Hunab-Ku และปฏิทินของชาวมายา

 

 

ว่ากันที่ตัวปฏิทินก่อนว่าทำไมมันจึงสำคัญและมีคนสนใจมันมากนัก...

ชาวมายา ผู้อาศัยอยู่ในดินแดนยูคาทาน ในเม็กซิโกและกัวเตมาลาในราวศตวรรษที่ 3-16 ก่อนคริสตกาล นับเป็นอีกชนชาติหนึ่งที่มีความก้าวหน้าล้ำยุคจนนักวิชาการต่างๆ พากันส่ายหน้าปวดหัวด้วยความแปลกใจเป็นอันมาก กล่าวคือ ชาวมายามีความเป็นเลิศทางด้านการคำนวณและดาราศาสตร์ สิ่งที่ชาวมายาคิดค้นได้ก็คือ ปฏิทินและการคำนวณบางประการที่ไม่น่าเชื่อว่า ชนเผ่าโบราณอันลึกลับนี้ จะสามารถทำได้ โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์สมัยใหม่อย่าพวกเราเข้าไปช่วยแม้แต่น้อย ปฏิทินของชาวมายาใช้ในระยะวงโคจร 5000 ปี (สงสัยไหมครับว่าทำไมถึงนานขนาดนั้น) และวงโคจรที่ใกล้กับปัจจุบันมากที่สุด จะจบลงในวันที่ 24 ธันวาคม ปี พ.ศ. 2554 (ซึ่งตามความเชื่อของชาวมายาก็คือ พระเจ้า ของพวกเขาจะเสด็จกลับลงมายังโลกนี้อีกครั้ง

ก่อนพูดถึงเรื่องอื่นต่อไป ผมอยากให้ทุกคนทำความเข้าใจกับระบบตัวเลขและแนวคิดของชาวมายากันนิดนึงก่อน เริ่มกันที่เลข 20 อันเป็นเลขที่ชาวมายาเค้าถือกันว่าเป็นเลขศักดิ์สิทธิ์ คนโบราณพวกนี้มีแนวคิดทางตัวเลขที่น่าสนใจมากครับ กล่าวคือ มนุษย์ในปัจจุบันนิยมใช้เลขฐานสิบเป็นหลัก โดยยืนพื้นอยู่บนนิ้วมือทั้งสิบ แต่ชาวมายากลับแตกต่างกันไปเพราะพวกเขารวมนิ้วเท้าอีกสิบเข้าไปด้วยเป็นเลขฐาน 20 พอดิบพอดี

ลองมาดูสัญลักษณ์ของชาวมายาที่นับจาก 0-20 กันดีไหมครับ? เลขศูนย์ถูกแทนด้วยสัญลักษณ์วงกลม เลขหนึ่งด้วยหนึ่งจุด เลขสองแทนด้วยจุดตามแนวนอน เลขสามด้วยจุดสามจุด เลขห้าแทนด้วยเส้นแนวขวาง เลขหกแทนด้วยจุดหนึ่งจุดเหนือเส้นแนวขวางและเป็นแบบนั้นไปตามลำดับ เลขสิบเก้าแทนด้วยจุดสี่เหลี่ยมเหนือเส้นแนวขวางสามเส้นที่ซ้อนกันขึ้นไป เลขยี่สิบแทนด้วยสัญลักษณ์คล้ายวงกลมที่มีจุดจุดหนึ่งอยู่ด้านบน ดังภาพ

อ้อ... ความสัมพันธ์อีกประการของปฏิทินของชาวมายาก็คือ หนึ่งอุยนัลหรือเดือนของพวกเขามีอยู่ 20 คิน หรือ 20 วันครับ :)

อาณาจักรมายาเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มาแต่ครั้งโบราณ ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ประเทศกัวเตมาลา ครั้งหนึ่งอาณาจักรนี้เคยคึกคักรุ่งเรืองเป็นที่สุด เมืองใหญ่ๆเช่น ติกัลหรือพาเลงกอมีประชากรร่วมแสน เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้เรื่องคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และเป็นเมืองที่มีอิทธิพลทางการค้าเป็นอย่างมาก แต่ด้วยเหตุผลกลใดหาใครทราบ เมืองยุคแรกของชาวมายาเช่นติกัลก็ได้เริ่มเสื่อมสลายทีละน้อยในช่วง ค.ศ. 200-900

นักโบราณคดีรู้สึกประหลาดใจมากกับหลักฐานที่ว่า ด้วยเหตุผลบางประการชาวมายาได้ละทิ้งเมืองอันรุ่งเรืองของพวกเขาในช่วงเวลานั้น หยุดชะงักอารยธรรมที่กำลังเติบโตทั้งหลายทั้งมวลคล้ายๆกับว่าจู่ๆพวกเขาหมดกำลังใจในชีวิตกันไปแล้ว

บางคนอาจนึกถึงการเข้ามาของชาวยุโรปว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้อารยธรรมมายาล่มสลายไป มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะซีครับ เพราะชาวยุโรปเข้ามายังโลกใหม่เมื่อราวๆศตวรรษที่ 17 ตอนนั้นอารยธรรมมายาเสื่อมสลายลงเกือบหมดแล้วเหลือเพียงชนพื้นเมืองกลุ่มเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่วคาบสมุทรยูคาทานกับเม็กซิโกตอนใต้เท่านั้น มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ชาวมายาหยุดความก้าวหน้าทางอารยธรรมลง เหมือนชนชาติที่เสียแรงกระตุ้น เพราะจู่ๆพวกเขาก็หยุดชะงักเอาเฉยๆหลังจากรุ่งเรืองด้วยอารยธรรมอันน่าพิศวงสุดขีดมาหลายศตวรรษ

อะไรที่ทำให้พวกเขาเป็นแบบนั้นครับ?

เนื่องจากเป็นเคสที่น่าสนใจจึงมีทฤษฎีว่าด้วยการล่มสลายของอารยธรรมมายาขึ้นมาเพียบ นักวิชาการบางคนเชื่อว่าเกิดจากการที่ทาสกับประชาชนลุกขึ้นมาโค่นล้มชนชั้นปกครองผู้เผด็จการ แต่ไม่น่าเป็นไปได้ครับ เพราะอารยธรรมที่รุ่งเรืองขนาดนั้น สังคมที่แข็งแกร่งขนาดนั้นไม่น่าจะมาพังพาบง่ายๆกับอีเรื่องไม่เป็นเรื่องแค่นี้ แถมไม่มีหลักฐานอะไรชี้ชัดเอาเสียเลยว่ามีการแข็งข้อแข็งเมืองเกิดขึ้นในนครรัฐของชาวมายา

การจะเข้าใจอารยธรรมมายาได้อย่างถ่องแถ้นั้นเราต้องเอาใจเราเข้าไปจับใจของชาวมายาเสียก่อนครับ เลิกคิดแบบมนุษย์ปัจจุบัน เลิกยึดติดกับความรุ่งเรืองทางวัตถุแบบอารยธรรมตะวันตก ในสายตาของมนุษย์สมัยใหม่ชาวมายาไม่ได้ต่างอะไรไปเลยจากมนุษย์ถ้ำสมัยหิน ไม่มีอะไรมากไปกว่าการสร้างปิระมิดด้วยศิลาอย่างไร้เหตุผล ไม่มีเทคโนโลยีด้านสกัดแร่หรือถลุงโลหะ ไม่มีอาวุธมากกว่ามีดและหอก นักวิชาการหลายคนมองชาวมายาเป็นอัจฉริยะผู้ไร้สติ คือทั้งๆที่พวกเขาเชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และสถาปัตยกรรมอันไร้เทียมทาน แต่กลับไม่ได้นำมาสร้างสรรค์หรือแผ่ขยายอารยธรรมแต่ประการใดเลย นักวิชาการไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมอารยธรรมที่ฟันฝ่าอุปสรรคมาจนรุ่งเรืองได้ขนาดนั้นจู่ๆกลับเสื่อมสลายลง อัจฉริยะทางดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ชาวมายาหายหัวไปไหนหมด พวกเขาส่งผ่านมรดกอะไรให้แก่ชนรุ่นหลังบ้าง ทำไมจึงทิ้งเมืองใหญ่อันโอฬารอย่าง ติกัล อักซมัล พาเลงกอ และชิตเซนอิซาเอาไว้ หลงเหลือแต่เพียงซากปรักหักพังอยู่กลางป่าดงดิบในกัวเตมาลา แล้วก็วาดภาพแกะสลัก ทำเส้นสายด้วยรหัสภาษาที่ไม่มีใครอ่านออกเอาไว้ ทิ้งให้นักโบราณคดีรุ่นหลังตีอกชกหัวกุมขมับปิ้มจะ

