ปริศนาแห่งบรรพชน

 

ปริศนาแห่งโลกยุคโบราณที่ยังไม่สามารถไขคำตอบได้ด้วยวิทยาการยุคอวกาศ

  หากอดีต... ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด

  หากอนาคต....ไม่ได้เป็นอย่างที่เราหวัง

หากในห้วงจักรวาล...มนุษย์เราไม่ได้อยู่กันตามลำพัง

อะไรจะเกิดขึ้น? 

โฮะ โฮะ โฮะ... เป็นอย่างไรครับ กระวี(มิใช่กวี)อย่างนายโซนิคเนี่ย พอจะขึ้นคำคมกับชาวบ้านเขาบ้างได้หรือเปล่า นานๆครึ้มอกครึ้มใจทีน่ะครับ กรุณาอย่าคิดมาก หากท่านต้องการจะคิดจริงๆ นายโซนิคก็มีโจทย์มาให้ท่านคิดกันเล่น ว่าโจทย์ที่เอามาให้เหล่านี้ คำตอบของมันอยู่หนไหน และเมื่อไรเราจะได้คำตอบ อ้อ คิดกันเล่นๆนะครับ อย่าซีเรียสมาก เดี๋ยวแก่ก่อนโดยไม่รู้ตัวนะเอ้อ...

โจทย์ที่ว่า เป็นปริศนาเล็กๆน้อยๆที่เอามารวมไว้ในที่เดียวกัน ฝรั่งมังค่าเค้าสงสัยกันมานมแล้วครับ โดยเฉพาะบนอินเตอร์เน็ต มีการตั้ง HP, newsgroup, ชมรมแลกเปลี่ยนทัศนคติกันอย่างเอิกเกริก พอดีผมผ่านเข้าไปเยี่ยมชม เลยถือโอกาส "ฉก" มาเป็นบรรณาการแด่นักท่องเว็บชาวไทยของเรา สิ่งละอันพันละน้อยที่ได้มานี้ ผมขอตั้งชื่อเอาไว้โก้ๆละกันนะครับว่ามันคือ "ปริศนาแห่งบรรพชน"

มีนักประวัติศาสตร์บางท่านขนานนามประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติว่า "วังวนอันมืดมน" ซึ่งก็คงไม่ผิดนักหรอกครับ เพราะต้นกำเนิดของมวลมนุษย์ ช่างเต็มไปด้วยปริศนาอันดำมืดเสียเหลือเกิน หลักฐานทางมานุษยวิทยาเอย หลักฐานทางโบราณคดี ธรณีวิทยา และอะไรต่อมิอะไรที่ค้นพบ ล้วนทำให้นักประวัติศาสตร์ฉงนฉงายว่า จริงๆแล้วตำราที่เราร่ำเรียนกันมานี่ ควรได้เวลายกเลิกและสังคายนากันเสียใหม่หรือยัง

เราต้องไม่ลืมกันนะครับว่าประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้นั้น ส่วนใหญ่แล้วเขียนด้วยมือคน เพราะฉะนั้นการบิดเบือนหรือเสริมแต่งย่อมมีความเป็นไปได้สูง การศึกษาประวัติศาสตร์จากบันทึก (ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานที่พูดได้) จึงเชื่อถือได้เพียงบางส่วน การศึกษาจากโบราณวัตถุและสิ่งอื่นๆที่ขุดค้นพบกลับจะน่าเชื่อถือกว่าซะอีก น่าเสียดายครับที่มัน"พูดไม่ได้" ไม่อย่างนั้นเราอาจจะรู้อะไรดีกว่าที่เคยๆเป็นอยู่อีกโขเลยครับ

ท่ามกลางการ"งม"และ"ควาน"หาหลักฐานของนักโบราณคดี มีหลักฐานอยู่หลายชิ้นที่ก่อให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า ในยุคของมนุษย์อย่างเรา ใช่เป็นรุ่นแรกหรือไม่ที่ก่ออารยธรรมและสร้างเทคโนโลยีขึ้นมา? ระหว่างวิวัฒนาการจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งของมนุษย์นั้นมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง? แท้ที่จริงมนุษย์เรามีกำเนิดมาจากไหน? คำถามพวกนี้ยังไม่มีใครตอบได้ 100 เปอร์เซ็นต์ และสิ่งที่ผมจะนำมาเสนอต่อไปนี้ ก็คือหนึ่งในสิ่งที่ก่อให้เกิดคำถามดังกล่าวครับ

