ตำนานมือสังหาร

 

ตำนานมือสังหาร Assasin

ในช่วงปลายศตวรรษที่10 กษัตริย์ยุโรปหลายพระองค์ส่งทหารเข้าสู่ดินแดนตะวันออกกลางเพื่อจะยึดเอาดินแดนศักดิ์สิทธิ์จนกลายเป็นสงครามครูเสดอันยืดเยื้อ และแม้ว่ากองทหารยุโรปจะได้เปรียบในด้านชุดเกราะและพละกำลัง แต่ทางฝ่ายตะวันออกกลางก็มีจุดเด่นหลายประการที่สามารถใช้ต่อกรกับชาวยุโรปได้อย่างสูสี และหนึ่งในนั้น คือกลุ่มมือสังหารท้องถิ่นที่ปฏิบัติการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่มือสังหารทุกคนยินดีพลีชีพโดยไม่เคยลังเลเพื่อทำงานให้สำเร็จนั้น เป็นสิ่งที่ชาวยุโรปไม่เคยพบเห็นจากที่ใดมาก่อน จนพากันสันนิษฐานว่า มือสังหารเหล่านั้นคงตกอยู่ใต้อำนาจของยาชนิดหนึ่งที่เรียกว่าhashish ซึ่งเป็นที่มาของคำว่าassasinsในที่สุด ....และนี่คือเรื่องราวของขบวนการมือสังหารนั้น.

คศ.1100..ประมาณ400ปีหลังศาสดามูฮัมหมัด มีนักปราชญ์ชาวเปอร์เซียคนหนึ่งชื่อ ฮัซซาน อิบบิน ซาบาร์ ซึ่งขณะนั้นเป็นพวกเดียวกับชาวมุสลิมนิกายชีอะห์กลุ่มอิสมาอิลซึ่งเพิ่งประกาศแบ่งแยกเป็นอิสระจากการปกครองด้เวยกำลัง ของกษัตริย์ที่สนับสนุนนิกายซุนนีได้ไม่นาน
ฮัซซานในขณะนั้น เห็นว่า กลุ่มอิสมาอิลควรจะเพิ่มความเข้มแข็งและหาโอกาสขยายอาณาเขตออกไปอีก แต่ทว่า ทาง ผู้นำอิสมาอิลไม่เห็นดีเห็นงามด้วย และด้วยความขุ่นเคือง ฮัซซานตัดสินใจที่จะแยกตัวออกจากอิสมาอิล และตั้งกลุ่มของตน เพื่อที่จะกระทำการต่อไปได้ตาม ที่ต้องการโดยไม่ต้องพึ่งกำลังผู้อื่นอีก จึงเริ่มเกลี้ยกล่อมสมัครพรรคพวก จากเดิมนั้นมีเพียงคนสนิทไม่กี่คนเท่านั้น จากกลุ่มนี้ ฮัซซานเริ่มแอบพบปะกับผู้มีอิทธิพลตามท้องถิ่นทีละคนเพื่อขอให้สนับสนุนกำลังทรัพย์แก่กลุ่มของตน ซึ่งปรากฏว่า ใครที่ขัดขืนล้วนตายอย่างลึกลับ
จาก1เป็น2...3....4 ไปเรื่อยๆ ผู้นำท้องถิ่นที่ยังไม่ตายค่อยๆกลายเป็นผู้(แอบ)สนับสนุนฮัซซานโดยส่ง ทรัพยากรให้ และในขณะเดียวกัน ฮัซซานยังแอบพบปะเป็นการส่วนตัวกับผู้คนในเมืองเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิด เผยแพร่แนว ความคิดของตน ซึ่งปรากฏว่าบางครั้งจะมีคนสนใจเข้าร่วมศึกษาแนวทางของฮัซซาน และเข้าเป็นมือสังหาร ฝึกหัดต่อไป
และแล้ว เมื่อมีกำลังมากขึ้น ฮัซซานได้ยึดปราสาทแห่งหนึ่งชื่อว่าปราสาท”อลามุต” ซึ่งว่ากันว่า พอยึดปราสาทนี้ได้ ฮัซซานเปิดเผยตัวว่าเขาและผู้ที่อยู่ในปราสาทนี้คือขบวนการมือสังหาร แต่เนื่องจากชัยภูมิที่สมบูรณ์แบบ ทำให้แทบไม่มีใครใช ้กำลังทหารบุกเข้าถึงตัวปราสาทได้เลย และปราสาทหลังนี้กลายเป็นศุนย์กลางของขบวนการมือสังหารไปตั้งแต่วันนั้น