ทำไมครับ ทำไม...

เราคงตอบคำถามนี้ไม่ได้ตราบใดที่ไม่ขจัดปัญหาบางประการออกไปเสียก่อน ปัญหาที่ว่านี้ไม่ได้อยู่ที่ชาวมายาครับแต่อยู่ที่ทฤษฎีของพวกเรา อยู่ที่วิธีวัดความสำเร็จที่มนุษย์ปัจจุบันใช้กับชาวมายานั่นแหละ

หลายศตวรรษที่ผ่านมาจนถึทุกวันนี้ พวกเราวัดความรุ่งเรืองทางอารยธรรมของมนุษยชาติด้วยไม้บรรทัดที่ถือมาตั้งแต่สมัยเรเนอซองส์ ทุกอย่างตั้งอยู่บนพื้นฐานของเทคโนโลยีทางวัตถุ นวัตกรรมใหม่ๆอันจะนำเอาความเจริญทางวัตถุมาให้มนุษย์ ตั้งแต่ยุคเครื่องจักรไอน้ำจนถึงกระสวยอวกาศ ตั้งแต่ยุคหัวธนูจนถึงขีปนาวุธนิวเคลียร์ ตั้งแต่ยุคหลอดสูญญากาศจนถึงซิลิกอนชิป ถูกล่ะครับ ชาวมายาล้าหลังจริงๆหากจะมองในแง่นั้น

ทฤษฎีต่อไปนี้อาจจะบ้าหลุดโลกสำหรับพวกคุณ แต่ลองรับฟังไว้ดีกว่านะครับไม่เสียหายอะไรเลย ปฏิทินของชาวมายาเป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเวลาและตัวเลข ภาพด้านล่างเป็นตัวแทนวันในแต่ละเดือนของพวกเขา ซึ่งในบางครั้งจะถูกผนวกเข้ากับสัญลักษณ์ที่เรียกว่าโซลคินอันเป็นแกนตัวเลข 13 ตัว ถูกออกแบบให้อยู่ในลักษณะของแกนสอดประสาน เพื่อให้ได้มาซึ่งการประสานกันระหว่างจิตใจและแกแล็คซี่

แกนตัวเลขสอดประสานเพื่อให้ได้มาซึ่งการสอดประสานกันของแกแล็คซี่ ฮิ ฮิ... คุณฟังไม่ผิดหรอก

