

นอกจากดาวซิรีอุส B แล้วยังมีดาวอีกดวงนะครับ ที่ชาวโดกอนระบุถึงในระบบของดาวซิรีอุส ดาวดวงนี้เรียกตามภาษาโดกอนว่า Emme Ya ซึ่งในวงโคจรของดาว Emme Ya นี้เองที่ชาวโดกอนยืนยันว่า มีดาวบริวารดวงหนึ่งโคจรรอบอยู่ และที่นั่นเป็นที่อยู่อาศัยของพระเจ้าของพวกเขาครับ ปัจจุบันวงการดาราศาสตร์ยังไม่มีการยืนยันตำแหน่งของ Emme Ya ครับ และเรื่องแปลกที่ผมเคยเล่าไปในตอนที่แล้วก็คือ นักดาราศาสตร์ เพิ่งค้นพบดาวดวงอื่นๆในระบบซิรีอุสในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เท่านั้น แต่ก็ยังไม่สามารถถ่ายรูปของมันได้จนกระทั่งช่วงปี 1970 นั่นแหละจึงประสบความสำเร็จ นับว่าตำนานที่ยืนยาวมาหลายพันของชนเผ่าโดกอนนี้เป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่น่าทึ่งมากครับ ข้อเท็จจริงอื่นๆก็คือ พวกเขารู้มานานนมว่าดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์ แถมมีปฏิทินใช้ตั้งสี่แบบ คือ สำหรับ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวซิรีอุส และ ปฏิทินสำหรับใช้บนดาวศุกร์ แปลกดีไหมล่ะครับ?

ตำนานของโดกอนยังมีรายละเอียดน่าสนใจอยู่อีก โดยเฉพาะเรื่องของ Nommos ซึ่งผมเคยเล่าไปแล้วบางส่วน Nommos เป็นสิ่งมีชีวิตที่เดินทางมาจาก Emme Ya ครับ ชาวโดกอนว่าเอาไว้อย่างนั้น ลักษณะของ Nommos ออกจะแตกต่างไปจากพระเจ้าที่เสด็จลงมาจากฟากฟ้าของคนโบราณชาติอื่นอยู่นิดหน่อย เรามาดูลักษณะของ Nommos กันหน่อยดีไหมครับ ตัดตอนมาจากหนังสือของฝรั่งเขาน่ะครับ ใครอยากได้รายละเอียดเพิ่มเติมก็เมล์มาทีหลังนะครับ

  • พวก Nommos อาศัยอยู่ในน้ำ
  • พวกเขาลงจากห้วงอวกาศเพื่อเยือนโลกเมื่อนานมาแล้ว ด้วยเรือที่บินบนฟ้าได้ เรือนี้ลงบนพื้นดินด้วยขาตั้งสามขา (a space ship with 3 triangular legs landed)
  • ลักษณะทางกายภาพของ Nommos ดูคล้ายมนุษย์
  • พวกเขาลงมายังโลกเพื่อหาแหล่งน้ำ และพัฒนาแหล่งน้ำ
  • พวกเขาดูเหมือนสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำ มากกว่าสะเทินน้ำสะเทินบก
  • Nommos สามารถเดิน อาศัย ตลอดจนพูดคุยอยู่บนบกได้เหมือนปกติ ทว่า ดูเหมือนพวกเขาจะชอบอาสัยอยู่ในน้ำมากกว่า
  • Nommos ก็เหมือนพระเจ้าของชนเผ่าอื่นๆ คือสัญญาว่าจะกลับมายังโลกนี้เมื่อเวลาอันสมควรมาถึง
เป็นบันทึกหรือตำนานที่กล่าวถึงสิ่งทรงภูมิปัญญาจากนอกโลกที่ตรง และละเอียดชัดเจนกว่าชาติไหนๆมากครับ แทบไม่มีลักษณะของตำนาน หรือ นิทานปนอยู่เลย ชวนให้อดคล้อยตามไม่ได้นะครับ ว่า ในวงโคจรของระบบดาวซิรีอุส นอกจากดาวที่แสนสุกสว่างสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้อย่างดาวซิรีอุส A ดาวแคระสีขาวที่เพิ่งถูกค้นพบในปี 1978 อย่างซิรีอุส B รวมไปถึงดาวที่นักดาราศาสตร์ปัจจุบันยังไม่ค้นพบอย่างดาว Emme Ya ของชาว Nommos นั้น ในอดีตเคยมีอารยธรรมเกิดขึ้นมาแล้ว และหนึ่งในอารยธรรมนั้นได้มาเยือนโลกเราเมื่ออดีตกาลที่ผ่านมา

มีหลักฐานมากมายที่ชวนให้เชื่อว่าพระเจ้าของชาวโดกอนแห่งแอฟริกา ได้ปรากฏกายให้ชาติอื่น ที่เจริญซึ่งอารยธรรมในอดีตได้เห็นมาแล้ว สังเกตจากรูปวาด รูปสลักของคนโบราณ ที่กล่าวถึงพระเจ้าผู้มีเท้าเหมือนมนุษย์ แต่มีลักษณะและเครื่องทรงคล้ายเกล็ดปลา บางที ชาวโดกอนอาจเป็นมนุษย์ชุดสุดท้ายของโลกก็ได้ครับ ที่มีโอกาสติดต่อกับสิ่งมีชีวิตครึ่งบกครึ่งน้ำ ที่เคยลงมาเยือนโลกในยุคสมัยของรุ่งอรุณแห่งอารยธรรม ทว่า การตามรอยของนักโบราณคดี ก็ทำให้ได้ร่องรอยของพระเจ้า หรือ Nommos ของชาวโดกอนได้จากชนชาติอื่นไม่น้อย เช่น ในอารยธรรมโบราณของ บาบิโลเนีย อียิปต์ หรือแม้แต่กรีซ

