อากาศยานแห่งภารตะยุค The Story of Vimanas

 

 

หลังจากห่างหายไปพักใหญ่ๆ ตอนนี้ก็กลับมาพร้อมข้อมูลใหม่ๆที่เพิ่งแกะมาได้ล่าสุดเกี่ยวกับร่องรอยของอารยธรรมต่างดาว ที่ปรากฏอยู่ในยุคบรรพชนของมนุษยชาติ แต่คราวนี้มาแปลกหน่อยเพราะไม่ได้กล่าวถึงอเมริกาใต้ อียิปต์ อย่างที่เคยเป็น ท่านที่เห็นจั่วหัวเรื่องคงพอจะนึกออกแล้วล่ะครับ ว่านายโซนิคจะพาท่านไปเที่ยวที่ไหนกัน ใช่แล้วครับ เราจะย้อนยุคกันไปสู่สมัยแห่งมหากาพย์ของอินเดีย เพราะมีนักคิดนักเขียนฝรั่งไม่น้อยเหมือนกัน ที่บังเอิญไปค้นเจอ"อะไร"บางอย่างที่น่าสนใจในมหากาพย์โบร่ำโบราณของอินเดียเข้า อดใจรอซักครู่ครับ ผมจะค่อยๆเล่าให้ฟัง

ก็เรียนกันมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้นกันเกือบทุกคนนะครับ สำหรับมหากาพย์ของอินเดียเรื่องมหาภารตะ และรามายณะ หรือรามเกียรติ ผมจะไม่เล่าประวัติ หรือเนื้อเรื่องของมหากาพย์ทั้งสองนี้ล่ะนะครับ คิดว่าคงรู้กันดีอยู่ ปัญหามันมีอยู่ว่า ไอ้ที่เราเรียนๆหรืออ่านกันนี้ มันเป็นฉบับดัดแปลงครับ หมายถึงสำนวน เนื้อเรื่อง ต่างๆเพี้ยนจากต้นฉบับไปเยอะมาก (ทำนองเดียวกับไบเบิล) ส่วนหนึ่งอาจมาจากกาลเวลาที่ยาวนาน รวมถึงการเล่าสืบต่อมาหลายชั่วอายุคน มีการดัดนั่น เสริมนี่เข้าไปจนเพี้ยนจากต้นฉบับเดิมมาก ส่วนหนึ่งก็มาจากการแปลครับ การแปลจากภาษาหนึ่งไปยังอีกภาษาหนึ่งเป็นเรื่องที่ลำบาก เพราะต้องคำนึงถึงภาษา ตลอดจนปัจจัยอื่นๆประกอบกันเพราะฉะนั้น ขอให้ทำความเข้าใจกันนิดว่า เอกสารทั้งหลายที่ผมอ้างอิงถึง เป็นเอกสาร Original ซึ่งขุดค้นพบโดยนักโบราณคดี และนักวิชาการเท่านั้น ถ้าคุณไปซื้อฉบับที่เป็นวรรณกรรมมาอ่านแล้วเนื้อหาไม่เหมือนกันจะมาโวยวายผมไม่ได้นา

เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันเสียที นักวิชาการผู้สนใจเรื่องอารยธรรมโบราณทั้งหลายแหล่ มีอยู่ส่วนหนึ่งครับ ที่ปักใจเชื่อมั่นว่า ในอดีตโลกของเรา เคยถูกครอบครองโดยสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลกมาก่อน สำหรับท่านที่เข้ามาดูเว็บไซต์นี้บ่อยๆก็คงพอจะเข้าใจแนวคิดนี้ดี อินเดียเป็นหนึ่งในแหล่งอารยธรรมใหญ่ของโลก เคยรุ่งเรืองทั้งศาสตร์และศิลป์มาตั้งแต่อดีตกาล เรารู้จักกันในนามของอารยธรรมลุ่มน้ำ คงคา-สินธุ ครับ กลุ่มชนที่อาสัยในแถบนั้นสืบเชื้อสายมาจากชาวอินโด-อารยัน อันเป็นหนึ่งในเชื้อสายใหญ่ๆของโลก ชาวอินโดอารยันในแถบนี้มีความรู้ทางภาษามากครับ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ปรัชญา วรรณกรรม จึงมีให้เห็นเกลื่อนไปหมด ทว่า มีวรรณกรรมอยู่หลายเรื่องที่เก่าแก่จนหาที่มาที่ไปไม่ได้ว่าเริ่มต้นมาจากไหน บางเรื่องเก่ากว่าต้นกำเนิดของผู้คนในแถบหิมาลายันเสียอีก มหาภารตะ คือหนึ่งในเรื่องราวเหล่านี้ครับ