คงจะทราบดีถึงประเด็นที่ผมชี้นำอยู่บ่อยๆเกี่ยวกับความสามารถ และเทคโนโลยีบางประการ ซึ่งบรรพบุรุษของเรานำมาใช้ คำตอบที่นักประวัติศาสตร์ให้มา บางครั้งก็ฟังดูไม่สมเหตุผลเท่าไหร่นัก ส่วนใหญ่จะโยนให้เป็นเรื่องของความเชื่อและศาสนา หนักเข้าก็แค่ระบุโป้งลงไปว่า ยังเป็นเรื่องที่หาทฤษฎีมาอธิบายไม่ได้

มีหลักฐานมากชิ้นที่ชวนให้เราคิดถึงคำว่า "วัฏสงสาร" ในพระพุทธศาสนา เพราะดูเหมือนว่า เมื่อก่อน...นานแสนนานเท่าไรไม่มีใครระบุได้ เคยมีมนุษย์ที่สร้างอารยธรรมอันสูงส่งอย่างพวกเราขึ้นมาแล้วมากรุ่น และต่างล่มสลายไปตามกาลเวลา กลายเป็นอารยธรรมที่ถูกลืมจนกระทั่งมีการทยอยขุดค้นพบในปัจจุบัน

ตอนนี้ผมจะไม่พยายามลากมนุษย์ต่างดาวเข้ามามีเอี่ยว เดี๋ยวท่านที่ไม่ค่อยจะเชื่อถือเรื่องเหล่านี้จะหาว่าผมลำเอียง รวมทั้งกดเครดิตความสามารถของบรรพชนของเรามากไป (อย่างที่ดานิเก้นเคยโดนด่าแหละครับ) มาเว้ากันตรงๆในส่วนของปริศนาเหล่านี้กันเลยครับ หลักฐานบางชิ้นน่าทึ่งมาก เพราะแสดงให้เห็นอย่างไม่ต้องกังขาว่า ในศาสตร์บางสาขานั้น มนุษย์โบราณที่เป็นบรรพชนของเราเขาเก่งกว่ารุ่นลูกรุ่นหลานเสียอีก

ปริศนาชิ้นแรกของเรา คือไหหรือแจกันที่ทำขึ้นมาจากดินครับ สามารถพบได้ทั่วไป โดยเฉพาะในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติของอิรัค ไหที่ว่ามีขนาดพอที่มนุษย์สามารถจะสอดมือลงไปได้ ดูจากรูปที่นำมาลงมันก็ไม่พิสดารเท่าไหร่หรอกครับ แต่หน้าที่ของมันนี่สิ สามารถทำได้ถึงขนาดต้องสังคายนาประวัติศาสตร์ของแถบนั้นเลยด้วยซ้ำ ถ้าเราไขปริศนาของมันกระจ่างหมด

เรียนกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกแล้ว เกี่ยวกับประวัติและการทำงานของแบตเตอร์รี่ ว่ามันถูกคิดค้นขึ้นในช่วงปี 1800 โดย Alassandro Volta ซึ่งชื่อ Volta ของเขาได้กลายเป็นหน่วย Volt ในปัจจุบัน เพื่อเป็นการยกย่องและให้เกียรตินักวิทยาศาสตร์ท่านนี้ แต่ว่านะครับ เจ้าไหแห่งแบกแดดที่เรากำลังจะพูดถึงกันนี้ ทำเอาวงการวิทยาศาสตร์ต้องกลับมาคิดใหม่เสียแล้วว่า คนคิดค้นแบตเตอร์รี่เป็นคนแรก"ในโลก"น่าจะไม่ใช่ Volta เสียแล้ว

 