กลุ่มมือสังหารเริ่มทำการฝึกอย่างเป็นระบบภายในปราสาทอลามุต โดยผู้ฝึกใหม่จะได้ศึกษาปรัชญาทางจิตวิญญานใหม่ๆซึ่งบทแรกๆจะเป็นไปตามคัมภีร์กุรอ่าน จนเมื่อศึกษาไปนานๆพร้อมกับมีฝีมือในการปฏิบัติการลอบสังหาร เนื่อหาจะเริ่มเปลี่ยนศูนย์กลางจากการเชื่อถือในคำสอนของศาสดา”ที่ตายไปแล้ว” เป็นการมุ่งสู่การเชื่อฟังในผู้นำขบวนการซึ่ง”พัฒนาต่อจากคำสอนเดิม”
หลังจากศึกษาไปเลื่อนตำแหน่งไปจนมีความศรัทธาเต็มที่ มีจิตกล้าแข็งและฝึกฝนทักษะการต่อสู้(ซึ่งจริงๆไม่ใช่การ”ต่อสู้”แต่เป็นการ”สังหาร”)และรวมไปจนถึงคาถาอาคมของ มือสังหารจนครบถ้วนแล้ว ผู้ฝึกจะได้เข้าพิธีเป็นมือสังหารระดับปฏิบัติการ โดยร่วมพิธี10คนจะยืนเป็นวงกลมหันหน้าเข้าด้านใน ทำสมาธิ สวดมนต์ ระหว่างนั้น ผู้นำจะเดินวนรอบๆผู้ร่วมพิธีอีกวงหนึ่ง แล้ว,โดยไม่มีการให้สัญญาน,ผู้นำจะใช้มีดเงินศักดิสิทธิ์แทงเข้าที่ สันหลังของผู้ฝึกคนหนึ่ง ส่งผู้ได้รับลือกนั้นไปสู่”ภพภูมิที่ประเสริฐกว่าสวรรค์ชั้นใดๆ” คนที่เหลืออยู่9คน(ซึ่งต่างรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ถูกเลือกให้พลีชีพ)จะได้รับตำแหน่งมือสังหารระดับปฏิบัติการ ที่เรียกว่า “fidai” ซี่งถือเป็นเกียรติยศและความใฝ่ฝันของผู้ฝึกทุกคน
สำหรับวิชาของมือสังหารนั้น จะมีการฝึกจิตเฉพาะที่จะช่วยสร้างพลังจิตในแบบของมือสังหาร มีการเรียน คาถาอาคม(ซึ่งแน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าเป็นคาถาแบบไหน) ส่วนการต่อสู้นั้นจะใช้มีดเป็นหลัก โดยจะมีเน้นว่าจะไม่มีการต่อสู้ยืดเยื้อ จึงไม่เน้นการตอบโต้ป้องกัน โดยหากเป้าหมายมองเห็นมีดโดยที่ยังไม่ตายถือว่าเป็นการสังหารที่ไม่สมบูรณ์ หรือหากเป้าหมายทันได้รู้สึกกลัวก่อนตายถือว่าการสังหารนั้นไม่มีเกียรติ การสังหารที่ดีนั้นจะแสดงมีดและเจตนาในวินาทีที่เป้าหมายต้องตาย(หรือควรจะตาย) .... ไม่มีการต่อสู้
มือสังหารยังแบ่งออกได้เป็นสามชนิดหลักๆ ชนิดแรกที่มีจำนวนมากที่สุดคือผู้รวบรวมข่าวสาร พวกนี้อาจเป็นได้ตั้งแต่เจ้าชายไปจนถึงหญิงชราตามตลาด โดยพวกเขามักจะไม่มีโอกาสได้รู้ว่า ข้อมูลที่พวกเขาส่งให้นั้น จะไปเกี่ยวกับเรื่องอะไร ไม่รู้แม้กระทั่งว่านอกจากตนและคนรับรายงานจากตนแล้วยังมีใคร เป็นพวกเดียวกันอีกหรือไม่
ชนิดที่สองของมือสังหารคือพวกsleeper พวกนี้จะมีหน้าที่แอบแฝงทำตัวเป็นพวกเดียวกับเหยื่อ หรือแม้แต่เป็นบาทหลวงในโบสถ์ที่เป้าหมายบวชอยู่ จนหลายปีผ่านไปเมื่อได้รับสัญญาน sleeperบาทหลวงจะชักมีดออกจากจีวรปลิดชีวิตเป้าหมายและหนีไปท่ามกลางความตวามตกตะลึงของ ญาติโยมที่ไม่เชื่อสายตาตนเอง
ชนิดสุดท้ายคือsapper มือสังหารชนิดนี้จะ(แอบ..แน่นอน)บุกเข้าสังหารเหยื่อจากภายนอกที่อาศัย และเนื่องจากลักษณะการทำงาน ทำให้นอกจากทักษะในการสังหารsapperยังต้องมีทักษะในการอำพรางตัว,ตัดช่องย่องเบาและหลบหนี เป็นเลิศ แบบเดียวกับนินจานั่นเอง

