The Search for Planet X : การค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่สิบ ตามตำนานของชาวสุเมเรี่ยน

 

 

Where do human come from?

เรื่องนี้เก็บตกมาจากหนังสือของนักภาษาศาสตร์ Zecharia Sitchin เขาเขียนหนังสือดังๆไว้หลายเล่มด้วยกันในที่นี้จะเก็บรายละเอียดย่อๆมาเล่าให้ฟังพอหอมปากหอมคอนะครับ

อีตา Sitchin เนี่ยเค้ามีความเชื่อว่ามนุษย์เรานี้เป็นทายาทของมนุษย์ต่างดาวครับ บางท่านก็คงจะนึกว่ามันจะแปลกอาไร๊… เพราะนักเขียนฝรั่งที่เชื่อแบบเดียวกันและเขียนหนังสืออกมาก็มีกันตั้งหลายคน อันนั้นมันก็ใช่อยู่หรอกครับ เพียงแต่ตา Sitchin เนี่ยค่อนข้างจะเชี่ยวชาญเรื่องอักขระโบราณ เขาเดินทางไปทั่วโลกเพื่อตามรอยอารยธรรมที่มีคนเชื่อกันว่าเป็นอารยธรรมที่มาจากนอกพิภพ งานเขียนของเขาครอบคลุมอย่างกว้างขวางไล่ไปตั้งแต่เรื่องของสโตนเฮนจ์ โบราณสถานเทียฮัวนาโค รวมไปถึงอายธรรมโบราณของสุเมเรียนซึ่งสืบเชื้อสายมาจากชาว Nibiruans ในคำจารึกของชาวสุเมเรียนเรียกพวกเขาว่า อานันนาคิ (Anunnaki) ซึ่ง Anunnaki นี่แหละครับที่ตา Sitchin เชื่อว่าไม่เพียงแต่สร้างอารยธรรมในดินแดนเมโสโปเตเมียเท่านั้น แต่ยังสร้างอารยธรรมของทั้งโลกอีกด้วย พวกเขามาจากดาวเคราะห์ดวงที่ชื่อว่า นิบิรุครับ

จากการถอดรหัสอักษรคูนิฟอร์มมากกว่าสองพันชุดที่จารึกเรื่องราวในดินแดนแถบอ่าวเปอร์เซียเอาไว้ บางจารึกมีอายุถึงหกพันปี บางจารึกก็แตกหักไม่สมบูรณ์แถมยังกระจายอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก มีจารึกคูนิฟอร์มชิ้นนึงที่ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในประเทศเยอรมณีกล่าวถึงรายละเอียดทางดาราศาสตร์บางประการ โดยเฉพาะที่ชี้ว่าโลกถือเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ดหากนับจากดาวพลูโตนี่แหละครับ ฟังแล้วน่าทึ่งจริงๆ เพราะอายุของจารึกคูนิฟอร์มนี้มันปาเข้าไปตั้งสี่พันกว่าปีแล้ว ทั้งที่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เพิ่งค้นพบดาวพลูโตและนับมันเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบสุริยะเมื่อเร็วๆนี้เอง ชาวสุเมเรียนโบราณเค้ารู้จักดาวพลูโตกันได้อย่างไร น่าทึ่งนะครับ ยังมีสิ่งน่าทึ่งกว่านี้อีกครับ ในจารึกของชาวสุเมเรียนโบราณบอกไว้อย่างชัดแจ้งว่าพวกเขามาจากห้วงท้องฟ้าที่เรียกกันว่านิบิรุ

พระเจ้าหรือพระผู้สร้างจากนิบิรุพาพวกเขาล่องเรือลงมายังโลก แล้วก็ปล่อยให้ชาวสุเมเรียนโบราณเหล่านี้ ใช้ชีวิตเริ่มต้นอารยธรรมกันบนดินแดนเมโสโปเตเมีย ชาวสุเมเรียนเหล่านี้ หาได้มีความสามารถสร้างอากาศยาน เพื่อท่องไปทั่วอวกาศอย่างพระผู้สร้างไม่ แต่ความรู้ที่พระผู้สร้างจากนิบิรุทิ้งไว้ให้นี้ ก็เล่นเอานักวิทยศาสตร์ปัจจุบันงงเป็นไก่ตาแตกเหมือนกันแหละครับ สำหรับท่านที่สนใจรายละเอียดแบบลึกๆของเรื่องนี้ คงต้องหาหนังสือมาอ่านกันเองล่ะครับ เพราะรายละเอียดค่อนข้างแยะ