คนแรกที่ศึกษาไหมหัศจรรย์ของเรา เป็นนักโบราณคดีชาวเยอรมันชื่อ Wilhelm Konig ไม่มีใครรู้เหมือนกันว่า โคนิ่งขุดพบไหเหล่านั้นด้วยตัวเอง หรือว่าไปเอามาจากที่อื่นอีกต่อ อย่างไรก็ตามนะครับ ไหที่ว่าสามารถพบเห็นกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในไซต์ขุดทางโบราณคดี สถานที่ที่ได้ชื่อว่าพบไหเหล่านี้เรียกว่า Khujut Rabu ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากกรุงแบกแดด ประเทศอิรัคนัก อ้อ โคนิ่งระบุการค้นพบของเขาในปี 1938 ครับ ไหพวกนี้มีอายุราว 2-3 พันปี ทำจากดินเหนียวปั้นหรือดินเผา ด้านบนของไหถูกปิดด้วยวัสดุประเภทน้ำมันดิน มีแท่งเหล็กสอดอยู่ด้านในซึ่งหุ้มด้วยวัสดุประเภทแผ่นทองแดงอีกต่อนึง โปรดดูแผนภาพประกอบนะครับ เห็นแล้วท่านก็คงนึกเหมือนโคนิ่งเหมือนกันว่า ลักษณะของมันคล้ายแบตเตอร์รี่มากกว่าไหธรรมดาๆ ซึ่งเขาได้ตีพิมพ์บทความของเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ในปี 1940

บทความของโคนิ่งน่าจะโด่งดังคับวงการโบราณคดี หากสงครามโลกครั้งที่สองไม่เกิดขึ้นเสียก่อน อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้สานต่อเจตนารมณ์ของเขาเกี่ยวกับการศึกษาแบตเตอร์รี่โบราณเหล่านี้ Willard F. M. Gray ชาวอเมริกันแห่ง the General Electric High Voltage Laboratory ในเมืองพิตสฟิลด์ รัฐแมสซาชูเซ็ต ได้นำแบบของไหแบตเตอร์รี่มาศึกษา เขาพบว่า แบตเตอร์รี่นี้ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีประเภทน้ำกรดเสมอไปในการให้กำเนิดพลังงานไฟฟ้า เกรย์ทดลองเอาน้ำองุ่นใส่เข้าไปในไห และพบว่า มันให้กระแสไฟฟ้าออกมาประมาณ 2 โวลต์

เนื่องจากไฟสองโวลต์นี้ถือว่ามีขนาดจิ๊บจ๊อยมาก ดังนั้นจึงมีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านที่อกโรงคัดค้านทฤษฎีแบตเตอร์รี่สามพันปีนี้ เพราะถ้ามันเป็นแบตเตอร์รี่จริงๆ ใครเล่าเป็นคนสร้างมันขึ้นมาและสร้างมาเพื่ออะไรกันแน่? Khujut Rabu ดินแดนซึ่งพบไหแบตเตอร์รี่ เคยถูกครอบครองโดยชนเผ่าโบราณชื่อ Parthians ซึ่งเป็นที่รู้กันดีในหมู่นักประวัติศาสตร์ว่า ชนเผ่านี้เก่งกาจเรื่องการรบ แต่ด้านอารยธรรมหรือเทคโนโลยี พวกเขาไม่ได้เจริญอะไรนัก นักวิจัยบางคนให้ข้อสังเกตุว่า อารยธรรมของพวกเขาไม่ได้เกิดจากการสั่งสมมาหรอกครับ แต่ได้รับการถ่ายทอด(หรือเลียนแบบ)มาจากแหล่งอื่นอีกต่อหนึ่ง ดังนั้น กลุ่มคนที่ชื่นชมเรื่องลึกลับ จึงตั้งประเด็นไปที่ใครบางคน ซึ่งอาจจะเป็นนักท่องอวกาศ ซึ่งเดินทางแวะเวียนมายังโลกในช่วงนั้นพอดี

อืมห์… เป็นข้อสังเกตที่โรแมนติคเอาการเหมือนกันนะครับ เพราะเจ้าแบตเตอร์รี่ของเราเนี่ย ก็ไม่ได้มีวัสดุอุปกรณ์อะไรที่เป็น High-Tech เลยแม้แต่นิดเดียว ส่วนประกอบทุกอย่างเป็นวัสดุพื้นๆที่ชนพื้นเมืองสามารถหาได้ตามยุคสมัยของพวกเขา ที่น่าตกใจก็คือ พวกเขารู้ได้อย่างไรเล่าครับว่า หาเอาวัสดุพวกนี้มาประกอบกันอย่างถูกวิธี แล้วเติมสารเคมีบางอย่างลงไป มันจะก่อให้เกิดไฟฟ้าได้ ถ้าแบตเตอร์รี่นี้เกิดขึ้นด้วยการค้นพบโดยบังเอิญของคนโบราณแล้วล่ะก็ มันก็เป็นความบังเอิญที่น่าประหลาดใจเอามากๆ จริงไหมครับ?

