ชางกลิร่า

 

ชางกรีลา-สวรรค์ลี้ลับบนแผ่นดิน

จินตนาการ ที่คล้ายคลึงกันอย่างหนึ่ง ของมนุษย์ทุกชาติทุกภาษา ก็คือคิดว่า บนพื้นพิภพของเรา มีดินแดนลี้ลับที่ซ่อนเร้นอยู่ ดินแดนนี้งดงาม มีแต่ความสงบสุข ประดุจดั่งแดนสวรรค์ เช่น คนไทยเราเอง ก็มีเรื่องเล่าขานถึง "เมืองลับแล" ในนิยายตะวันตก ก็มีหลายเรื่องที่เกี่ยวกับ การสำรวจค้นหาเมือง อันมั่งคั่งสมบูรณ์ ท่ามกลางป่าดงดิบ ที่ไม่เคยมีใครเข้าไปถึงและ "ดินแดนสวรรค์บนดิน" แห่งหนึ่งที่โด่งดังไปทั่วโลกก็คือ ชางกรีลา (SHANGRILA) ที่ทีมงานต่วย'ตูน ขอนำมาเล่าสู่กันฟังใน ไทยรัฐ ซันเดย์สเปเชียล หนนี้ ครับผม
เรื่องราวของชางกรีลา สืบเนื่องมาจากความกว้างใหญ่ไพศาลแห่งขุนเขาหิมาลัย ซึ่งนอกจากจะสูงลิบลิ่วแล้ว ก็ยังมีหิมะปกคลุม จนยากที่มนุษย์จะบุกบั่นเข้าไปถึง จึงเกิดมีตำนานเล่าขานว่า ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งภายในขุนเขานี้ มีอาณาจักรสวรรค์นาม ชางกรีลา ปรากฏอยู่ และมีนครหลวงชื่อ ชัมบาลา (SHAMBALA) ผู้คนเมืองนี้มีจิตใจสดใสบริสุทธิ์ ปราศจากความอาฆาตคิดร้ายต่อกัน มีความเฉลียวฉลาดผิดมนุษย์ธรรมดา และที่น่าอัศจรรย์ก็คือ แม้รอบด้านจะเต็มไปด้วยหิมะอันหนาวเย็น แต่พื้นแผ่นดินของอาณาจักรนี้กลับเขียวขจีด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร

จากตำนานดังกล่าวนี้เอง ทำให้มีคนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน นักบวช นักเผชิญโชค ตลอดจนนักวิทยาศาสตร์ ในซีกโลกที่เจริญวิทยาการ พากันเดินทางมาค้นหา อาณาจักรชางกรีลากันมากมาย
บุคคลหนึ่งซึ่งลงทุนลงแรง ค้นคว้าอย่างจริงจัง ได้แก่ นาย นิโคลาส โลเอริก ชาวรัสเซียในอเมริกา เขาเดินทางมายังลาซา เมืองหลวงของทิเบต และตระเวนสำรวจหาชางกรีลา ในดินแดนหลังคาโลกแห่งนี้ในช่วงปี ค.ศ. 1925-1928 เป็นระยะทางกว่า 15,000 ไมล์ แม้เขาจะมิได้ยืนยันเป็นถ้อยคำแน่นอนว่า ได้ค้นพบสวรรค์บนดินแห่งนี้ แต่เขาก็ได้เขียนภาพที่อ้างว่าเขียนขึ้นจากตาเห็น เป็นจำนวนหลายภาพ เป็นรูปทิวทัศน์และอาคารที่มีสีสันเฉิดฉายแปลกตา และมีอยู่ภาพหนึ่งที่น่าตื่นใจเป็นพิเศษ นั่นคือนิโคลาส ได้เขียนภาพมนุษย์ที่ดูราวกับผุดออกมาจากภูผา โดยนิโคลาสเรียกมนุษย์เหล่านี้ว่า "มหาตมะ" หรือผู้ทรงความรู้ มหาตมะคนหนึ่งซึ่งมีลักษณะเป็นหัวหน้าได้ถือกล่องเงินเป็นประกาย ซึ่งอาจมีสิ่งสำคัญลํ้าค่าอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ภายใน ภาพนี้ ชื่อว่า การเผาผลาญความมืดมน (Burning of Darkness)

