อินคา อาณาจักรสุริยเทพ

 

 

อินคา เป็นอาณาจักรโบราณแห่งหนึ่ง ซึ่งซ่อนเอาความลับดำมืดเอาไว้ให้นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เค้ากุมขมับ ปวดหัวกันเล่น พวกเค้าเรียกตัวเองว่าลูกหลานแห่งสุริยเทพ มีความเคารพและศัทรธาในองค์สุริยเทพอย่างมากมายเหลือจะกล่าว เรามาดูกันนะครับว่า อาณาจักรอินคาแห่งอเมริกาใต้นี้ มีอะไรน่าสนใจบ้าง?

อินคาก็เช่นเดียวกับชาวแอ็สเท็คและมายาครับ คือเป็นอินเดียนแดงแห่งโลกใหม่ หรืออเมริกาด้วยกันทั้งนั้น แต่อินคาโชคร้ายกว่าชาวมายาตรงที่ว่า บ้านเกิดเมืองนอนและอาณาจักรของพวกเขา ถูกพวกสเปนซึ่งมีกำลังทหารเพียงหยิบมือเดียวเข้ายึดบ้านเมือง และปล้นเอาทรัพย์สินอันมั่งคั่งไปจนหมด เรื่องนี้เกิดขึ้นราวศตวรรษที่ 16 หากใครสนใจพอจะมีตำราหาอ่านได้ครับ ว่าด้วยเรื่องของ มองเตสซุมา กับ อาณาจักรอินคา สนุกนะจะบอกให้

สำหรับตรงนี้แล้ว ผมคงจะไม่เล่ารายละเอียดอันยาวยืดของอาณาจักรอินคา ให้ทุกท่านฟังจนหมดหรอกครับ กลัวจะเอียนกันเสียก่อน สิ่งที่น่าสนใจกว่าประวัติศาสตร์ของอาณาจักรอินคานี้ อยู่ตรงความลึกลับบางอย่าง ซึ่งนักประวัติศาสตร์ รวมทั้งนักวิชาการหลายคนก็ยังขบไม่แตก เรามาดูกันนะครับ ว่ามีอะไรบ้าง

จุดเริ่มต้นก็มาจากชื่อนี่แหละครับ ชาวอินคาเรียกอาณาจักรของเขาว่า อาณาจักรสุริยเทพ (King dom of the Sun) เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ ชาวอินคานับถือพระอาทิตย์ครับ และเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า พวกเขาสืบเชื้อสายมาจากสุริยเทพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กษัตริย์ชาวอินคานั้น ถือว่าเป็นหน่อเนื้อโดยตรงของพระอาทิตย์เลยทีเดียวเชียว

สำหรับกษัตริย์ชาวอินคา ทุกสิ่งทุกอย่างบนผืนแผ่นดินนี้ ถือเป็นสมบัติของพระองค์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน ป่าไม้ ราษฎร หรือทรัพยากรธรรมชาติ จากหลักฐานทางโบราณคดีที่หลงเหลืออยู่แสดงให้เห็นว่า ชนเผ่าอินคามีความเจริญทางอารยธรรมมากจนน่าสงสัย วิหารสุริยเทพของพวกเขาใหญ่โตมโหฬารเกินไป เกินหน้าเกินตาที่ชนเผ่าที่ไม่ใช่มหาอำนาจโบราณ อย่างอียิปต์ หรือ บาบิโลเนียน จะทำได้

นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า ชาวอินคา สืบเชื้อสายมาจากชาวอินโด-อารยันโบราณ ชนชาติอินคาอพยพมาตั้งหลักแหล่งในดินแดนซึ่งปัจจุบันเป็นของประเทศเปรูและโบลิเวีย เอประมาณ 1000 B.C. สิ่งที่ชาวอินคาน้อยหน้าเผ่าอื่นที่เจริญรุ่งเรืองในเวลาไล่เลี่ยกันก็คือ ชาวอินคาไม่มีตัวหนังสือเป็นของตนเอง ไม่มีศิลาจารึก หรือว่าสมุดเยื่อไม้มาบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เรื่องราวของบรรพชน ชาวอินคาอาศัยเพียงปากต่อปากเท่านั้นครับ ที่ช่วยบอกเล่าสืบต่อกันมา

ปี 1532 สมัยที่สเปนเข้ายึดอินคาได้สำเร็จ มีการบันทึกประวัติศาสตร์ของชนชาตินี้ โดยอาศัยคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ของชาวอินคา ประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ที่เราศึกษากันในเรื่องของชาวอินคา ก็ล้วนอาศัยพื้นฐานจากบันทึกของชาวสเปนทั้งนั้นครับ