เมื่อฝึกกองกำลังเล็กๆของตนได้จนพอใจแล้ว ขณะนั้น ศัตรูเก่าของฮัซซานผู้หนึ่งปรากฏตัวอยู่ในฝ่ายเซลยุคซึ่งครองดินแดนบริเวณชายแดนอินเดียเหนือในขณะนั้น โดยสหายเก่าของฮัซซานผู้นี้ไม่ใช่ระดับธรรมดาแต่เป็นมหาอุปราชในสุลต่านมาลิค-ชาฮ์ อย่างไรก็ตาม อัซซานสังหารศัตรูเก่าของเขาและเป็นเหตุให้สุลต่านเซลยุคประกาศสงครามกับขบวนการมือสังหารอย่างเปิดเผย

แม้จะมีกำลังทหารมากกว่าอย่างเทียบไม่ได้ แต่สุลต่านก้ไม่สามารถถล่มปราสาทอลามุตได้สักทีเพราะแม่ทัพ(หรือว่าที่แม่ทัพ)ที่ถูกส่งไปล้วนตายก่อนจะเข้าเขตอลามุตและ กองทัพต้องหยุดเคลื่อนทัพตลอดเวลา
ไม่กี่เดือนหลังจากที่สงครามเริ่ม ขณะที่สุลต่านฟังคำรายงานความล้มเหลวของกองทัพล่าสุดที่ส่งไป องค์สุลต่านหยิบเครื่องดื่ม ขึ้นดื่มเพื่อหวังจะดับความร้อนในใจ ปรากฏว่าสุลต่านก็ไม่เคยร้อนใจอะไรอีกเลยเพราะเขาตายคาถ้วยเสียแล้ว
การตายของสุลต่านมาลิค-ชาฮ์ ทำให้ดินแดนเซลยุคกลายเป็นความโกลาหลต่อไปอีกหลายปี โดยผู้นำท้องถิ่นต่างอ้างสิทธิ์ท ี่จะขึ้นเป็นสุลต่านและทำสงครามกันเอง จนปราสาทอลามุตไม่ถูกรังควาญเลย
แต่ในที่สุด สุลต่านมูฮัมหมัด ทาปาร์ ได้รวบรวมดินแดนเซลยุคจนเป็นปึกแผ่นและรวบรวมกำลังถล่มศัตรูตัวจริงของพวกเขา กองทัพของสุลต่านทาปาร์ยึดดินแดนที่ฮัซซาน”เก็บค่าคุ้มครอง”ไปหมด แล้วยกกองทัพล้อมปราสาทอลามุตไว้ ซึ่งว่ากันว่า มีกำลังเหลือในปราสาทเพียง72คน แต่ในที่สุด ในค่ำคืนหนึ่งแม่ทัพของทาปาร์ถูกสังหารในค่ายพัก ทำให้ต้องถอนทหารกลับชั่วคราว
2 ปีต่อมา มหาอุราชเซลยุคชื่อ คูราซานถูกแทงโดยขอทานคนหนึ่ง ทหารจับตัวมือสังหารขอทานได้และนำไปทรมาณสอบสวน ในที่สุดมือสังหารขอทานยอมปริปากเผยรายชื่อของsleeperในกลุ่มเซลยุคออกมา 12 คน ซึ่งล้วนแต่เป็นคนใหญ่โตในเซลยุค ..”ผู้ทรยศ”ทั้ง12ถูกประหารพร้อมกับมือสังหาร จนต่อมาได้มีคนพิสูจน์ว่า ทั้ง 12 คนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับขบวนการมือสังหารเลย
มือสังหารตาย 1 คน = ผู้ใหญ่ของเซลยุคตาย12 คน