“ นิโคลาสได้ไปพบกับพลเมืองของอาณาจักรชางกรีลาจริงหรือ? “

จริงหรือไม่ก็ไม่ทราบละครับ แต่ต่อมาในปี ค.ศ.1935 รัฐบาลสหรัฐฯก็ได้ส่งนิโคลาสมาทำการสำรวจพื้นที่ในดินแดนนี้อีกครั้ง โดยอ้างว่าเพื่อค้นหาพันธุ์หญ้าที่มีความทนทานสูงต่อสภาพดินฟ้าอากาศ!
การมาสำรวจครั้งนี้ ไม่มีรายงานผลแต่ อย่างใด ก็คง แห้ว นั่นแหละครับ

ในช่วงเวลาเดียวกัน ทั่วโลกตก อยู่ในสภาพเศรษฐกิจตกตํ่า ผู้คนอดอยากจนเป็นแรงดลใจ ให้นาย เจมส์ ฮิลตัน ประพันธ์เรื่อง ขอบฟ้าไม่ปรากฏ (Lost Horizon) ออกมา กล่าวถึงนักเดินทางคณะหนึ่ง เครื่องบินตกแถวๆ ทุ่งหิมะ และได้พบกับนครลี้ลับแห่งหนึ่ง ซึ่งประชากรของนครนี้ไม่แก่ไม่เฒ่า แต่เมื่อพาประชากรคนหนึ่ง ออกมาพ้นจากนครไม่กี่วัน ร่างกายของเขา ก็ชราลงอย่างรวดเร็ว และเสียชีวิตไปในที่สุด
เรื่องที่พ้องกันของนิโคลาสกับเจมส์ ทำให้ ผู้คนสนอกสนใจกับชางกรีลายิ่งขึ้น และผู้ที่สนใจมากกว่าใครๆนั้นก็มิใช่คนธรรมดา แต่เป็นถึง...ผู้นำของสองประเทศ คือ ประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี.รูสเวลท์ แห่งสหรัฐฯ
กับ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซี ซึ่งพาโลกไปสู่สงครามโลกครั้งที่สองนั่นเอง
โดย รูสเวลท์ ได้นำความคิดเรื่องเมืองที่ปลอด-ภัยและน่าอยู่ไปสร้างเป็น แคมป์เดวิด สถานพักผ่อน ส่วนตัวของผู้ดำรงตำแหน่ง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่วนฮิตเลอร์ได้ส่งทหารนาซีออกไปสำรวจหาเมืองซ่อนเร้นในบริเวณเทือกเขาอัลไพน์ ด้วยวัตถุประสงค์เผื่อว่าจะได้พบผู้คนที่มีมันสมองปราดเปรื่องกว่าธรรมดา จะได้เอาตัวมาใช้งาน เพราะฮิตเลอร์นั้นมีความหยิ่งผยองในสายเลือด อันสูงส่งของชนเยอรมันที่เรียกว่าเผ่าพันธุ์ อารยัน จนถึงกับเข่นฆ่าชาวยิวที่เขาหาว่าเป็นชาติบ่อนทำลายโลก จนยิวเกือบสูญพันธุ์ไงครับ

กลับมายังดินแดนทิเบตกันใหม่

คัมภีร์พุทธของทิเบตนั้น ยืนยันเรื่องของนครชางกรีลา โดยได้อ้างว่าเป็นพุทธวัจนะ ซึ่งพระพุทธองค์เคยตรัสว่า ดินแดนชัมบาลาอยู่ในแถบมณฑล เทียนซาน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลทรายโกบี!
และถ้าหากเรา มีโอกาสได้ไปเยือนมณฑลนี้ ก็จะได้เห็นภูผาหลายแห่ง ที่จะเป็นโพรง หรือเป็นถํ้ามากมาย อันเป็นที่ผู้แสวงบุญ ที่จาริกมาในถิ่นนี้ ได้ใช้อาศัยเป็นที่อยู่หลับนอน โบราณสถานที่โด่งดังที่สุด ก็คือถํ้า ซึ่งมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ถึง 1,000 องค์ นอกจากนี้ก็ยังมีการ ค้นพบคัมภีร์โบราณ ที่จัดว่าเป็นเอกสารพุทธ ของทิเบตที่เก่าแก่ที่สุด เขียนขึ้นใน ค.ศ.1868 สันนิษฐานกันว่าเป็นเสมือนลายแทง ที่ชี้บอกเส้นทางเข้าสู่เมือง ชัมบาลา หากทว่าขณะนี้ ยังไม่มีผู้ใดสามารถอ่านอักษรดังกล่าวออก