เอาเป็นว่าผมจะสรุปรวมๆให้ว่า เนื้อหาของหนังสือเขาครอบคลุมไปถึงเรื่องของ Nefilim ด้วย อันว่า Nefilim นี้เป็นกลุ่มชนที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเก่า อันเจ้าคำว่า Nefilim นี้เป็นภาษาฮีบรูโบราณแปลว่า "ผู้ลงมาจากเบื้องบน" การตีความจารึกของ Sitchin นั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก ถึงกระนั้นก็เป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถของเขาเป็นอย่างมาก Sitchin ออกเดินทางไปทั่วโลก ตระเวณไปตามแหล่งอารยธรรมต่างๆเพื่อหาห่วงโซ่ที่จะโยงปริศนาทั้งหลายเข้าด้วยกัน

Sitchin ให้ทัศนะที่น่าสนใจเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง ซึ่งคนทั่วไปเรียกมันว่า "ใบหน้าบนดาวอังคาร" หรือ Face On Mars อันว่า Face On Mars นี้เป็นที่กังขากันมานานแล้วครับว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงการเล่นตลกของแสงกับมุมกล้อง สำหรับท่านที่ตกข่าวอยู่ ผมจะท้าวความให้ก็ได้ว่าเจ้า Face On Mars ที่ว่านี้เป็นสิ่งก่อสร้างลักษณะคล้ายใบหน้าสฟิงก์และหมู่ปิระมิด ซึ่งยานอวกาศขององค์การนาสาถ่ายได้โดยบังเอิญ ในบริเวณที่ราบที่เรียกกันว่า Cydonia บนดาวอังคาร (เรื่องนี้กรุณาอ่านในหัวข้อ Face On Mars นะครับ) ตอนนี้ยังไม่มีใครตีความออกว่าลักษณะของสฟิงก์ที่รายล้อมด้วยหมู่ปิระมิดนั้นหมายถึงอะไร แต่คาดกันว่า น่าจะใช้เป็นจุดสังเกตทางอากาศเมื่อจะนำยานลงจอดมากกว่าอย่างอื่น เพราะสิ่งก่อสร้างลักษณะนี้จะดูสะดุดตามากหากมองจากทางอากาศ หากเป็นจริงแล้ว สฟิงก์แห่งกิซาและมหาปิระมิดอาจเป็นจุด Landing ของยานจากดาวนิบิรุก็ได้

ปริศนาอย่างหนึ่งของสฟิงซ์และมหาปิระมิดก็คือมันถูกสร้างด้วยฝีมือของชาวอียิปต์จริงๆหรือไม่ เพราะอายุอานามของปิระมิดและสฟิงซ์นั้น จากการตรวจสอบทางโบราณคดีอายุมันมากกว่าบันทึกทางประวัติศาสตร์ของอียิปต์ตั้งสองพันกว่าปี หากเป็นอย่างนั้นจริง ฟาโรห์คีออปส์ก็หาใช่ผู้สร้างปิระมิดเลย พระองค์เพียงแต่บูรณะมหาปิระมิดขึ้นมาแล้วก็อ้างชื่อในฐานะผู้สร้างเท่านั้น แน่ล่ะครับเป็นถึงเหนือหัวเจ้าแผ่นดินนี่นา จะทรงสั่งให้อาลักษณ์บันทึกประวัติศาสตร์ยังไงก็ได้ทั้งนั้นแหละ

จงเตรียมพร้อม!!!