สรุปแล้วเจ้านี่มันเคยถูกใช้เป็นแบตเตอร์รี่จริงหรือเปล่าเอ่ย?

ไม่ทราบสิครับ ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่เป็นทางการเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าข้อเท็จจริงที่ออกมาคือ เจ้าไหพวกนี้ถูกสร้างขึ้นตามหลักของการทำแบตเตอร์รี่ และสามารถให้กำเนิดกระแสไฟได้จริงๆก็ตาม Dr. Arne Eggebrecht นักวิจัยชาวเยอรมัน ได้ตั้งข้อสังเกตุว่า นอกจากแบตเตอร์รี่แล้ว ดินแดนอาหรับโบราณ ยังมีวัสดุประเภท Electroplate อยู่จำนวนมาก โดยมีลักษณะเป็นแผ่นบางๆเหมือนเซลแบตเตอร์รี่ ทำด้วยเงินบ้าง ทองบ้าง ซึ่งเป็นไปได้ไหมว่า มันอาจจะถูกใช้งานบางอย่างควบคู่กันไปกับไหแบตเตอร์รี่ที่เราพูดถึงในขณะนี้ Dr. Eggebrecht ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งของต่างๆในพิพิธภัณฑ์ ถ้าเรานำมาศึกษาดีๆแล้วล่ะก็ ไม่แน่ว่าเจ้าสิ่งที่เราเคยขึ้นบัญชีว่า เป็นเครื่องประดับ หรือ โบราณวัตถุทางศาสนาเหล่านั้น อาจเป็นอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ของบรรพชนเราเสียด้วย

Arlington H. Mallery อดีตร้อยเอกแห่งราชนาวีสหรัฐรู้สึกสับสนกับสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า เขาพิจารณามันช้าๆอย่างระคนแกมทึ่ง มันเป็นแผนที่โบราณแผ่นหนึ่งซึ่งถูกค้นพบในพระราชวังของคอนสแตนติโนเบิล เมืองหลวงโบราณแห่งดินแดนตุรกีเมื่อปี 1929 ว่ากันว่ามันถูกจัดทำขึ้นใหม่จากต้นฉบับเดิมซึ่งเป็นแผนที่ที่เก่ากว่านั้นอีก โดยชาวตุรกีชื่อ Piri Ibn Haji Memmed ในราวๆปี 1513 Mallery พิเคราะห์แผนที่ Piri ซ้ำแล้วซ้ำอีก ท้ายที่สุดเขาก็ถอนหายใจด้วยความหนักอึ้งในหัว มันเป็นไปได้อย่างไรนะ อะแฮ่ม ขึ้นต้นมาแบบนิยายเลยหรือนี่เรา ก็คงจะยังงั้นแหละครับ เพราะปริศนาแห่งบรรพชนชิ้นนี้ของเรา มีความน่าทึ่งพอๆหรืออาจจะยิ่งกว่านิยายบางเรื่องด้วยซ้ำ ปริศนาชิ้นนี้เป็นแผนที่ครับ รายละเอียดหรือความเป็นมาก็ดังที่กล่าวไปแล้วในตอนต้น

ว่าแต่ทำไมแผนที่นี้มันถึงได้สร้างความงุนงงให้กับ Mallery ได้ขนาดนั้นน่ะหรือ มาติดตามกันต่อสิครับ Piri's map แผ่นนั้น แสดงภาพทางภูมิศาสตร์แบบแผนที่ธรรมดาทั่วไป แต่… มันมีเส้นรุ้งเส้นแวงที่ชัดเจน แถมเขียนขึ้นตามหลักวิชาการแผนที่สมัยใหม่ทุกประการ มันแสดงถึงพิ้นที่ของทวีปอาฟริกาใต้อย่างละเอียดละออเป็นพิเศษ รวมไปถึงทวีปอื่นๆอย่างคร่าวๆ ซึ่งนับว่าเหลือเชื่อที่สุด เพราะถูกทำขึ้นหลังจากโคลัมบัสคนเก่ง ค้นพบโลกใหม่หรือ New World เพียง 21 ปีเท่านั้น เวลาสั้นๆแค่นี้ไม่น่า หรอกครับ ที่ใครจะสำรวจจนทำแผนที่ที่แทบจะครอบคลุมโลกแบบนี้ออกมาได้