นักวิชาการน้อยคนนักที่จะเข้าใจเรื่องนี้ และผู้ที่เข้าใจก็ยากที่จะทำใจรับมันได้เนื่องจากค่อนข้างหลุดโลกเอาการอยู่ (แต่ผมว่าเรื่องจ้อยนะ ถ้าเทียบกับนิพพานหรือการหลุดพ้นตามแนวพระพุทธศาสนา) แนวคิดนี้ขัดแย้งกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของปรากฏการณ์ทางกายภาพ ที่นักโบราณคดีงงเป็นไก่ตาแตกกับอารยธรรมมายาเนื่องจากว่าพวกเขายากที่จะทำใจมองข้ามแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์ หันไปมองแนวคิดทางจิตใจแบบชาวมายาได้ เพราะการมองแต่หลักฐานทางวัตถุนี่แหละครับ จึงทำให้นักโบราณคดีหลายคนไม่สามารถหาคำตอบได้ว่า ทำไมชาวมายาจึงพัฒนานครรัฐได้อย่างยิ่งใหญ่ สร้างสถาปัตยกรรมโอฬาริกได้มากมาย แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าพวกเขาจะประยุกต์นำความรู้นี้ไปใช้ และพัฒนาอารยธรรมของพวกเขาไปในรูปแบบอารยธรรมของชาวตะวันตกอย่างที่ควรจะทำ เช่น การยกระดับความเป็นอยู่ พัฒนาเรื่องการขนส่ง การสื่อสาร อาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งแน่นอนครับว่า ด้วยความก้าวหน้าขนาดคำนวณปฏิทินได้เป็นล้านๆปี รอบรู้เรื่องวงโคจรของดาวพระเคราะห์ต่างๆจนถึงขั้นคำนวณปฏิทินของดาวศุกร์และดวงจันทร์ได้อย่างชาวมายานั้น การจะสร้างอารยธรรมให้ก้าวทันปัจจุบันเห็นจะไม่ใช่เรื่องยาก เพียงกินเวลาไม่กี่ร้อยปีเท่านั้นดีไม่ดีชาวมายาอาจครองยุโรปและเอเชีย จนถึงขั้นมีนครรัฐมายาแทนสหรัฐอเมริกาจอมเกเรอย่างทุกวันนี้ก็เป็นได้

เป็นไปได้นะครับ ลองย้อนดูอารยธรรมของเราสิ เมื่อ 400 ปีก่อนเรามีเทคโนโลยีทางการแพทย์ เทคโนโลยีการสื่อสารแค่ขี้ปะติ๋วเท่านั้น แล้วดูตอนนี้สิ สี่ศตวรรษหรือหนึ่งแบ็กทันต่อมา เราพัฒนามาถึงไหนกันแล้วครับ เมื่อร้อยปีก่อนเรายังเคาะโทรเลขก๊อกแก๊กกันอยู่ แต่ตอนนี้เราถึงขั้นสื่อสารแบบไร้สายได้มีโอกาสมา "เธอวางก่อนดิ... ดิ ดิ ดิ..." อย่างง่ายๆราวปาฏิหารย์ พวกเราสามารถสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในรอบ 100 ปีได้มากกว่าที่เคยทำได้ในรอบ 1000 ปีเสียด้วยซ้ำ แล้วชาวมายาล่ะครับเขาทำอะไร เขาไม่ได้ทำอะไรกับความรู้อันสูงส่งของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเป็นต้นแบบของนักการเมืองไทยในการถอยหลังลงคลอง ชาวมายาย้อนกลับไปสู่สังคมแบบพริมิทีฟเอามากๆ โดยเฉพาะตั้งแต่ประมาณ ค.ศ.83 ชาวมายาก็ได้เจริญลงๆ จนกระทั่งถึง ค.ศ. 900 หรือสิ้นสุดแบ็กทันที่ 10 อารยธรรมอันมหัศจรรย์สมชื่อมายานี้ก็ได้ถึงการเสื่อมสลายลงอย่างสมบูรณ์ คิดแล้วก็น่าเศร้า

หา? แบ็กทันคืออะไรอย่างนั้นหรือครับ?

