พระเจ้าจากอวกาศ ตอนที่ 1

 

 

ในบรรดานักเขียนฝรั่งเจ้าของทฤษฎีพิลึกพิลั่น ที่เรารู้จักกัน ในนามของทฤษฎี พระเจ้าจากอวกาศนี้ เห็นจะไม่มีใครโด่งดังเกิน Erich Von Daniken ไปได้ครับ ดานิเก้น เริ่มสั่งสมชื่อเสียงโดยการเขียนหนังสือเรื่อง Chariots of the Gods ซึ่งขายดิบขายดีกว่า 40 ล้านเล่มทั่วโลก ทฤษฎีของเขามีอยู่ว่า โลกของเรา ได้รับการมาเยี่ยมเยือน จากอาคันตุกะต่างพิภพอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่มนุษย์เรา ได้เริ่มสั่งสมอารยธรรม และก่อร่างสร้างสังคมขึ้นมานั้น สิ่งทรงภูมิปัญญาจากนอกโลกจำนวนไม่น้อย ได้คอยหนุนอยู่เบื้องหลังวิวัฒนาการของมนุษย์ ระยะเวลาที่ว่า ก็ประมาณ 40,000 กว่าปีลงมานี่แหละครับ

ข้อเสนอของดานิเก้นใช่จะเหลวไหลไปซะหมด เขาชี้ให้เห็นอย่างน่าฟังว่า ระหว่างที่สิ่งทรงภูมิปัญญาเหล่านั้นมาเยือน พวกเขาได้สร้างมหาปิระมิด สร้างสนามบินและถนนสำหรับคมนาคมเล็กๆในเปรู (อ่านรายละเอียดในเรื่องอารยธรรมอินคานะครับ) แม้กระทั่งการเข้ามา "จัดการ" กับวิวัฒนาการบางส่วนของมนุษย์วานร เพื่อให้กลายเป็นโมเดิร์น แมน หรือ Homo sapiens อย่างที่พวกเราเป็นๆกัน

ดานิเก้นยังแจงต่อไปว่า ตำนาน และจารึกในบรรดาชนชาติที่เจริญแล้วในอดีต ล้วนกล่าวถึงพระเจ้าที่ทรงพาหนะบินไปมาในอากาศ ตำนานที่เขาอ้างมา ล้วนกล่าวถึงยานพาหนะเหล่านั้นแบบค่อนข้างมีหลักการ ไม่ได้อิงไปทางอภินิหารแบบลอยๆ ยกตัวอย่างง่ายๆ ในมหากาพย์เรื่องมหารภารตะของอินเดีย มีการกล่าวถึงอากาศยานของเหล่าเทพ ชื่อเรียกของมันคือวิมานะครับ เจ้า "วิมานะ" นี้สามารถขับเคลื่อนไปมาในอากาศ โดยอาศัยโครงสร้างที่ทำจากโลหะผสมเบาบาง ขับเคลื่อนได้ด้วยพลังงานความร้อน ดูเอาเถิดครับ บันทึกของชาวภารตะเมื่อหลายพันปีก่อน ช่างดูทันสมัยเสียจริงๆ

ทฤษฎีของดานิเก้นยังอ้างถึงมหาปิระมิดแห่งอียิปต์ เขากล่าวว่า ชาวไอยคุปต์โบราณ ไม่มีทางสร้างปิระมิดได้หากปราศจากเทคโนโลยีจากต่างดาวเข้ามาช่วย รายละเอียดเหล่านี้ยังครอบคลุมถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างจักรวาล - เลขฐานสิบ - และโครงสร้างของมหาปิระมิด รวมทั้งลายเส้น และสนามบินของอารยธรรมนาซก้าในเปรู ลายเส้นเหล่านี้สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากทางอากาศเท่านั้น ชาวนาซก้าโบราณจะทำไปทำไมล่ะครับ ในเมื่อหลายพันปีที่แล้ว พวกเขาไม่มีเครื่องบินใช้กันสักหน่อย