แล้วผู้จัดทำแผนที่เล่าครับ เค้าได้ทิ้งหมายเหตุอะไรเอาไว้บ้างหรือเปล่า เกี่ยวกับการทำแผนที่สุดพิศวงเกินยุคชิ้นนี้?คำตอบคือ …มีครับ Piri ทิ้งโน้ตกำกับแผนที่เอาไว้ว่า แผนที่ชิ้นนี้สร้างขึ้นตามเค้าโครงของแผนที่โบราณก่อนยุคของเขาเมื่อนานมาแล้ว เป็นไปได้อย่างไรครับเนี่ย? แผนที่ฉบับนี้ดึงดูดนักวิชาการหลายท่านเอามากๆ เนื่องจากไม่มีใครคิดได้ว่า เพราะอะไร แผนที่โลกโบราณที่ Piri ลอกมา จึงสมบูรณ์และทันสมัยราวกับแผนที่ปัจจุบัน แถมใช้หลักการแบบเดียวกัน คือเป็นแผนที่ที่ถูกสร้างขึ้นโดยกรรมวิธี"ภาพถ่ายทางอากาศ"ด้วย สมัยก่อนโคลัมบัสเค้ามีเครื่องบินใช้กันแล้วหรือ? ประหลาดไหมล่ะครับ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับ Mallery ที่สุด ไม่ใช่รายละเอียดของทวีปอาฟริกาหรอกครับ แต่เป็นส่วนที่อยู่ทางใต้สุดของแผนที่ต่างหาก มันเป็นส่วนของแผ่นดินที่มีลักษณะเหมือนทวีปแอนตาร์คติกาครับ เป็นไปได้ยังไงเนี่ย เพราะทวีปแอนตาร์คติกาเพิ่งถูกค้นพบในปี 1820 นี้เอง ยิ่งไปกว่านั้น ดินแดนบริเวณชายฝั่งทางตอนใต้ของแผนที่ยังดูคล้ายกับชายฝั่งที่เรียกกันว่า Queen Maud เอามากๆ ความประหลาดมันอยู่ตรงนี้เองครับ เพราะ Queen Maud ถูกปกคลุมด้วยแผ่นน้ำแข็งมาหลายศตวรรษแล้ว

เราไม่มีทางจะรู้รูปร่างที่แท้จริงของชายฝั่งนี้ได้หากไม่ใช้กรรมวิธีสมัยใหม่ทางภูมิศาสตร์ที่เรียกกันว่า seismographic รวมทั้งการสำรวจจากทางอากาศ แต่แผนที่ฉบับนี้ Professor Charles H. Hapgood แห่ง University of New Hampshire รู้สึกสนใจในแผนที่ตลอดจนงานวิจัยของ Mallery เอามากๆ ท่านศาสตราจารย์และลูกศิษย์ลูกหาพากันศึกษาแผนที่นี้ พร้อมทั้งแผนที่โบราณอื่นๆซึ่งอยู่ในกรณีนี้อย่างระมัดระวัง ผลการศึกษาถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ Maps of the Ancient Sea Kings เนื้อหาภายในน่าสนใจมากครับ เพราะกล่าวถึงอารยธรรมในสมัยโบราณก่อนหน้าที่จะมีการจารึกประวัติศาสตร์ขึ้นนานนม และล้วนเป็นอารยธรรมที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูงส่งทั้งสิ้น ต่อมา แหล่งอารยธรรมเหล่านั้น โดนทำลายลงด้วยเหตุผลบางประการ ผู้คนที่รอดชีวิตอยู่ต่างพลัดพรากกระจัดกระจายกัน และเทคโนโลยีที่เหลือรอดจากอารยธรรมเหล่านั้น ก็คือกำเนิดของสิ่งปริศนาหลายๆชิ้นบนโลก อย่างเช่นเจ้าแผนที่นี่แหละครับ