แบ็กทันเป็นมาตรวัดเวลาของชาวมายาครับ กินเวลาราว 395 ปีของมนุษย์ปัจจุบัน แนวคิดนี้ค่อนข้างซับซ้อนแต่เชื่อว่าชาว Myth น่าจะทำความเข้าใจได้ไม่ยากเท่าไหร่

แนวคิดนี้มีอยู่ว่า ชาวมายามีวัตถุประสงค์ในการอยู่บนโลกที่แตกต่างออกไป พูดง่ายๆคือมีหลักฐานมากพอที่จะชี้ให้เห็นว่าชาวมายามีหน้าที่วางตำแหน่งโลกและระบบสุริยะ ให้สอดคล้องกับประชาคมแกแล็กซี่ที่ใหญ่กว่า โดยได้รับบัญชาจากเทพเจ้าของพวกเขาซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นนักบินอวกาศแห่งโบราณยุค พูดง่ายๆก็คืออาคันตุกะจากดาวดวงอื่นนั่นล่ะครับ ภารกิจหลักของชาวมายามีอะไรบ้างนั้นพวกเรายังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด เดาได้เพียงแต่ว่าเมื่อถึงประมาณ ค.ศ.830 หรือสิ้นสุดแบ็กทันที่เก้าชาวมายาก็ได้จากไป บางคนยังหลงเหลือทายาทไว้ที่นี่ในฐานะผู้พิทักษ์หรือการ์เดี้ยน ทิ้งรหัสของพวกเขาเอาไว้อันได้แก่โซลคินแกนตัวเลขประสานของชาวมายา เพื่อให้ได้มาซึ่งการสอดประสานแห่งห้วงจักรวาล

เอ๋... เชื่อผมด้วยหรือครับ

เนื่องจากนี่เป็นเพียงข้อสมมติฐานของนักเขียนบางคนเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเชื่อตามนะครับรับฟังเอาไว้ก็พอ อันว่าสิ่งที่ชาวมายาทิ้งไว้นั้นเป็นเรื่องท้าทายวงการวิทยาศาสตร์อย่างหนัก เราจำเป็นต้องวางแนวคิดยึดติดวัตถุในรูปแบบเดิมเอาไว้เสียก่อน แล้วลองมามองจักรวาลอย่างที่ชาวมายาเขามองกัน ยกตัวอย่างปฏิทินของชาวมายากันสักเล็กน้อย เช่นเดียวกับพวกเราครับ ชาวมายาวัดขนาดของเวลาจากเล็กไปสู่ใหญ่ จากวินาทีเป็นนาที ชั่วโมง วัน เดือน ฯลฯ อารยธรรมตะวันตกวัดเวลาตามปฏิทินเกรเกอเรียนซึ่งกินเวลา 365 วัน/ปี อันเป็นคาบเวลาที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ถัดจากปีเราก็มายืนอยู่บนเลขฐาน 10 นั่นคือ 10 ปีต่อ 1 ทศวรรษ, 10 ทศวรรษต่อ 1 ศตวรรษ, 10 ศตวรรษต่อ 1 สหัสวรรษ บลา บลา บลา...

แต่ปฏิทินของชาวมายานั้นแตกต่างออกไปเพราะตั้งอยู่บนค่าของเลข 20 เป็นหลัก 1 คินจะแทนค่าแทน 1 วัน นับตามแบบของเราคือโลกหมุนรอบตัวเองครบ 1 รอบ อุยนัลแทนค่า 1 เดือนประกอบด้วย 20 คิน ส่วนปีของมายาแทนด้วนทันอันประกอบด้วย 18 อุยนัลหรือ 360 คิน(ใกล้เคียงกับ 365 วันของพวกเรามากทีเดียวครับ) 1 คาทันของชาวมายาเทียบได้กับทศวรรษของพวกเราเพียงแต่ยาวกว่า 2 เท่า เพราะระบบเลขของพวกเขาคือฐาน 20 ดังนั้น 1 คาทันจะมีความยาวประมาณ 19.5 ปี สำหรับ 1 แบ็กทันจะยาว 20 คาทันหรือประมาณ 394.5 ปี จุดเริ่มการสร้างสรรค์ของชาวมายาตามบันทึกของพวกเขาซึ่งบันทึกเวลาได้เที่ยงตรงมากนั้นจะอยู่ประมาณ 3116 ปีก่อน ค.ศ. วงจรนี้จะกินเวลา 13 แบ็กทันของพวกเขาหรือ 5129 ปีของพวกเรา แบ็กทันที่เก้าสิ้นสุดลงราวปี ค.ศ. 830 ดังนั้นจุดสิ้นสุดของแบ็กทันที่ 13 จึงน่าจะอยู่ที่ ค.ศ. 2012 โดยประมาณครับ