จากต้นฉบับภาษาสันสกฤตโบราณที่ถูกค้นพบในอินเดียและปากีสถาน ทำให้นักโบราณคดีถึงกับอึ้งครับเมื่อพวกเขาแปลพบจารึกเหล่านี้ ร้อนถึงสภามหาวิทยาลัย และ สถาบันวิจัยของกองทัพอินเดียต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในการแปลข้อความเหล่านี้ ต้นฉบับสันสกฤตของมหาภารตะถูกค้นพบนานมากแล้วครับ เพียงแต่แรกเริ่มเดิมที ต้นฉบับเหล่านี้ถูกมองเป็นเพียงนิทานเท่านั้น แปลไปแปลมามันไม่ยักกะใช่น่ะซีครับ เพราะเนื้อหาที่กล่าวถึงมันช่างล้ำยุคล้ำสมัยเป็นที่สุด ร้อนถึงหลายๆสถาบันที่เกี่ยวข้องในยุโรปและอเมริกาต้องมาประชุมเครียดกัน เพื่อถกเถียงปัญหาเกี่ยวกับต้นฉบับดังกล่าว ผลสรุปได้ ออกมาดังนี้ครับ กลุ่มแรกเห็นว่ามันเป็นเพียง"ตำนาน"เท่านั้น ก็แค่นิทานและจินตนาการของกวี ไม่เห็นมีอะไรซักหน่อย

แต่อีกกลุ่มเค้าไม่คิดแบบนั้นน่ะซีครับ เค้าบอกว่านี่แหละคือหลักฐานแบบจะๆที่สามารถอ้างอิงได้ว่า ในอดีตมนุษย์เคยมีการติดต่อกับสิ่งทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก รวมถึงทำสงครามกันด้วยอากาศยานและเทคโนโลยีทางนิวเคลียร์มาแล้ว ว๊าว... เป็นไปได้ยังไงกัน?

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง นักโบราณคดีชาวจีนได้ค้นพบจารึกภาษาสันสกฤตในมณฑลลาซาของทิเบต ภาษาที่ใช้โบราณจนแปลลำบากมาก กลุ่มนักโบราณคดีได้ส่งจารึกชิ้นนี้ไปที่มหาวิทยาลัย Chandrigarh เพื่อขอความช่วยเหลือในการแปล ดร.Ruth Reyna หัวหน้าทีมแปลจารึกชิ้นนี้กล่าว่า เอกสารพวกนี้กล่าว ถึงวิธีการสร้างยานอวกาศครับ! เป็นยานที่ใช้โดยสารระหว่างดวงดาว มีการกล่าวถึงหลักการขับเคลื่อนของวิมานะ ด้วยกรรมวิธีที่เรียกว่า "laghima" (ลักษิมะ) ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไรกันแน่ ดร. Reyna กล่าวต่อไปว่า กลไกการขับเคลื่อนของตัวยานนั้น ตามจารึกเรียกว่า แอสตรา(Astras) สามารถที่จะนำมนุษย์ไปยังดาวดวงใดก็ได้ที่ต้องการ เหลือเชื่อดีมั๊ยล่ะครับ เอกสารโบราณของชาวภารตะเมื่อหลายพันปีก่อนเนี่ย

นอกจากนี้ เนื้อหาในจารึกยังกล่าวถึง "อันติมะ" ยานยนตร์ที่ล่องหนได้ และ "การิมะ" อากาศยานขนาดใหญ่เท่าภูเขาขนาดย่อม เหมือนนิทานดีนะครับจารึกพวกนี้ แน่นอนว่าทีแรกทีมงานแปลไม่ได้ใส่ใจจารึกพวกนี้มากนัก จนกระทั่งกองทัพสาธารณรัฐประชาชนจีนประกาศว่า จะมีการนำเอาเนื้อหาส่วนหนึ่งของจารึกนี้มาวิจัยในโครงการอวกาศของจีนด้วยนั่นแหละ ทั่วโลกจึงหันมาจับตา "นิทานโบราณ"พวกนี้อย่างจริงจัง

เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งว่า จารึกเหล่านี้ขาดหายตกหล่นไปเป็นจำนวนมาก ถึงกระนั้น นักวิชาการรวมไปถึงนักโบราณคดีก็ได้อะไรไม่น้อยจากจารึกนี้ เชื่อไหมครับว่ามีการกล่าวถึงการเดินทางสู่ดวงจันทร์ในมหากาพย์ รามายณะ อากาศยานที่พวกเขาใช้โดยสารเรียกว่า วิมานะ หรือ แอสตรา ที่เซอร์ไพรส์ยิ่งกว่านั้นก็คือมีการกล่าวถึง การทำสงครามอวกาศด้วยวิมานะด้วยครับ ระหว่างชาวอินเดียโบราณกับชาว Asvin (ขออ่านว่าอัศวินนะครับ) ด้วย ถ้าเรื่องในจารึกเป็นแค่นิทานหรือนิยาย ก็นับว่าเป็นนิยายวิทยศาสตร์เรื่องแรกของโลกที่กล่าวถึงการทำสงครามอวกาศก่อนหน้า Star Wars ของ จอร์จ ลูกัส เกือบหมื่นปีเชียวแหละคุณเอ๊ย

เพื่อเจาะลึกเรื่องวิมานะนี้ให้มากขึ้นอีก ผมขออนุญาตพาท่านย้อนยุคไปยังอาณาจักรโบราณ ซึ่งตามจารึกกล่าว่าเจริญรุ่งเรืองมาเมื่อ 15,000 ปีก่อนหน้านี้ อาณาจักรนี้ชื่อ Rama Empire ครับ ตั้งอยู่ทางเหนือของอินเดียและปากีสถาน นักโบราณคดียืนยันว่า นครเก๋ากึ๊กแห่งนี้ไม่ใช่มีแต่ในนิทานเท่านั้น หากแต่มีอยู่จริงทำนองเดียวกับทรอยและไมซีนี่ เพราะมีการขุดพบโบราณสถาน โบราณวัตถุ ตลอดไปจนจารึกอีกจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่ในบริเวณที่ตั้งของนคร ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นทะเลทรายอย่างไม่ทราบสาเหตุ ร่องรอยของอาณาจักร Rama ยังหลงเหลืออยู่ในตำนานปัจจุบัน

หลายเรื่องเช่นนครทั้งเจ็ดอันกอปรขึ้นเป็นอาณาจักร Rama นี้เรารู้กันกันตามตำนานในชื่อของ "The Seven Rishi Cities." หรือ นครของกษัตริย์ลิจฉวีนั่นเอง

นครนี้มีคงความเจริญทางเทคโนโลยีไม่แพ้ปัจจุบันทีเดียว เพราะตามจารึกกล่าวถึงความเป็นอยู่ของพลเมืองไว้อย่างพิสดารมาก พวกเขาไปไหนมาไหนกันด้วยพาหนะที่เรียกว่า Vimanas หรือ วิมานครับ ลักษณะของมันประกอบด้วยดาดฟ้าสองชั้น ตัวยานมีลักษณะกลมเหมือนโดม มีรูระบายอากาศโดยรอบ โอ.. ศิวะเทพ! ทุกท่านคิดเหมือนผมไหมครับว่า ลักษระของเจ้าวิมานะเนี่ยช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ UFOs เสียจริงๆ ยังมีอีกนะครับ วิมานะสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วยิ่งกว่าสายลม แถมยังมีเสียงเหมือนบรรเลงเครื่องดนตรีสี่ประเภทพร้อมกันอีก วิมานะมีอยู่หลายรุ่นหลายรูปแบบครับ ในจารึกยังมีคู่มือการขับวิมานะประเภทต่างๆ รวมถึงการหลักการสร้างและทำลายวิมานะของข้าศึก เดี๋ยวผมจะเอารายละเอียดให้ดูครับ

ข้อมูลเกี่ยวกับ -วิมานะ ที่มีอยู่ในจารึก

  • ความลับในการสร้างวิมานะให้แข็งแกร่ง ไม่ไหม้ไฟ และไม่ให้โดนทำลายโดยง่ายจากข้าศึก
  • กรรมวิธีขับเคลื่อนวิมานะ การหยุดกลางอากาศ การชะลอความเร็ว
  • วิธีการทำให้วิมานะ สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากฝ่ายศัตรู
  • การดักฟังคำสนทนาและเสียงอื่นๆในวิมานะฝ่ายตรงข้าม
  • การตรวจจับและอ่านทิศทางการเคลื่อนไหวของวิมานะฝ่ายศัตรู
  • กรรมวิธีทำให้ผู้ขับวิมานะของศัตรูหมดสติหรือสับสน
  • การทำลายวิมานะข้าศึกด้วยวิธีต่างๆ

 