ข้อสรุปของทีม ศ.จ. Hapgood เป็นอย่งนี้แล แต่ยังมีนักคิดนักเขียนหลายคนที่คิดไปไกลกว่านั้น Eric Von Daniken นักเขียนเบสต์เซลเลอร์ผู้สนใจทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศอย่างฝังหัว ได้เสนอแนวคิดของเขาออกมาอย่างน่าฟังว่า แผนที่ Piri นี้น่าจะถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยความร่วมมือจากมนุษย์ต่างดาวบางกลุ่ม เพราะถ้าศึกษาอย่างดีแล้ว แผนที่นี้เป็นการทำขึ้นโดยอาศัยการประกอบภาพที่มองลงมาจากที่สูง มีกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เป็นจุดศูนย์กลาง ความสูงระดับนั้นก็น่าจะเป็นยานอวกาศแหละครับ ถึงจะสามารถทำได้

นักวิชาการหลายท่านออกโรงคัดค้านแนวคิดนี้อย่างออกนอกหน้า หาว่าดานิเก้นคิดเหลวไหลฟุ้งซ่าน แถมชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดของแผนที่ว่า แผนที่นี้มีจุดผิดจากความเป็นจริงอยู่หลายจุด เช่นแผ่นดินบางแห่ง ซึ่งในแผนที่บ่งตำแหน่งไว้ผิดจากปัจจุบัน ถ้าหาก Piri Reis map นี้ถูกสร้างมาจากอารยธรรมที่สูงส่งหรือด้วยความร่วมมือของมนุษย์ต่างดาวแล้วไซร้ ไฉนเลยจะมีข้อผิดพลาดประจานความบกพร่องออกมาได้แบบนี้

ดานิเก้นได้ฟังก็หัวเราะ หึ หึ ตอบนักวิชาการเหล่านั้นอย่างน่าฟังว่า คนทำแผนที่ก็อุตส่าห์โน้ตบอกไว้แล้วว่า นี่เป็นแผนที่ที่คัดลอกมาจากแผนที่โบราณคะเนอายุไม่ได้ เพราะฉะนั้น แผนที่ฉบับนี้"น่าจะ"ทำขึ้นเพื่อแสดงภูมิศาสตร์โลกในสมัยนานมาแล้ว ไม่ใช่ปัจจุบันอย่างเด็ดขาด ที่เป็นไปได้มากที่สุดก็น่าจะเป็นยุคก่อนยุคน้ำแข็ง หรือหลังจากนั้นอีกไม่นานนัก ที่สถานที่ต่างๆหรือทวีปบางจุดไม่ตรงกับความเป็นจริงในปัจจุบัน(คลาดเคลื่อนน้อยมากครับ) ก็น่าจะเพราะการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาน่านแหละ ท่านเอ๋ย (ดานิเก้นเค้าว่าไว้)

ต้องยอมรับว่าเข้าท่าครับ สำหรับความคิดเห็นของดานิเก้นและท่านศาสตราจารย์ของเรา เพราะปัจจุบัน ทฤษฎีการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ได้เข้ามาช่วยอธิบายความคลาดเคลื่อนของแผนที่นี้อย่างพอเหมาะพอเจาะ

อ้อ ลืมบอกไปว่าตัวอย่างของความคลาดเคลื่อนที่ว่านี้ ได้แก่ การที่ทวีปอเมริกาใต้กับแอนตาร์คติก้าอยู่ติดกัน รวมไปถึงสภาพอากาศและสิ่งมีชีวิตที่ระบุไว้ในแผนที่นั้น ผิดจากปัจจุบันโดยสิ้นเชิง ถ้าอย่างนั้นสมัยใดเล่าครับที่ภูมิศาสตร์โลกเป็นอย่างที่ระบุไว้ในแผนที่ ล้าน.. หรือว่าสองล้านปี หรือว่ามากกว่านั้นกันแน่?