นอกจากดานิเก้น ยังมีนักเขียนอีกหลายคนที่เชื่อในแนวเดียวกับเขาครับ บางคนเจาะเข้าไปในคัมภีร์โบราณ เช่น ไบเบิล พระเวทย์ ตลอดจนจารึกดินเหนียวของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย รายละเอียดที่ได้มา ส่วนหนึ่งเกิดจากการตีความ เนื่องจากภาษาและศัพท์ที่ใช้โบราณเอามากๆ จะเรียกว่าสำนวนหนักไปทางลิเกก็ไม่ผิดนัก แต่ก็ได้เรื่องครับ มีรายละเอียดน่าตกใจมากมายซ่อนอยู่ในข้อมูลของบรรพชนเรา น่าเสียดาย ที่สำเนาฉบับหลังเกิดการเสริมแต่งเข้าไปมาก บางทีก็เกิดการคลาดเคลื่อนกันขึ้นเนื่องจากการแปล ก็ชาวตะวันตกนี่แหละครับตัวดี เนื้อหาจากภาษา ฮิตไทต์ ฮีบรูว์ สุเมเรียน และ คอปติค โดนแปลเพี้ยนๆไปเกือบหมด มีการเสริมแต่งอภินิหารทำนองว่าใส่สีใส่ไข่เข้าไป ทำให้ข้อเท็จจริงที่น่าจะได้ตกหล่นไปไม่น้อย (หากมีเวลาจะเอามาเล่าให้ฟังครับ)

ถึงอย่างนั้นข้อมูลที่ได้จากการถอดรหัสก็ยังคงความอภินิหารอยู่ แต่เป็นอภินิหารของ "พระเจ้า" จากอวกาศครับ มีทั้งการผ่าตัด การทำโคลนนิ่ง และดัดแปลง DNA ของมนุษย์ นักวิชาการที่ไม่เห็นด้วยก็แย้งว่า เรื่องพวกนี้มันแค่ตำนาน แถมยังตีความมาจากภาษาโบราณอีก จะเอาอะไรมาอ้างอิงได้?

ภาพจารึกโบราณของชาวสุเมเรี่ยน ว่าถึงการสร้างมนุษย์ เห็นความหมายที่ซ่อนอยู่เรื่อง DNA ไหมครับ?

ค๊าบๆ ครับ… ถ้านักวิชาการฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยว่าอย่างนั้น มันก็มีเหตุผลของเขา แต่ลองดูนี่สิครับ ดูความรู้ทางดาราศาสตร์ของคนโบราณ ดูว่าทำไมชาวสุเมเรียนจึงรู้ว่าดาวเคราห์ในระบบสุริยะมีสิบดวง ทำไมชาวซากอนในอาฟริการู้จักดาวซิริอุสที่ห่างออกไปไม่รู้กี่ปีแสง แถมยังคำนวณวงโคจรของมันได้อีกแน่ะ เอาอีกซักนิดมั๊ยครับ ไอ้โครงสร้างเรื่องอะตอมที่เราเรียนมาในวิชาเคมีน่ะ สำนักตักศิลาในอินเดียเค้าศึกษากันมานับพันๆปีแล้ว แถมวาดโครงสร้างอะตอมออกมาถูกอีกแน่ะ (ทีแรกนักโบราณคดี นึกว่าเป็นภาพดาราจักรในความเชื่อทางศาสนาครับ พอพิจารณาดีๆถึงกับร้อง- จ๊าก - เพราะมีนิวเคลียส โปรตอน อิเล็คตรอน และ อนุภาคอื่นๆอีกครบครัน) ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของคนโบราณเหล่านี้ ไม่ทำให้เราๆท่านๆสงสัยกันหรือครับ ว่าออกจะเกินเหตุไปสักหน่อย อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่มี ดันรู้ดีไปซะหมด แปลกดีไหมล่ะ?