อ่านๆดูแล้วงงเป็นไก่ตาแตกเลยครับผม ท่านจะเชื่อหรือครับว่านี่คือจารึกโบราณเมื่อหลายพันปีก่อน ถ้ามันเป็นแค่นิทาน ก็นับเป็นนิทานที่เขียนได้เป็นตุเป็นตะดีมาก เพราะมีทั้งการจารกรรม การวินาศกรรม และการขับอากาศยานแบบครบถ้วนกระบวนการเหลือเกิน สำหรับใครที่สนใจเรื่องราวแบบเต็มๆของเรื่องนี้ รายละเอียดมีอยู่ในงานแปลจารึกที่ถ่ายทอดออกมาจากต้นฉบับสันสกฤตเป็นภาษาอังกฤตครับ รู้สึกจะเป็น MAANIDASHAASTRA AERONAUTICS by Maharishi Bharadwaaja, translated into English and edited, printed and published by Mr. G. R.Josyer, Mysore, India, 1979 นี่แหละ หาอ่านกันตามสะดวกคร๊าบ

ดร. Josyer สถาบันศึกษาภาษาสันสฤษนานาชาติกล่าวว่า จากลักษณะที่ปรากฏในจารึกโบราณหลายๆชิ้น เจ้าวิมานะนี้คงจะไม่ได้เป็นเพียงตำนานเสียแล้ว เขาให้ข้อสังเกตต่อไปว่า วิมานะสามารถขึ้นลงในแนวดิ่งและแล่นไปบนท้องฟ้าได้ด้วยความเร็วสูง หากเจ้าวิมานะไม่มีกลไกบางอย่างที่สามารถต้านทานแรงดึงดูดโลกแล้วล่ะก็ มันคงใช้หลักการขับเคลื่อนแบบเดียวกับเฮลิคอปเตอร์ในปัจจุบัน คือสามารถขึ้นลงตรงๆได้โดยไม่ต้องอาศัยสนามบิน

"วิมานะไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยกฤษฎาอภินิหาร แต่มันอาศัยเชื้อเพลิงเป็นตัวขับเคลื่อนครับ เชื้อเพลิงที่ว่าเป็นของเหลวสีเหลืองออกไปทางขาว บางที่ก็ใช้ปรอทเหลวเป็นเชื้อเพลิง รู้สึกว่าผู้จารึกจะสับสนในรายละเอียดของเชื้อเพลิงอยู่มาก มันเหมือนกับว่าเขาเขียนเอาจากการสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ หรือไม่ก้อ้างอิงเอามาจากตำราสมัยก่อนเสียมากกว่า" ดร. Josyer ทิ้งท้ายไว้แบบนี้ครับ

เป็นไปได้ไหมครับว่านั่นอาจเป็นเพราะวิมานะมีหลายรุ่น มีทั้งแบบใช้เชื้อเพลิงเจ็ทและใช้ปีกหมุนแบบเอลิคอปเตอร์ คำถามนี้คงไม่มีใครตอบได้ นอกเสียจากจะตามขึ้นไปถามคนจารึกบนสวรรค์

จากส่วนหนึ่งของมาหกาพย์ มหาภารตะ มีวิมานะอยู่ประเภทหนึ่งครับมีลักษณะเป็นลูกกลมๆ ส่งเสียงดังปานฟ้าผ่า แถมยังวิ่งด้วยความเร็วสูงมาก ลักษณะเหมือน UFOs ที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันไม่มีผิดครับ เมื่อเร็วๆนี้เอง มีการแถลงการจากนักโบราณคดีรัสเซียถึงการค้นพบเครื่องยนต์ปริศนา ที่ถ้ำเล็กๆในทะเลทรายโกบี เครื่องยนต์ที่ว่าทำจากแก้วและโลหะคาดว่าต้องเป็นชิ้นส่วนของยานพาหนะสักอย่างในอดีต ในโคนซึ่งมีลักษณะคล้ายท่อไอเสียของเครื่องยนต์พบสารปรอทตกค้างอยู่เป็นจำนวนมาก เล่นเอานักโบราณคดีกลุ่มนั้นงงเป็นไก่ตาแตก เพราะนึกไม่ออกเหมือนกันว่าใครหนอ ที่มาทิ้งเครื่องยนต์อายุเกือบแปดพันปีเหล่านี้ไว้ในถ้ำเล็กๆ ในทะเลทรายที่ปราศจากผู้คนแบบนี้