พุทธศาสนานั้น แพร่มาถึงทิเบตราวศตวรรษที่ 17 และพอถึงศตวรรษที่ 20 ก็ปรากฏว่า มีวัดพุทธศาสนาในทิเบตถึง 6,000 วัด ในขณะที่วัดคริสต์ในยุโรปมีอยู่เพียง 2,000 กว่าวัด โดยพลเมืองทิเบตก็มีเพียงราว 8 ล้านคนเท่านั้นเอง จะเห็นได้ว่า พุทธศาสนาได้ขัดเกลาเปลี่ยนนิสัยดุร้าย ของชนทิเบตให้หันมารักความสงบสุข และศรัทธาในศาสนาได้อย่างไม่น่าเชื่อเพียงใด พระสงฆ์ทิเบตจะเพียรสวดมนต์ภาวนานั่งฌาน ชักลูกประคำ และหมุนวงล้อ ที่ภายในมีพระธรรมคำสอน บรรจุอยู่อย่างมิรู้เหน็ดเหนื่อย

เป็นไปได้ไหมว่า เป้าหมายแห่งศรัทธาแรงกล้านี้ อยู่ที่ความหวังว่าจะได้เข้าถึงซึ่งดินแดนสวรรค์บนดิน

ตำแหน่งดาไลลามะนั้นสืบทอดกันมา โดยเมื่อองค์ใดสวรรคต ทีมงานก็จะออกค้นหาองค์ใหม่ โดยสืบค้นหาเด็กที่สามารถระลึกชาติได้ว่า ในชาติก่อนนั้น ตนได้เป็นดาไลลามะ พร้อมทั้งระบุเครื่องมือเครื่องใช้ของดาไลลามะองค์เดิมได้ อย่างถูกต้องแม่นยำอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

ดาไลลามะองค์ปัจจุบัน นับเป็นองค์ที่ 14 และเคยมีผู้พยากรณ์ ไว้ว่าตำแหน่งดาไลลามะ จะสิ้นสุดลงที่องค์ที่ 14 นี่เอง! ขณะนี้พระองค์ทรงลี้ภัยการเมือง ไปอาศัยอยู่นอกทิเบตตลอดกาล ถ้าหากพระองค์รู้ถึงหนทางเข้าสู่ชางกรีลา และหากสวรรคต ไปพร้อมกับความลับนี้ กุญแจไขเข้าสู่ดินแดนสวรรค์บนดิน ก็จะสูญสิ้นไปด้วยฉะนั้นหรือ?
พระภารกิจประการหนึ่งที่องค์ดาไลลามะที่ 14 ทรงลงมือปฏิบัติเองโดยมีผู้ช่วย 2-3 คน ก็คือสร้างผังภูมิพุทธมณฑล ซึ่งมีลักษณะเป็นกรอบสี่เหลี่ยมขนาดกว้างยาวราวหนึ่งเมตร ทรงใช้ทรายสีต่างๆโรยเป็นรูปเรขา ประกอบด้วยเส้นสายและสัญลักษณ์หลายรูปแบบ

สิ่งนี้เปรียบประดุจลายแทงแผนที่เข้าสู่ดินแดนชางกรีลาใช่ไหม? “ มีผู้นำคำถามนี้ไปทูลถามองค์ดาไลลามะ ”

พระองค์ทรงแย้มสรวลเล็กน้อย และตรัสว่า ผู้ใดที่หมั่นเพียรชำระจิตใจให้สะอาด มีฌานและศรัทธาอันแน่วแน่ ในพระศาสนา สักวันหนึ่งเขา จะได้เข้าถึงซึ่งชางกรีลา อย่างแน่นอน ก็ต้องตีความกันเอาเองครับว่า การเข้าถึงชางกรีลาในคำตรัส ของพระองค์นั้นเป็นการเข้าถึงจริงๆ ทางกายภาพ ได้เห็น ดินแดนสวรรค์บนดินอย่างเป็นตัวเป็นตน หรือว่าเป็นการเข้าถึงสวรรค์ในใจ สำหรับผู้บรรลุถึงความดีแล้วเท่านั้น

 

 

 


 
 
BY ขจรศักดิ์ เลาห์สัฒนะ
Hosted by www.Geocities.ws

1