สรุปว่า ด้วยคุณูปการทั้งปวง ที่ผู้มาเยือนจากอวกาศมีให้ชาวพื้นเมือง จึงทำให้พวกเขาเกิดศรัทธา และยกย่องอาคันตุกะเหล่านั้นเป็นพระเจ้าไป

ดานิเก้นได้ใช้เวลาส่วนหนึ่ง ไปสำรวจดินแดนในทวีปอเมริกาใต้ และที่นั่น เขาได้พบกับขุมทรัพย์มหาศาลที่เรียกกันว่า "ขุมทองของพระเจ้า" เข้าเต็มเปาเลยครับ

ที่สาธารณรัฐเอควาดอร์ เขาพบนักวิชาการคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ค้นพบอุโมงค์ใต้ดิน ขุดเจาะอย่างดีเยี่ยมเป็นทางลึกทอดลงไปใต้ภูเขา นำไปสู่สมบัติมีค่า ซึ่งชาวพื้นเมืองโบราณซุกซ่อนเอาไว้ สมบัตินั้นล้วนเต็มไปด้วยทอง ซึ่งกองอยู่ก้นลึกสุดของอุโมงค์ รอคอยให้นักโบราณคดี และนักวิชาการผู้มีความสามารถ ไปขุดเอามาจากใต้ภูเขา ทว่า สิ่งที่ดานิเก้นแปลกใจอย่างยิ่ง หาใช่สมบัติโบราณของพระเจ้าที่กองจมอยู่ หากแต่เป็นฝีมือการขุดเจาะอุโมงค์ของคนโบราณต่างหากครับ

อุโมงค์ลึกลับนี้อยู่ในจังหวัดโมโรน่า-ซานติดา-โก ของเอควาดอร์ เป็นที่อยู่ของชาวอินเดียนแดงดุร้ายสอง - สามเผ่า ซึ่งอาสัยอยู่บริเวณที่เป็นปากทางเข้า ตัวอุโมงค์อยู่ลึกจากพื้นดินถึง 250 ฟุต ต้องใต่เชือกลงไปอย่างทุลักทุเล เมื่อถึงพื้นอุโมงค์ สิ่งที่อยู่รอบด้านทำให้ดานิเก้นถึงกับอ้าปากเลยครับ ดานิเก้นเล่าประสบการณ์เรื่องนี้ ไว้ในหนังสือชื่อ "ทองของพระเจ้า" ว่า กำแพงทุกด้านเรียบเกลี้ยง แถมยังถูกขัดเกลาไว้อย่างดีด้วยกรรมวิธีทางวิศวกรรม ที่ปัจจุบันเราใช้ในการสร้างทางรถใต้ดินตามเมืองใหญ่ๆของโลก เพดานถ้ำก็เรียบสนิท บางแห่งเป็นมันเลื่อมเหมือนถูกเคลือบไว้อย่างดี นึกแล้วก็ตลก ที่จะได้เห็นนักโบราณคดีอ้อมแอ้มบอกว่า ลักษณะการขุดอุโมงค์โบราณนี้ คนโบราณขุดได้โดยใช้เครื่องมือเพียงขวานแบบโบราณเท่านั้น เพราะจากที่เห็น น่าจะเป็นอุโมงค์ที่วิศวกรในศตวรรษที่ 20 ใช้เทคนิคทางวิศวกรรมขุดขึ้นมาด้วยความยากลำบากมากกว่า แต่ความจริงนั้น อุโมงค์นี้ เกิดขึ้นมากี่พันปีแล้วก็ยากจะบอกได้