น่าเสียดายครับ ที่วิมานะก็เหมือนอากาศยานที่ใช้กันในปัจจุบัน คือเน้นงานสงครามเป็นหลัก ชาวภารตะโบราณเล่าขานถึงการขับเคี่ยวในเชิงยุทธ ระหว่างพวกเขาและคู่สงครามด้วยวิมานะอย่างน่าฟัง คู่สงครามของพวกเขาเป็นมหานครที่เจริญด้วยอายธรรมเสียยิ่งกว่าพวกเขาอีก ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของ Rama Empire ไกลโพ้นออกไปกลางมหาสมุทร ชาวภารตะดบราณเรียกอาณาจักรนั้นว่าอาณาจักรของพวก Asvin และเรียกวิมานะของฝ่ายนั้นว่า Vailixi ครับ

มีอยู่บทหนึ่ง(ในหลายๆบท)ในมหภารตะที่โด่งดังมากครับ เพราะให้ภาพชัดเจนเกี่ยวกับสงครามนิวเคลียร์มาก มีการใช้ขีปนาวุธที่ "ยาวราวเจ็ดชั่วตัวคน ขับเคลื่อนด้วยเปลวไฟในตัวเอง สามารถทำลายเมืองได้ทั้งเมือง" ถล่มกันจากวิมานะ มีอยู่บทหนึ่งกล่าวว่า อาวูธของฝ่ายข้าศึกช่างร้ายแรงราวกับรวมพลังจากทั่วสากลโลกมาไว้ในตัวเอง อานุภาพการทำลายเต็มไปด้วยไฟ ควัน และคลื่นความร้อนราวกับดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกันทีละสิบดวง อาวุธนี้สามารถแปรสภาพพื้นที่รอบบริเวณได้ในพริบตา มันเผาผลาญธัญญาหารจนเกรียมวายวอดไปทั้งท้องทุ่ง ผู้คนจะผมเผ้าขาวโพลนและหลุดร่วง นกบนท้องฟ้าจะเปื้อนฝุ่นละอองสีขี้เถ้า ตกลงมาตายนับพันตัว มิช้ามินาน อาหารและเสบียงที่มีจะเป็นพิษจนหมดสิ้น วิธีการหนีรอดจากไฟบรรลัยกัลป์นี้ของทหารภารตะโบราณคือ ถอดเสื้อผ้าและชุดเกราะออก ลงไปชำระกายในน้ำครับ เพื่อมิให้ฝุ่นละอองนี้ติดตัว

จินตนาการหรือครับ? นี่เป็นเพียงจินตนาการหรือการถ่ายทอดภาพของสงครามนิวเคลียร์ให้ชนรุ่นหลังได้รับทราบ? โดยส่วนตัวแล้ว ผมเห็นด้วยกับเจ้าของหนังสือเล่มที่ผมแกะมานี้มากเลย ระเบิดและฝุ่นกัมตภาพรังสี ผลที่เกิดกับร่างกายมนุษย์ การปนเปื้อนและตกค้างของฝุ่นนิวเคลียร์ ไม่มีอะไรจะต้องสงสัยอีกแล้วว่า เมื่อนานแสนนานมาแล้ว มนุษย์ได้ทำลายล้างกันด้วยอาวุธมหาประลัยชนิดนี้มาก่อนและบันทึกเรื่องราวเอาไว้เพื่อตักเตือนอนุชนรุ่นหลังถึงพิษภัยของมัน

ในเมืองโมเฮนโจดาโร อดีตชุมชนแสนโบราณบริเวณลุ่มน้ำสินธุ มีการพบว่าโครงกระดูกในสุสานจำนวนมากที่ปนเปื้อนกัมตภาพรังสีอยู่ รวมทั้งกำแพงเมือง และภาชนะบางชิ้นที่หลอมละลายจนกลายเป็นแก้ว เนื่องจากโดน "ความร้อนที่ไม่ทราบที่มา" หลอมละลายจนกลายเป็นแบบนี้

ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าวิมานะของชาวภารตะโบราณ เกี่ยวข้องอย่างไรกับ UFOs ที่พบเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน เพราะตามจารึกแล้ว Rama Empire ล่มสลายไปหมดเนื่องจากสงครามครั้งใหญ่ครั้งนั้น ทว่านักวิชาการส่วนหนึ่งยังมีความหวังอยู่ เนื่องจากในจารึกมีการกล่าวถึงการเดินทางระหว่างดวงจันทร์กับพื้นพิภพด้วยวิมานะ มีการรบกับระหว่างชาวภารตะกับชาว Asvin บนน่านฟ้าเหนือวงโคจรดวงจันทร์ ไม่แน่นะครับ ในหลืบใดหลืบหนึ่งของดวงจันทร์ อาจมีผู้รอดตายจากสงครามครั้งนั้นเหลืออยู่ก็ได้

 

 

 

 

 


 
 
BY ขจรศักดิ์ เลาห์สัฒนะ
Hosted by www.Geocities.ws

1