มาท้าวความหลังกันนิดนึง ชาวอินคาเชื่อว่า มนุษย์คนแรกของอินคาชื่อ มันโคคาปัค ซึ่งองค์สุริยเทพผู้เป็นพระเจ้าของอินคา ทรงสร้างขึ้นบนเกาะแห่งดวงอาทิตย์ กลางทะสาบติติคาคา เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมันโคคาปัคและพี่น้องของเขาอีกเจ็ดคนขึ้นมาแล้ว พระเจ้าก็สั่งพวกเขาว่า ต้องการให้มันโคคาปัคและพี่น้อง นำเอาศิลปวิทยาการที่พระเจ้าสั่งสอนให้ ไปถ่ายทอดให้ชนเผ่าด้อยพัฒนาอื่นๆ

อารยธรรมแห่งที่ราบนาซก้า ซึ่งมีมาก่อนชาวอินคาและยังเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้

ดินแดนที่มันโคคาปัคเลือกตั้งหลักปักฐานคือบริเวณหุบเขาคุซโคครับ พวกเขาตั้งอาณาจักรและแต่งงานขยายเผ่าพันธ์กันที่นั่น มีการสร้างเทววิหารใหญ่โต เพื่อสักการะองค์สุริยเทพ ในฐานะที่ทรง ให้กำเนิด สั่งสอนวิทยาการ และหมั่นมาเยี่ยมเยียนพวกเขาอยู่เสมอ

...ว่ากันว่า สุริยเทพของชาวอินคา ทรงมีผิวขาวและเครายาวครับ

แต่ว่า ก่อนหน้าที่มันโคคาปัคและพี่น้อง จะเดินทางกันมาที่นี่ ได้มีชนเผ่าดั้งเดิมเป็นเจ้าของถิ่นอยู่แล้วหลายซับหลายซ้อน เมื่อชาวอินคามาถึง ก็อาศัยอำนาจของสุริยเทพจัดการ "กลืน" ชนเผ่าดั้งเดิมเสียหมด โดยไม่กล่าวถึงศิลปวัฒนธรรมของชนเผ่าดั้งเดิมแม้แต่น้อย กระนั้น ก็ยังมีปริศนาหลงเหลือเป็นหลักฐานปรากฏอยู่หลายอย่าง อย่าว่าแต่ชาวอินคาผู้เข้ามาครอบครองเลยครับ แม้แต่นักวิชาการสมัยใหม่เองก็เหอะ เขายังขบกันไม่แตกเลยจนถึงปัจจุบัน

มาดูกันหน่อยนะครับ ว่าอารยธรรมที่มาก่อนอินคานั้น มีอะไรบ้าง?

อารยธรรมที่เข้าใจว่า จะถูกกลืนหายไปโดยชนเผ่าอินคานั้นก็คือ

อารยธรรมนาซก้า" (Nazcz) สิ่งที่หลงเหลือให้ปรากฏอยู่ก็คือ เครื่องปั้นดินเผาเก่าแก่ กับรูปสลักใหญ่บนที่ราบนาซก้า อันเป็นรูปประหลาดที่ยังไม่มีใครอธิบายได้เต็มปากว่า มันถูกสร้างเพื่ออะไรและมีความหมายอย่างไร อารยธรรมอีกแห่งซึ่งนับว่า มีความสำคัญที่สุด ได้แก่อารยธรรมเทียฮัวนาโค(Tiahuanaco) ซึ่งมีเมืองโบราณชื่อเดียวกันนี้เจริญรุ่งเรืองมาก่อน

เมืองนี้มีความเจริญทางดาราศาสตร์มากพอ ที่จะมีการคิดทำปฏิทินและนาฬิกาแดดได้ ตัวเมืองเทียฮัวนาโคเองเต็มไปด้วยซากปรักหักพังใหญ่โต ที่ทำให้ทุกคนฉงนกันมาจนถึงทุกวันนี้ ชาวอินคาเองก็ไม่มีคำตอบสำหรับอารยธรรมนี้แต่ประการใด นอกจากตำนานโบราณของเทียฮัวนาโค ซึ่งคนเฒ่าคนแก่นำมาเล่าขานสู่ลูกหลานฟัง