เอาล่ะครับ ทีนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญล่ะว่า หนึ่งวงจรของชาวมายานั้นมีความสำคัญอย่างไร

และนี่คือปฏิทินเทียบระหว่างปฏิทินของเรากับวงจรของชาวมายาครับ

รอบแบ็คทัน
ปฏิทินมายา
ปฏิทินเกรเกอเรียน
เหตุการณ์สำคัญ
1 1.0.0.0.0 3116-2734 BC จุดเริ่มต้น
2 2.0.0.0.0 2734-2339 BC ยุคปิระมิด
3 3.0.0.0.0 2339-1944 BC ยุคล้อ
4 4.0.0.0.0 1944-1550 BC อารยธรรมอียิปต์
5 5.0.0.0.0 1550-1155 BC อารยธรรมบ้านเชียง
6 6.0.0.0.0 1155 - 761 BC สงครามม้า
7 7.0.0.0.0 761-366 BC ยุคปรัชญา
8 8.0.0.0.0 366 BC - ค.ศ. 28 ยุคเมสไซอาห์
9 9.0.0.0.0 ค.ศ. 28-422 อาณาจักรโรมัน
10 10.0.0.0.0 ค.ศ. 422-817 มายา
11 11.0.0.0.0 ค.ศ. 817-1211 สงครามครูเสด
12 12.0.0.0.0 ค.ศ. 1211-1606 ยุคล่าอาณานิคม
13 13.0.0.0.0 ค.ศ. 1606-2012~ ยุคอุตสาหกรรมใหม่
       

 

ฟู่... เป็นอันว่าเราเกือบครบรอบวงจรใหญ่ของชาวมายากันแล้วนะครับ โดยนับจากแบ็กทันแรกถึงแบ็กทันที่สิบสามตามเวลาปฏิทินของมนุษย์ยุคใหม่เรา ส่วนการอ่านปฏิทินตัวเลขของชาวมายานั้นให้อ่านแบบนี้ครับ ดูตัวเลขที่เรียกลำดับกัน 5 กลุ่ม แต่ละกลุ่มนั้นจะแทนช่วงลำดับเวลา ตามนี้

 

แบ็กทัน, คาทัน, ทัน, อุยนัล, คิน

 

คิน = 1 วัน
อุยนัล = 20 คิน
ทัน = 360 คิน
คาทัน = 20 ทัน (7200 คิน)
แบ็กทัน = 20 คาทัน (144000 คิน)

จากนั้นก็คูณตัวเลขในแต่ละช่วงเวลาออกมาเพื่อให้ได้จำนวนวันจริงๆ แล้วเอาจำนวนวันจริงๆไปบวกจุดอ้างอิงของเราคือ 3116 BC. เราก็จะได้วันที่ตามปฏิทินสากลของเราแบบเท่ากันทุกประการ

โฮะ โฮะ เป็นทฤษฎีที่หลุดโลกมาเลยใช่ไหมล่ะครับ ในข้อที่ว่าบรรพบุรุษของชาวมายาได้เดินทางจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้นมาเยือนโลกพิภพของเรา เพื่อภารกิจในการสอดประสานระหว่างโลกมนุษย์กับแกแล็กซี่อื่น คุณอาจจะกำลังบริภาษผมอยู่ในใจว่าหมอนี่ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ มีหลักฐานหรือเปล่าว่าชาวมายาเดินทางมาจากดาวเคราะห์ดวงอื่น พวกเขามาที่โลกของเราได้ยังไง นั่งเรือมาเรอะ? หลักฐานการเดินทางล่ะมีไหม ฮีธ่อ...