ดูภาพนี้สิครับ ภาพของเทพเจ้าในชุดเกล็ดปลากับสิ่งที่เรียกว่า เสาแห่งแสงสว่าง ตามตำนานกล่าวว่า เสาต้นนี้มีความสามารถที่จะเคลื่อนย้ายดวงวิญญาณ จากมิติหนึ่งไปยังอีกมิติหนึ่งได้ เสาแห่งแสงสว่างยังสามารถที่จะเจาะหลุมในห้วงอวกาศ เพื่อสร้าง "ทางเดิน" หรือ "ประตู" จากที่ๆไกลแสนไกลมายังโลกมนุษย์ได้ในพริบตา

ฟังดูเหมือนภาพยนตร์เรื่อง Wormholes หรือ Stargates มากกว่าตำนานทางศาสนาของคนโบราณ จริงไหมครับ? แล้วจะมีใครว่าอะไรไหม หากผมตั้งสมมุติฐานว่า The Pillar Of Light อาจจะเป็นเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสาร ซึ่งสามารถย้ายวัตถุใดๆจากระบบดาวซิรีอุสมายังโลกได้ในเวลาไม่นานนัก

ส่วนสัญญลักษณ์ดาวหกเหลี่ยมเนี่ย คิดว่าคงคุ้นเคยกันดีในนามของดาวแห่งดาวิด หรือสัญญลักษณ์แห่งโซโลมอนของชาวฮีบรูว์โบราณ ส่วนในเอเชีย ดินแดนของชาวภารตะโบราณ เรียกสัญลักษณ์แห่งพระวิษณุครับ ในปางที่เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งมัจฉา

นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างของเทพเจ้าโบราณของบางชนชาติ ซึ่งนักโบราณคดีตีความแล้ว สรุปออกมาว่าน่าจะเป็นเทพองค์เดียวกัน เช่น

"The Repulsive Ones" มนุษย์มัจฉาผู้ซึ่งชาวบาบิโลเนี่ยนโบราณกล่าว่า เป็นผู้ให้กำเนิดวัฒนธรรมของพวกเขา เทพผู้มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาเทพเจ้าเหล่านี้ คือ อวนเนสครับ (OANNES or OE) ตามตำนานบอกว่า กำเนิดออกมาจากไข่ศักดิ์สิทธิ

สำหรับชาวสุเมเรี่ยนก็มี Enki หรือ Ea ครับเป็นเทพที่อาศัยอยู่ในปราสาทใต้ทะเลที่เรียกว่าแอพซู Enki ยังเป็นผู้สร้างมนุษย์คนแรกของโลกคือ Adam อีกด้วย

อยู่ใกล้ๆกับสุเมเรียนครับ ชนเผ่าโบราณที่มีที่มาดำมืดอีกเผ่าหนึ่ง ชาวฟิลิสไตน์ พวกเขาก็มีเทพเจ้าชื่อ Dagon และ Atagis เช่นกัน เทพทั้งสองมีร่างเป็นมนุษย์ มีครีบและหางเหมือนปลา

อีกองค์หนึ่งเป็นของกรีซโบราณ เทพโปรเมเทอุสผู้สามารถเปลี่ยนร่างเป็นปลาได้ อาศัยอยู่ในถ้ำครับ แหล่งพลังงานของโปรเทอุสคือแสงจากกลุ่มดาวสุนัขใหญ่ ที่นับดาวซิรีอุสรวมอยู่ด้วย

แถมท้ายอีกนิดนึงสำหรับเรื่องของชาวโดกอน ความรู้ทางดาราศาสตร์ของพวกเขาตกทอดกันมาแบบปากต่อปาก และสืบทอดมาเฉพาะเหล่านักบวช พวกเขาก็เหมือนคนป่าคนดอยทั่วไป คือไม่ยอมไว้ใจใครง่ายๆ โดยเฉพาะพวกคนขาว ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เรื่องของพวกเขาจะเป็นแค่เรื่องแต่ง หรือนิทาน เพราะตกทอดกันมานับเป็นพันๆปีแล้ว ก่อนหน้าที่นักดาราศาสตร์จะค้นพบดาวซิรีอุสเป็นไหนๆ

ก็คงจะพอแค่นี้ก่อนสำหรับเรื่องของชาวโดกอน อันดับต่อไปเราจะเหินฟ้าจากแอฟริกาสู่เอเชียไมเนอร์กันบ้าง ที่นั่นมีหลักฐานของพระเจ้าจากอวกาศเยอะแยะไปหมดครับ ผมจะทยอยนำมาลงเรื่อยๆ ถ้ายังไม่เอียนกันเสียก่อนนา...

 

 


 
 
BY ขจรศักดิ์ เลาห์สัฒนะ
Hosted by www.Geocities.ws

1