เฮ้อ ส่ายหัวดิกๆกันถ้วนหน้าทั้งคนทำและคนอ่านแล้วใช่ไหมล่ะครับ เอาเป็นว่า จนกระทั่งถึงปัจจุบัน เราก็ยังไม่ทราบอยู่ดีว่า แผนที่ Piri Reis ชิ้นนี้ ถูกสร้างขึ้นจากอารยธรรมที่แตกดับไปแล้ว หรือด้วยความช่วยเหลือจากนักท่องอวกาศกันแน่ คิดไปก็ปวดหัวเปล่า เลิกคิดถึงแผนที่ปริศนาฉบับนี้กันเถอะครับ เพราะปริศนาชิ้นต่อไปที่จะทำให้ผมกับท่านปวดหัวมากขึ้น กำลังรอให้ท่านคลิกเข้าไปดูอยู่นะเนี่ย

มหาวิหารปริศนา เห็นรูปแล้วคงไม่ต้องบรรยายอะไรมากนะครับ สำหรับสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุด และยิ่งใหญ่ที่สุดเท่านี้มนุษย์รู้จักมา ก็เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินเหมือนกัน สำหรับโบราณสถานแห่ง Baalbek นี้ อายุอานามของมันย้อนหลังไปนานนมมากครับ นานชนิดที่ว่าชาวกรีกโบราณที่มาพบและสร้างเทวสถานคร่อมที่นี่เอาไว้ก็ยังไม่ทราบเลยเหมือนกัน ว่าโบราณสถานแห่งนี้มีมาตั้งแต่ตอนไหน และชาติพันธุ์ใดเป็นคนสร้าง ความใหญ่โตและน้ำหนักของมันนั้น ปัจจุบันยังไม่มีเครื่องจักรชนิดไหนจะยกได้ครับ แล้วคนโบราณเขาทำได้อย่างไร เคลื่อนย้ายมาวางได้ด้วยวิธีไหน ใครทราบก็บอกนายโซนิคเอาบุญด้วยนะครับ

ดูขนาดฐานเมื่อเทียบกับคนสิครับ...

เอาล่ะ ดูอะไรใหญ่ๆมหึมาอย่างมหาวิหารไปแล้ว ลองมาดูอะไรที่มันกระจิ๋วจ้อยแต่มีปริศนาในตัวไม่แพ้ของใหญ่ๆอย่างมหาวิหารกันดูหน่อยไหม? ภาพที่ท่านเห็นกันด้านล่างนี้ เป็นวัตถุที่ค้นพบในปี 1961 เป็นหินหนึ่งในพันๆก้อนที่นักโบราณคดีเรียกว่า Ica Stones ครับ ได้มาจากการขุดค้นที่เปรู อะฮ้า...หลายท่านคงจะอ๋อกันทันที ที่ผมพูดถึงเปรู เพราะเป็นที่ตั้งของที่ราบนาซก้าที่เต็มไปด้วยลายเส้นปริศนาไงล่ะครับ หินที่ว่าพบในบริเวณที่ไม่ไกลจากลายเส้นนาซก้าเท่าไหร่หรอกครับ ความแปลกพิศวงของเจ้าหินพวกนี้คือ มีภาพวาดของสิ่งพิลึกๆผิดยุคสมัยอยู่บนนั้น

ก็อย่างที่เห็นในภาพตัวอย่างนั่นแหละครับ รูปไดโนเสาร์เอย สิ่งบินรูปร่างประหลาดๆเอย มันเป็นไปได้อย่างไรครับที่คนโบราณจะรู้จักของพวกนี้ ดูอย่างไดโนเสาร์สิครับ มันสูญพันธุ์ก่อนหน้าที่จะมีการทำหินพวกนี้นานเป็นชาติเลย แล้วคนทำหินทราบได้อย่างไรว่า ไดโนเสาร์หน้าตาเป็นแบบนี้ แม้แต่เราเองก็เถอะครับ ถ้าไม่อาศัยการรวบรวมฟอสซิลมาปะติดปะต่อกันเป็นโครงกระดูกที่สมบูรณ์ล่ะก็ จะวาดภาพไทรเซอร์ราทอป หรือ ทีเร็กซ์ ออกมาแบบไม่ผิดเพี้ยนแบบนี้ได้หรือ แปลกดีไหมล่ะ ..หึ หึ

 

 

 

 


 
 
BY ขจรศักดิ์ เลาห์สัฒนะ
Hosted by www.Geocities.ws

1