ตำนานว่าไว้ว่า บรรพชนของเทียฮัวนาโค เดินทางจากดวงดาวอันแสนไกลมาสู่โลก ด้วยเรือสีทองโดยมีผู้บังคับเรือเป็นสตรีชื่อออริยานา (Orijana) นางได้รับบัญชาจากสุริยเทพให้มาทำหน้าที่มารดาแห่งพื้นปฐพี นางมีนิ้วมือเพียงสี่นิ้ว แผ่ติดกันเป็นพืดดังรูปเขียนที่ปรากฏอยู่ในซากเมืองเทียฮัวนาโค เทพมารดาออริยานา ให้กำเนิดลูกหลานทั้งหมด 70 คนไว้บนโลก หลังจากสั่งสอนศิลปวิทยาการให้ นางก็ได้เสด็จกลับไปยังดวงดาวอันแสนไกล ปล่อยให้บุตรหลานทั้งหลายครองพิภพนี้ต่อไป

สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ อาณาจักรอินคาอันมั่งคั่งด้วยทรัพยากรและทองคำ กลับต้องมาล่มสลายด้วยฝีมือของทหารสเปนเพียงหยิบมือเดียว เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า กองเรือสเปนพร้อมทหาร 130 นายและปืนใหญ่จำนวนหนึ่ง ได้เดินทางไปถึงอเมริกาใต้ในปี 1532 ชาวอินคาไม่เคยเห็นฝรั่งนี่ครับ เมื่อเห็นเลยต๊กกะใจกันยกใหญ่ กษัตริย์อินคาในสมัยนั้นครั้นได้ทราบข่าวว่า มีชนผิวขาวที่นำโดยชายเครายาวยกทัพมาประชิดเมือง ก็สำคัญผิดคิดว่าเป็นองค์สุริยเทพ กษัตริย์อินคาทรงสั่งห้ามทหารใช้กำลังและทรงนำขบวนออกต้อนรับด้วยตนเอง ช่วงนั้นอินคากำลังมีปัญหาในราชวงศ์เสียด้วย กษัตริย์อินคาหวังว่า สุริยเทพผิวขาวคงจะช่วยแก้ปัญหาให้กับพระองค์ได้

…แก้ได้จริงๆซะด้วยสิครับ 33 นาทีผ่านไป ชาวสเปนก็ใช้ปืนใหญ่แก้ปัญหาเข้าให้ พร้อมกับตบเท้าเข้าอาณาจักรอินคาอย่างผู้พิชิต…

อย่าพึ่งไปเสียดมเสียดายกับเรื่องของทหารสเปนเลยครับ มาดูกันดีกว่าว่า อาณาจักรอินคา มีเรื่องราวน่าทึ่งอะไรกันบ้าง

ชาวอินคา แม้จะเจริญมั่งคั่งไม่แพ้ชนชาติโบราณอื่นๆ แต่ชีวิตประจำวันนั้นเรียบง่ายมากครับ เรื่อยๆเอื่อยๆไม่มีเทคกะนิคใดๆน่าพิศวงเลย เครื่องทุ่นแรงอย่างง่ายที่สุดเช่น รถลาก เกวียน รถเทียมม้าก็ไม่รู้จักใช้กัน พาหนะอย่างเดียวเท่าที่ทราบคือตัว ลามา (Llama) ซึ่งเป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับอูฐ นับเป็นสัตว์เลี้ยงอย่างเดียวของชาวอินคา แปลกมั๊ยครับ ทั้งที่ไม่มีแม้แต่เครื่องมือชั้นเบสิคอย่างที่ว่ามา ชาวอินคาก็ยังมีวิหารขนาดมหึมาสร้างขึ้นจากแท่งหินแท่งเบ้อเริ่ม มีลานพื้นที่เพาะปลูกแบบขั้นบันได มีป้อมใหญ่โตบนเขามาจูปิคจู มีถนนขนาดสี่เลนยาวถึงหกพันไมล์ แถมยังมีลานบินและสนามบินเสียด้วยสิ บรรพชนชาวอินคาเค้าเอาอะไรมาสร้างครับ?