การศึกษาเรื่องของพระเจ้าโดยอาศัยเงื่อนงำจากตำนานสุเมเรียนโบราณยังคงดำเนินต่อไป หากเรื่องนี้เป็นเพียงตำนานเหลวไหลแล้วองค์การเบิ้มๆอย่างนาสา คงไม่บ้าจี้ค้นหานิบิรุตามตำนานหรอกครับ ปัจจุบัน ณ อาร์เจนตินาและชิลี นาสาได้ขอความร่วมมือตั้งกล้องโทรทัศน์ขนาดมหึมา เพื่อสอดส่องหาอะไรบางอย่างอยู่อย่างเงียบเชียบ นาสาปิดบังสิ่งใดไว้หรือครับ? อเมริกาและมหาอำนาจอื่นๆกำลังทำอะไรกันอยู่ …เตรียมพร้อมรับการมาถึงของ Anunnaki?

หลักฐานอีกชิ้นที่ยืนยันการมีอยู่ของพระเจ้าจากอวกาศ ก็คือแผนที่ครับ เป็นแผนที่โลกจารึกอยู่บนแผ่นดินเหนียวอายุอานามกว่าหกพันปี มีเส้นรุ้งเส้นแวงครบถ้วนตามกระบวนการทำแผนที่ยุคปัจจุบันเด๊ะ เพียงแต่ลักษณะของทวีปต่างๆไม่เหมือนกับปัจจุบันเลยซักนิดเดียว มันคืออะไร? แผนที่โลกนี้เมื่อนมนานมาแล้วหรือว่าเป็นแผนที่ของดวงดาวอันไกลโพ้น ดวงดาวที่ Anunaki นำบรรพชนของเราลงมายังโลก มีงานเขียนบางชิ้นกล่าวถึงการสร้างมนุษย์จากหลอดทดลอง มนุษย์ที่ว่าก็คือบรรพชนของเรานี่แหละครับ งานเขียนเหล่านั้นจะอ้างอิงคัมภีร์พันธสัญญาเก่าเป็นหลัก อาศัยการตีความจากไบเบิลเท่านั้น แต่บันทึกของสุเมเรี่ยนเจ๋งกว่า เพราะมีทั้งเรื่องราวและภาพโครงสร้างของ DNA อยู่อย่างเสร็จสรรพ(รออ่านนะครับ กำลังรวบรวมข้อมูล) ชาวสุเมเรียนโบราณรู้เรื่อง DNA ตลอดจนวาดภาพโครงสร้างของมันออกมาได้อย่างไรครับหากเขาไม่เคยเห็นมาก่อน?

คำถามสุดท้ายสำหรับช่วงนี้คืออนาคตของมนุษย์จะเป็นอย่างไรต่อไป ทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศกำลังมีน้ำหนักและอิทธิพลต่อความเชื่อของคนยุคปัจจุบันมากขึ้นทุกที หลายคนเริ่มคล้อยตามในขณะที่บางคน บางกลุ่ม โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจยอมรับมันมานานแล้ว เราอาจถูกสร้างโดยพระผู้สร้างผู้เดินทางมาจากอวกาศ สักวันเราจะมีโอกาสเจริญรอยตามพระผู้สร้างได้หรือไม่ เพราะอย่างน้อยตอนนี้มนุษย์เราได้เติบโตขึ้นกว่าเดิมมากมาย เรียกได้ว่าก้าวหน้าทั้งศาสตร์และศิลป์จนทำให้บัลลังก์ของพระเจ้าจากอวกาศเริ่มสั่นคลอนบ้างแล้ว ที่สำคัญคือสันดานก้าวร้าวในตัวมนุษย์รวมถึงนิสัยชอบก่อสงครามนี่แหละจะทำให้มีปัญหาขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ส่วนหนึ่งเกิดปีกกล้าขาแข็งและคิดจะวัดรอยเท้าพระเจ้าขึ้นมา?

Planet - X

โลกของเราเป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบสุริยจักรวาล หรือ Solar System และพวกเราก็เรียนมาตั้งแต่หัวเท่ากะปอม(ภาษาอิสาน แปลว่ากิ้งก่าครับ J ) แล้วว่าระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีบริวารเป็นดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 9 ดวง แต่มีอยู่สองดวงคือเนปจูนและพลูโตที่มีอาการแปลกๆ นักดาราศาสตร์ใหญ่ทั้งหลายต่างก็กังขากันใหญ่ว่ามันจะมาจากอิทธิพลของดาวเคราะห์ดวงที่สิบหรือไม่?