ต่อมาอีก12ปี สุลต่านทาปาร์ตายลง(โดยที่ไม่แน่ชัดว่าตายตามธรรมชาติหรือไม่) สุลต่านซันจาร์บุตรชายขึ้นครองบัลลังก์ต่อ ซึ่งแต่เดิมสุลต่านซันจาร์ตั้งใจจะทำสงครามต่อจากบิดา จนเช้าวันหนึ่ง สุลต่านหนุ่มตื่นขึ้นมาพบกระดาษโน๊ตจากอลามุตเชิญให้ไปเจรจาที่ปราสาท และใกล้ๆกระดาษโน๊ตปรากฏมีมีดคบกริบเล่มหนึ่งถูกวางไว้บนหมอนของสุลต่านอย่างเรียบร้อย.... สุลต่านส่งทูตไปปราสาทอลามุตทันที
ที่ปราสาทอลามุต ขณะรับประทานอาหาร ฮัซซานเรียกdaiสองคนเข้ามา แล้วสั่งให้คนหนึ่งตัดคอตัวเอง อีกคนพุ่งตัวออกนอกหน้าต่างปราสาท ซึ่งทั้งสองทำตามด้วยความยินดี ฮัซซานบอกกับคณะทูตว่าเขายังมีdaiแบบนี้อีกกว่า 6 หมื่นคนที่พร้อมจะไปฆ่าชาวเซลยุคได้ตลอดเวลา หลังจากฟังคณะทูตกลับมาเล่าเรื่องนี้ด้วยความสยดสยอง สุลต่านซันจาร์ตกลงสงบศึกและส่งส่วยให้กับขบวนการมือสังหารนับแต่นั้น
นอกจากการฆ่าศัตรูอย่างไร้ความปราณีแล้ว ฮัซซานยังเคยสังหารลูกในไส้ของตนไปสองคน ด้วยเหตุเพราะฝ่าฝืนกฏของขบวนการมือสังหาร ซึ่งภายใต้ความโหดเ!้ยมนี้ ขบวนการมือสังหารตั้งอยู่ได้อีกหลายร้อยปีต่อจากรุ่นของ”กาหลิบ”ฮัซซาน และได้มีบทบาทอย่างลับๆตลอดช่วงสงครามครูเสด จนในที่สุดขบวนการนี้ก็ล่มสลายลงด้วยเงื้อมมือของศัตรูที่น่ากลัวกว่า ทรงพลังกว่า อีกทั้งเ!้ยมโหดกว่ามือสังหาร...ศัตรูที่หลอกหลอนประชาชนไปค่อนโลกในยุคนั้น.....ทหารมองโกล
แต่จากกองเถ้าถ่านซากปราสาทอลามุต หลังจากที่กาหลิบของขบวนการได้หายสาบสูญกลางกองทัพมองโกล แม้จะไม่มีใครพบเห็นสมาชิกของขบวนการมือสังหารอีกเลย ทว่า แนวคิดของลัทธิมือสังหารพลีชีพเพื่ออุดมการณ์กลับไม่ได้หมดไป.แต่ยังมีให้เห็นในโลกของขบวนการก่อการร้ายยุคใหม่จนทุกวันนี้

 

 


 
 
BY ขจรศักดิ์ เลาห์สัฒนะ
Hosted by www.Geocities.ws

1