สำหรับผู้สนใจทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศคงตอบได้ทันทีแหละครับสำหรับคำถามนี้ นั่นก็คือ ความมหัศจรรย์ทั้งหลายในอาณาจักรอินคา ล้วนเกิดจากแรงบันดาลของพระเจ้าทั้งสิ้น ครับ… พระเจ้าที่สวมหมวกอวกาศ ทรงพระจรวดเป็นยานพาหนะ และเสด็จมาจากดวงดาวในฟากฟ้าอันแสนไกลนั่นแหละน่า

แปลไทยเป็นไทยอีกทีก็คือ มนุษย์ต่างดาวจากดาวเคราะห์ดวงใดดวงหนึ่งในห้องอวกาศ ได้เคยมาเยือนดินแดนในอเมริกาใต้ สั่งสอนศิลปวิทยาการ สร้างถาวรวัตถุเอาไว้เพื่อจุดมุ่งหมายบางอย่าง แล้วก็กลับคืนไปยังดวงดาวอันเป็นถิ่นกำเนิดเดิม

เคยสงสัยเรื่องเหล่านี้กันมั๊ยครับ?

คนโบราณที่เป็นชนเผ่าเล็กๆไม่ใช่มหาอำนาจทางการทหารอย่าง อียิปต์ สุเมเรีย หรือบาบิโลเนีย สามารถสร้างสรรสิ่งใหญ่โตและมีความหมายลึกลับได้อย่างไรกัน? เอากำลังข้าทาสบริวารที่ไหนมายกหินก้อนใหญ่หนักนับสิบตัน ก้อนแล้วก้อนเล่าขึ้นซ้อนกันเป็นป้อมกำแพงมโหฬาร เอาเทคนิคและแบบแปลนที่ไหนมาตัดถนนยาวกว่า 6000 ไมล์ กว้าง 7 เมตร ซึ่งถนนที่ว่ามีพร้อมทุกอย่าง ทั้งช่วงที่เป็นสะพานข้ามน้ำ ทางเบี่ยง ทางเป็นขั้นฯลฯ เอาความรู้เรื่องระบบระบายน้ำทันสมัยมาจากที่ใด และเหนือสิ่งอื่นทั้งหมด เส้นที่ลากตัดกัน ลักษณะเหมือนรันเวย์ขนาดยักษ์ กับรูปเสาอากาศมหึมานั้นทำขึ้นด้วยวัตถุประสงค์อะไร?

เอาล่ะครับ เรามาพิศกันช้าๆทีละหัวข้อดูนะครับ

มาดูอารยธรรมนาซก้ากันก่อน ภูมิประเทศแถบนี้มีทั้งที่ราบและภูเขา ซึ่งล้วนแล้วแต่ทุรกันดารและแห้งแล้งอย่างทารุณ ตรงส่วนที่ราบนั่นแหละครับ ถ้าใครได้เครื่องบิน แล้วมองลงมา จะเห็นอะไรบางอย่างรูปร่างเดาไม่ถูกอยู่บนพื้นอย่างถนัดชัดเจน

นักโบราณคดีเรียกตรงนั้นว่า "ถนนของชาวอินคา" คนละอันนะครับกับถนนหลายพันไมล์ที่พูดมาแล้วตะกี้นี้ อันนี้จะเป็น เส้นตรงตัดกันมากมาย ลักษณะเหมือนกับเส้นทางเรขาคณิต ไม่มีใครอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างน่าเชื่อเลย พอล โกซอส นักโบราณคดีผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ได้ให้ทฤษฎีว่า เส้นเรขาคณิตบนพื้นที่กว่า 30 ไมล์ ของที่ราบนนาซก้านั้น เป็นแผนที่มหึมา ชี้ตำแหน่งดวงดาวต่างๆในจักรวาล แต่ยังไม่มีใครเห็นด้วย เพราะว่าเท่าที่ดูมันเหมือนรันเวย์เสียมากกว่า

เป็นไปได้หรือไม่ว่า นี่คือรันเวย์ สำหรับจานบินของสุริยเทพ ที่เสด็จลงมาเยือนชาวอินคาเป็นครั้งเป็นคราวในสมัยก่อน

ความแปลกของรันเวย์นี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวมันหรอกครับ หากอยู่ที่การสร้างมันต่างหาก ถ้าหากชาวอินคาหรือชนสมัยก่อนอินคาสร้างขึ้นจริง เค้าจะทำกันได้อย่างไรล่ะครับ ในเมื่อเส้นเรขาคณิตนี้ ต้องใช้วิธีการสมัยใหม่ คือการบินสำรวจทางอากาศเป็นเครื่องช่วย จึงจะสามารถตัดเส้นขนานแต่ละเส้นได้ตรงเด๊ะ เป็นระยะทางยาวเหยียดขนาดนั้น

จะเป็นไปได้ไหมว่า เส้นเรขาคณิตแห่งนาซก้านี้ สร้างขึ้นโดยความควบคุมของพระเจ้า เพื่อบอกทางแก่สุริยเทพ ให้นำยานลงอย่างถูกต้องตรงจุดนี้?