ภาพพระเจ้าของชาวมายาขับยานอวกาศครับ

เป็นที่น่าเสียดายว่า เพราะปัญหาทางการเมือง ทำให้รัฐบาลเอควาดอร์ ไม่ได้สนใจอุโมงค์นี้อย่างจริงจัง จึงทำให้อุโมงค์มหัศจรรย์นี้ถูกทอดทิ้งอยู่อย่างนั้น โดยปราศจากความเหลียวแลจากนักโบราณคดี และนักประวัติศาสตร์อย่างที่ควรจะเป็น ไม่มีใครตอบได้ว่า มนุษย์โบราณในดินแดนอเมริกาใต้แถบนี้ขุดอุโมงค์ขึ้นมาทำไม และที่สำคัญ พวกเขาใช้เครื่องไม้เครื่องมืออะไรขุดเจาะ ถึงได้อุโมงค์ลักษณะทันสมัยขนาดนั้น ยังไม่เท่านั้นสิครับ สิ่งที่ดานิเก้นและเพื่อนชาวอเมริกาใต้ได้พบจากอุโมงค์นี้ ยังมีมหัศจรรย์หนักขึ้นไปอีก แถมยังยืนยันทฤษฎีที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนด้วย

ผู้ค้นพบอุโมงค์เป็นคนแรก ได้พบเครื่องรางหินสลักเล็กๆชิ้นหนึ่ง ดูจากอายุหินพบว่า หินนี้มีอายุเก่าแก่รุ่นราวคราวเดียวกับตัวอุโมงค์ คืออยู่ในยุคเลโอธิลิคตอนกลาง ก็ 9,000 - 4,000 BC น่ะแหละครับ บนเครื่องรางสลักเป็นรูปมนุษย์อย่างหยาบๆ ในมือหนึ่งถือพระอาทิตย์ และอีกมือหนึ่งถือพระจันทร์ ซึ่งพอจะเดาความหมายได้ว่า มนุษย์นั้นคงเป็นพระเจ้าแห่งจักรวาล อะไรก็น่าประหลาดใจเท่ามนุษย์นั้นยืนอยู่บนลูกโลกครับ อ๋อ… ใช่ ไม่ผิดหรอกครับ ยืนอยู่บนลูกโลก!!!

เป็นไงครับ พอจะมองความแปลกประหลาดออกกันบ้างไหม? มนุษย์ในยุคพาเลโอลิธิคอันเก๋ากึ๊ก รู้ได้อย่างไรว่าโลกกลม แถมยังมีเส้นรุ้งเส้นแวงเสียด้วยนะ เหอะ เหอะ ทั้งที่ในสมัยศตวรรษที่ 15 คนทั่วไปยังพากันเชื่ออยู่เลยว่าโลกแบนเหมือนกล้วยปิ้ง ในผนังของถ้ำนี้มีรูปเขียนอยู่มากมาย มีอยู่รูปนึงครับที่ประหลาดออกสักหน่อย เป็นรูปวาดของไดโนเสาร์แฮะ ฝีมือในการวาดค่อนข้างประณีตกว่าภาพอื่นๆภายในถ้ำ ไดโนเสาร์เนี่ย แม้แต่เด็กอนุบาลก็ยังรู้ดีว่า มันสูญพันธ์ไปจากโลกนี้เมื่อล้านกว่าปีก่อน ที่เรามาศึกษากันเรื่องนี้อย่างจริงจังก็แค่ไม่กี่ร้อยปีมานี้เอง แล้วมนุษย์ถ้ำโบราณพวกนี้ ทำไมจึงรู้จักและวาดไดโนเสาร์ออกมาได้ล่ะครับ? หรือว่าเห็นซากกระดูกแล้ววาดออกมา ผมว่าไม่มี

ภาพเครื่องบินทองคำของชาวอินคา เหมือนเครื่องมิราจดีไหมครับ?