เอาล่ะ มีคำอยู่สองคำที่คุณต้องทำความรู้จักเอาไว้เสียนะครับ นั่นคือคำว่า ฮูแน็บ คู กับ คูซาน ซูอัม คำว่าฮูแน็บ คู หมายถึงผู้ให้การเคลื่อนไหวและมาตรวัดเดียว เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่ดำรงอยู่เหนือดวงอาทิตย์ เหนือแกนแกแล็กซี่ที่เป็นจุดกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่าง ส่วนคำหลังคือ คูซาน คูอัม ถนนสู่ท้องฟ้าที่นำไปสู่แกนแกแล็กซี่หรือฮูแน็บ คู ส่วนที่ตั้งของ ฮูแน็บ คู ตามแผนที่ดาราศาสตร์ปัจจุบันคือจุดระหว่างดาวฤกษ์สองดวงในกลุ่มดาวเซ็นทอร์ใต้ มีระห่างจากโลกของเรา 139 ปีแสง จุดเชื่อมระหว่างโลกและดาวอันไกลโพ้นของชาวมายาดวงนี้ก็คือ คูซาน ซูอัม นั่นเอง ^^

เอ้า เพ่งรูปนี้กันดีๆครับ ปากาล โวทาน ผู้นำชาวมายาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา อาณาจักรมายาคลาสสิคมีความรุ่งเรืองถึงขีดสุดในยุคการปกครองของเขา ปากาลตายในปี ค.ศ. 683 ภาพนี้คัดลอกมาจากภาพนูนแกะสลักบนฝาหินของเขาที่พบใน ค.ศ. 1952 ในอุโมงค์ฝังศพที่ตบแต่งไว้อย่างสวยงาม ในวิหารแห่งคำจารึก (Temple of inscriptions) ที่พาเลงกอในเชียพัส ประเทศเม็กซิโก นักคิดนักเขียนบางคนเรียกปากาลว่าผู้แทนแห่งแกแล็กซี่ ผู้อาศัยคูซาน ซูอัม เพื่อไปถึง ฮูแน็บ คู หลังจากที่ภารกิจของเขาลุล่วงไปแล้ว

...อ่านแล้วก็ขนลุกขนพองตามใช่ไหมล่ะครับ

ทีนี้ก็มาถึงประเด็นสำคัญอีกประเด็นว่าทำไมถึงเป็นชาวมายา ไม่ใช่อียิปต์ อินคา หรือ สุเมเรียนที่เป็นอารยชนที่ยิ่งใหญ่พอๆกัน ผมเองก็ให้คำตอบที่น่าพอใจกับทุกคนในเรื่องนี้ไม่ได้หรอกนะครับ (ขืนตอบกำปั้นทุบดินไปว่า บรรพบุรุษของแต่ละชาติมาจากดาวคนละดวงกันมีหวังเป็นโดนหัวเราะ ^^) บอกได้เพียงแต่ชาวมายาก็มีอิทธิพลไม่น้อยในอารยธรรมอื่นๆ

ยกตัวอย่างเช่น คำว่ามายาเป็นคำศาสนาฮินดูหมายถึงต้นกำเนิดของจักรวาล ในภาษาสันสกฤตเป็นคำที่เกี่ยวโยงกับสภาพจิตใจ เวทย์มนตร์คาถาและแม่ แม้แต่พระมารดาของพระพุทธองค์เองก็มีนามว่าสิริมหามายา ในภาษาอียิปต์คำว่ามาเย็ตหมายถึงระเบียบของจักรวาล ส่วนในตำนานกรีกดาวที่ส่องสว่างที่สุดในกลุ่มดาวลูกไก่และเป็นน้องคนสุดท้องก็มีนามว่ามายาขนิษฐาของเฮดีส

 

 

 


 
 
BY ขจรศักดิ์ เลาห์สัฒนะ
Hosted by www.Geocities.ws

1