ที่หน้าผาหินแดงขนาดใหญ่เหนืออ่าวพิสโค ทางใต้ของเมืองลิมาประเทศโบลิเวีย มีรูปสลักลึกลงไปในหินมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากเครื่องบินเหมือนกัน มีความสูงถึง 820 ฟุต กว้าง 12 ไมล์ รูปประหลาดนี้ นักโบราณคดีอ้อมแอ้มว่า เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาของคนโบราณ แต่ไม่ได้อธิบายว่า เจ้าของศาสนาทำขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อจำเป็นต้องใช้เทคนิคทางการบินเข้าช่วย จึงจะสร้างออกมาสำเร็จอย่างที่เห็น

ในความคิดของนักลึกลับศาสตร์ทั่วไป เค้ามองเจ้าสัญลักษณ์นี้ ไปอีกแบบนึงครับ เค้าว่ามันน่าจะเป็น สัญลักษณ์ทางอากาศยานอะไรซักอย่าง เพื่อให้ยานเหินฟ้าเห็นได้แต่ไกล ก่อนร่อนลงสู่รันเวย์ไงล่ะครับ พอจะรับฟังได้บ้างไหม เพราะว่ามันอยู่ตรงปากอ่าว และหันหน้าไปทางที่ราบนาซก้าพอดี คำถามอีกข้อหนึ่งก็คือ หากนี่เป็นรูปสัญลักษณ์ทางศาสนาจริง เหตุใดชาวอินคา จึงสร้างมันเพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจน จากทางอากาศ มากกว่าทางภาคพื้นดินล่ะครับ?

สำหรับตัวที่ราบนาซก้าเอง มีรูปเขียนหลายรูปปรากฏอยู่บนพื้นดิน พื้นหิน เป็นรูปคล้ายแมลง และสัตว์ต่างๆ แต่ก็แค่"คล้าย" เท่านั้นแหละครับ มีอยู่รูปหนึ่งที่เป็นเหมือนกับ นกแร้งคอนดอร์ขนาดใหญ่ ใหญ่ตั้ง 1,250 ฟุตแน่ะ ถ้าดูจากในรูปแล้วท่านเห็นด้วยกับผมไหมครับ ว่าเจ้าแร้งนี่น่ะ มันเหมือนแร้ง หรือ เหมือนเครื่องบินกันแน่ โรแบร์ต ชาร์รูซ์ นักคิดคนดังได้เสนอว่า รูปเหล่านี้ น่าจะเป็นฝีมือของเจ้าของลานบินนั่นแหละ ที่ถ่ายทอดเอาไว้ เพื่อเป็นโค้ดหรือสัญลักษณ์ติดต่อกับมนุษย์เรา

ข้อเท็จจริงอีกอย่าง ที่ชาร์รูซ์พยายามชี้ให้เห็นก็คือ บริเวณที่ราบนาซก้านั้น ตั้งอยู่บนเส้นรุ้งเดียวกับเมือง เทียฮัวนาโค เด๊ะ จุดที่มองเห็นที่ราบนาซก้าจากทางอากาศ ได้ชัดเจนที่สุดก็คือ ระยะกึ่งกลางระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติค กับ ทะเลสาบติติคาคา อันเป็นจุดที่ตำนานกล่าวว่า เทวีออริยานา ได้นำยานของนางมาลง เป็นไปได้มั๊ยครับว่า ดินแดนนี้ เคยเป็นฐานปฏิบัติการ หรือเป็นแหล่งพำนักชั่วคราว ของมนุษย์เผ่าพันธ์อื่น ที่มาจากดวงดาวอันไกลโพ้นมาก่อน

เมืองเทียฮัวนาโค ที่ปัจจุบันอยู่ในประเทศโบลิเวียนั้น มีสิ่งก่อสร้างและรูปสลักแปลกๆมากมายครับ บางชิ้นแปลกประหลาดเสียจนอดคิดไม่ได้ว่า มันไม่น่าจะใช่ของที่สร้างขึ้นด้วยฝีมือชาวโลก มีรูปสลักรูปหนึ่ง สูง 24 ฟุต หนัก 20 กว่าตัน ตั้งอยู่ในวิหารเก่าแก่ ของเทียฮัวนาโค ความแปลกประหลาดของรูปสลักนี้คือ รายละเอียดที่แกะสลักเอาไว้ ประณีต งดงาม และ กินความหมายซับซ้อนมาก ขัดกันเหลือเกินกับสิ่งก่อสร้างที่มันตั้งอยู่ (ก็วิหารไงครับ) ตัววิหารนั้นหยาบและบ่งบอกถึงเทคนิคแบบพื้นๆ แม้จะใหญ่โต แต่ก็บ่งบอกถึงความ "ต่างชั้น" ทางเทคนิค เมื่อเทียบกับรูปแกะสลักนั้น