ก่อนจะว่ากันถึงดาวเคราะห์ดวงที่สิบ เรามาดูกันดีกว่าว่าอะไรเป็นจุดดลใจให้นักดาราศาสตร์เค้าเชื่อกันว่าระบบสุริยะยังมีสมาชิกที่ค้นไม่พบอีกหนึ่งดวง เมื่อก่อนเค้าเชื่อกันว่าดาวเคราะห์ในระบบสุริยะมีกันแค่เจ็ดดวง(นับดวงจันทร์ด้วย) จนกระทั่งมีการค้นพบดาวยูเรนัสนั่นแหละครับ กระบวนการล่าดาวบริวารของดวงอาทิตย์จึงเกิดขึ้น เรามาดูรายละเอียดเล็กๆน้อยของมันดีกว่า

ในปี 1841 John Couch Adams เริ่มตะหงิดๆใจกับการโคจรแบบแปลกๆของดาวยูเรนัสคล้ายๆกับมีปฏิกิริยากับแรงดึงดูดอะไรซักอย่าง จากการค้นพบของ Adams ทำให้หลายๆคนเริ่มค้นคว้าเรื่องนี้กันมากขึ้น ในปี 1845 เลอ วาริเยร์ (Urbain Le Verrier ) ได้เริ่มค้นหามันด้วยเช่นกันเพราะอาการของดาวยูเรนัสนี้ต้องเป็นผลมาจากแรงดึงดูดของดาวเคราห์อีกซักดวงเป็นแน่ นั่นคือการนำมาของการค้นพบดาวเคราะห์ดวงที่แปด เนปจูน

เดือนกันยายนปี 1846 เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังมีการค้นพบดาวเนปจูน Le Verrier ยังคงสงสัยว่าน่าจะมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่มีอิทธิพลกับดางยูเรนัสแน่นอน ล่วงมาถึงเดือนตุลาคมปีเดียวกัน มีการค้นพบดวงจันทร์ขนาดยักษ์ที่เป็นดาวบริวารของดาวเคราะห์เนปจูน หลายคนคิดว่าตัวเองได้คำตอบเรื่องแรงดึงดูดกับดาวยูเรนัสแล้ว แต่มันจะไม่ง่ายไปหน่อยเร้อ?

ในปี 1879 นักดาราศาสตร์ชื่อ Camille Flammarion ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า มันต้องมีดาวเคราะห์อีกซักดวงที่อยู่ถัดจากดาวเนปจูออกไปแน่ๆ โดยอาศัยการคำนวณเรื่องวงโคจรของดาวหางและอุกาบาตเป็นหลัก

เปอร์ซิวาล โลเวล เจ้าของงานเขียนเรื่องคลองบนดาวอังคารอันลือลั่น ได้เริ่มศึกษาและค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่ยังไม่มีการค้นพบอย่างเงียบๆในรัฐอริโซนา โลเวลเรียกการค้นคว้าของเขาในครั้งนี้ว่า การค้นหา Planet X โลเวลพยายามหลายๆต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ด้วยความบังเอิญครับ เปอร์ซิวาล โลเวลของเราจับตำแหน่งดาวเคราะห์ที่ยังไม่มีใครรู้จักได้หลายครั้ง แต่นั่นเป็นเวลาก่อนที่จะค้นพบดาวพลูโต ใครๆเลยคิดกันว่าดาวที่โลเวลพบเป็นดาวพลูโตไปซะฉิบ (ดาวพลูโตถูกค้นพบในปี 1930)

ปัจจุบัน ดร.โทมัส ซี แวน แฟลนเดิร์น แห่งราชนาวีสหรัฐ ได้ยืนยันถึงการศึกษาของทางราชนาวี และให้สมมุติฐานว่าน่าจะมีดาวเคราห์อีกดวงที่อยู่ถัดไปจากดาวพลูโตครับ เป็นดาวขนาดค่อนข้างใหญ่เสียด้วย

หน้า 2 NEXT>>

 

 


 
 
BY ขจรศักดิ์ เลาห์สัฒนะ
Hosted by www.Geocities.ws

1