ที่เอควาดอร์นี้เอง ที่ดานิเก้นได้พบทองของพระเจ้าอีกแห่งหนึ่งในพิพิธภัณฑ์เครสบี้ ซึ่งอยู่ในวัด มาเรียอ๊อกซิเลยเดอรอแห่งเมืองคูเอนซ่า บาทหลวงเครสบี้แห่งวัดนี้ได้อวดเครื่องทองโบราณ ซึ่งท่านได้ค้นพบในอุโมงค์หลายๆแห่งของอเมริกาใต้ เช่น แผ่นทองสลักเป็นสัญลักษณ์ของสุริยจักรวาล แผ่นทองแดงสลักรูปพระเจ้าแห่งดวงดาว โดยพระเจ้าในรูปมีนิ้วมือสี่นิ้ว ตรงกับตำนานอินคาโบราณ ที่ว่าพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากเทวีออริยาน่า เทวีจากดวงดาวอันแสนไกล นางมีนิ้วมือเพียงสี่นิ้วเหมือนกันครับ จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ชาวอินคาโบราณและชาวเอควาดอร์ในขณะนั้น ต่างก็นับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน และพระเจ้านั้นมาจากอวกาศครับ สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าทองจากพิพิธภัณฑ์นี้ คือเศษหินสลักอักขระโบราณที่ยังไม่มีใครอ่านออก เพราะตัวอักษรดูแปลกประหลาดไม่มีเค้าว่า จะถอดแบบมาจาก - หรือ - พัฒนาไปเป็นตัวอักษรของชนชาติใดในโลกเลย นักภาษาศาสตร์และนักนิรุกติศาสตร์ที่ได้ดูต่างก็ส่ายหัวดิกครับ ไม่มีใครอ่านออกซักคน จะเป็นไปได้ไหมครับว่านี่เป็นภาษาต่างดาวของชนชาวโลกอื่น ที่จารึกบอกเรื่องราวอะไรบางอย่างเอาไว้ คงต้องรอจนกว่าจะมีใครอ่านอักขระนี้ออกแหละครับ เรื่องราวจึงจะคลี่คลายออกมาได้

โรแบร์ต ชาร์รูซ์ นักเขียนชาวฝรั่งเศส เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งพยายามจะพิสูจน์ว่า โลกนี้เคยได้รับการมาเยือนของสิ่งมีชีวิตต่างพิภพมาแล้ว โดยเฉพาะบริเวณของอาณาจักรอินคา ดูจะมีประจักษ์พยานเก่าแก่อยู่มาก ล้วนแต่เป็นเครื่องทองที่ทำด้วยฝีมือประณีตงดงาม ดูรุปนี้สิครับ ท่านคิดว่าเป็นรูปอะไร รูปนี้เป็นรูปที่ค้นพบตั้งแต่สมัยก่อนอารยธรรมอินคาเสียอีก นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า เป็นรูปนกบ้าง ผีเสื้อบ้าง ปลาบ้าง จนกระทั่งในยุคหลังนี้เอง ที่นักโบราณคดีบางท่านได้เสนอว่า มันน่าจะเป็นรูปเครื่องบินเจ็ท เพราะองค์ประกอบและโครงสร้างของมัน คือเครื่องบินปีกสามเหลี่ยมดีๆนี่เอง แต่ในเมื่ออายุของมันมีตั้งหลายพันปีมาแล้ว จะให้เข้าใจว่าอย่างไรเล่าตรับ นอกเสียจากว่า ผู้สร้างรูปในสมัยนั้นต้องเคยเห็นเครื่องบิน หรืออากาศยานที่คล้ายกันนี้ จึงสามารถจำลองแบบออกมาได้อย่างเนียบเนียนและเหมือนเด๊ะ…

หลักฐานที่มีอีกอย่างหนึ่งก็คือมัมมี่ครับ นอกจากอียิปต์แล้ว อินคาก็เป็นอีกชนชาติหนึ่งเหมือนกัน ที่นิยมนำศพคนตายมาทำเป็นมัมมี่เก็บเอาไว้ในสุสาน มัมมี่ของอินคามีสภาพดีไม่แพ้มัมมี่อียิปต์เลยครับ แถมยังเป็นมัมมี่น้ำแข็งเสียด้วย (เป็นข่าวเกรียวกราวกันเมื่อไม่นานมานี้ครับ สำหรับการทำ Cold Sleep ไสตล์อินคา ว่างๆจะแกะมาให้อ่านกัน) มัมมี่หลายตัวมีสภาพดีหลงเหลือมาให้นักวิชาการสมัยใหม่ศึกษากัน วึ่งยิ่งศึกษาก็ยิ่งสงสัย ว่าทำไมการแพทย์ของชาวอินคาจึงสูงส่งถึงขนาดนี้

ก็ในบรรดามัมมี่ที่นำมาศึกษากันน่ะ มีอยู่สองซากครับที่ใส่ฟันปลอม ใส่ฟันปลอม? วิชาทันตกรรมของชาวอินคาโบราณก้าวหน้าจนถึงขนาดใส่ฟันปลอมให้คนไข้ได้เหรอครับ?