มิหนำซ้ำ บนรูปสลักนั้นยังจารึกถึง วงโคจรและรายละเอียดของดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง (ซึ่งไม่ใช่โลกแน่ๆล่ะ) เวลาตามจารึกบอกว่า นี่เป็นรูปที่บอกเล่าเหตุการณ์เมื่อ 27,000 ปีก่อน …. ชาวอินคามีความรู้ย้อนหลังไปนานถึงขนาดนั้นหรือครับ?

เมืองเทียฮัวนาโค ยังเต็มไปด้วยปริศนาอีกมากมาย ทั้งที่อยู่บนเทือกเขาสูง ออกซิเยนน้อย กระนั้นเมืองโบราณแห่งนี้ ก็ยังเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้าง ซึ่งล้วนแล้วแต่ใหญ่โตอยู่เต็มไปหมด เช่น กำแพงหินหนัก 200 ตัน ที่"มุง"ด้วยหินหนัก 60 ตัน ซ้ำยังมีทางระบายน้ำอย่างประณีตทิ้งกระจายเป็นท่อนๆอยู่รอบเมือง ไอ้ทางระบายน้ำนี่แหละครับ ที่นักคอมพิวเตอร์มาเห็นเข้า เขาก็เถียงกับนักโบราณคดีใหญ่เลย เขาบอกว่ามันไม่ใช่ทางระบายน้ำ หากแต่เป็นท่อสำหรับว่างสายส่งสัญญาณตะหาก เหมือนสาย UTP ที่ใช้ในวง LAN ไงครับ แปลกดีไหม?

ยังจำเรื่องถนนของชาวอินคาได้ไหมครับ มีนักวิชาการสงสัยกันมากมายว่า ผู้สร้างถนนสายนี้ จะใช่ชาวอินคาจริงหรือไม่ เพราะต้องอาศัยความชำนาญในการตัดถนนอย่างมาก แหม.. ก็ยาวตั้ง 6000 ไมล์นี่ครับ กินพื้นที่จากเทือเขาแอนดิส ไปถึงอาร์เจนตินาและโคลัมเบียโน่นเชียว ถนนอินคาแบ่งเป็นสองช่วง ช่วงแรกเป็นสายเมน จากเทือกเขาแอนดิส ผ่านเอควาดอร์ เปรู โบลิเวีย อาร์เจนตินา ชิลี ไปสิ้นสุดที่เส้นรุ้ง 35 องศาใต้ ความยาวทั้งสิ้น 3300 ไมล์ ส่วนช่วงที่สองเป็นถนนเลียบทะเลทราย เริ่มที่เมืองธัมเบสลงไปทางตอนใต้ ผ่านทะเลทรายร้อนระอุเป็นระยะทาง 2500 ไมล์ ถนนตลอดสายกว้าง 24 ฟุต หรือราวๆ 7 เมตร มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผ่านเมืองซันตาครูซประเทศโบลิเวีย สร้างด้วยคอนกรีตดีเยี่ยมมากครับ

ก็ไม่รู้จะสร้างกันไปทำไมใช่ไหมครับ ในเมื่อชาวอินคาไม่รู้จักใช้ยานพาหนะ ไปไหนมาไหนก็ไปกับเจ้าลามาอูฐโบราณนั่นแหละ ไอ้ถนนแบบนี้ใช้กับยวดยานขนาดใหญ่และน้ำหนักมากเท่านั้นเองนะครับ ชาวอินคามีใช้ที่ไหนกัน

เป็นไปได้ไหมว่า ถนนนี้ พระเจ้าของชาวอินคามีบัญชาให้สร้าง เพื่อเป็นเส้นทางให้ยวดยานบางชนิด สามารถเดินทาง หรือ ขนส่งอะไรบางอย่าง จากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง

ท่านล่ะครับ คิดอย่างไร?

 

 

 


 
 
BY ขจรศักดิ์ เลาห์สัฒนะ
Hosted by www.Geocities.ws

1