กำแพงเมืองของชาวอินคาก็เช่นกัน มันช่างใหญ่โตมโหฬารเกินไป เหลือเชื่อว่ามนุษย์โบราณ จะมีเรี่ยวแรงยกหินก้อนใหญ่ๆขึ้นสร้างได้ถึงเพียงนี้ แถมสถานที่ก็ตั้งอยู่บนภูเขาสูงชัน ชาวอินคาแบกก้อนหินขึ้นไปสร้างได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีร่องรอยว่า หินเหล่านั้นสกัดมาจากภูเขาในบริเวณใกล้เคียง เท่านั้นยังไม่พอ ตามกำแพงยังมีตัวอย่างมนุษย์เผ่าพันธ์ต่างๆของโลก เช่น หน้ามนุษย์คอเคเซี่ยน นิโกร และเซมิติคส์ ประดับอยู่ตามกำแพงอย่างครบครัน คนโบราณอย่างอินคาทราบได้อย่างไรครับ ว่ามนุษย์จำแนกออกเป็นเผ่าพันธ์ต่างๆ และมีลักษณะหน้าตาดังที่สลักอยู่ในกำแพง

มาถึงตรงนี้ชักจะเชื่อตามตำนานของชาวอินคาแล้วว่า พระเจ้าของพวกเขา เสด็จลงมาจากดาวอันไกลโพ้น และสั่งสอนศิลปวิทยาการแก่ชาวอินคา พูดถึงเรื่องตำนานแล้วท่านสังเกตไหมครับว่า ตำนานการกำเนิดของชนชาติใหญ่ๆในโลกจะคล้ายๆกันทั้งสิ้น คือมีการกล่าวถึงพระเจ้าผู้ "ทรงพาหนะ" มาจากดวงดาว ทรงสร้างเผ่าพันธ์มนุษย์ สั่งสอนศิลปวิทยาการ ปกครองมนุษย์อยู่ชั่วระยะหนึ่ง และสัญญาว่าสักวัน พระเจ้าจะ"กลับมา"เยี่ยมเยือนมนุษย์อีก ตัวอย่างง่ายๆเช่นพระเจ้าของชาวยิว ออริยาน่าของอินคา คุคูลกันของมายา โอสิริสของอียิปต์ แม้แต่เทวะของพราหมณ์ก็ยังจัดอยู่ในข่ายเดียวกันเลยครับ

พูดถึงตำนานโบราณแล้ว ไม่มีอะไรจะน่าทึ่งไปกว่าตำนานของชนชาติสุเมเรี่ยนโบราณ เพราะแม้แต่คัมภีร์ไบเบิลก็ยังได้เค้าโครงมาจากสุเมเรียนไม่น้อย เพราะโมเสสเคยอยู่ในราชสำนักอียิปต์มาก่อน อย่างน้อยๆเขาก็ต้องเคยศึกษาอารยธรรมสุเมเรียน ซึ่งเจริญควบคู่กับอียิปต์มาบ้างแหละครับ

ผ่านจากอเมริกาใต้และตะวันออกกลางมาแล้ว เดี๋ยวตอนหน้าผมจะพาท่านแวะไปที่แอฟริกา ดูว่าที่นั่นมีร่องรอยของอารยธรรมโบราณ รวมทั้งตำนานจากต่างดาวอยู่บ้างหรือเปล่า คอยติดตามกันนะครับ

 

 

 


 
 
BY ขจรศักดิ์ เลาห์สัฒนะ
Hosted by www.Geocities.ws

1