โบราณคดีต้องห้าม (Forbiden Archelogy)

 

"เขาเป็นคนที่มีกระดูกยาวผิดปกติ แต่จากกระโหลก เขาคือมนุษย์อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่เขาจะมีไหล่ที่กว้างกว่าคนปกติ ที่มีความสูง 175 เซนติเมตร ศีรษะของเขาเป็นบริเวณหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะมันไม่มีอะไรที่แสดงให้เห็นว่า เขาเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทลิง Ape สมองของเขาจะต้องมีขนาดใหญ่เอามากๆ เพราะหน้าผากของเขาค่อนข้างสูง และคางที่ยื่นออกมาก็มีลักษณะเหมือนกับคนในยุคปัจจุบันมาก"

คำกล่าวนี้เป็นคำกล่าวของศาสตราจารย์ จอร์จิต เดบิต จากสถาบันการศึกษาในโซเวียต เขากำลังพูดถึงโครงกระดูกที่ถูกค้นพบใกล้ๆกับเมืองวลาดิเมีย โดยการสำรวจของศาสตราจารย์ อ็อตโต บาร์เดอร์ ในสถาบันเดียวกัน

โครงกระดูกดังกล่าว เป็นโครงกระดูกของชายที่มีอายุราว 50 ปี พวกเขาคาดว่าชายดังกล่าวน่าจะมีชีวิตอยู่เมื่อห้าหมื่นสองพันปีที่แล้ว โดยน่าจะมีอาชีพเป็นนายพรานล่ากวางเรนเดียร์และช้างแมมมอธในใจกลางทวีปยุโรป

ในการค้นพบครั้งนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากสภาพของกระดูกอยู่ในสภาพดี แต่ก็ดันไปขัดแย้งกับแนวคิดของนักวิชาการบางกลุ่ม ซึ่งเชื่อว่า มนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลกเมื่อห้าหมื่นกว่าปีที่แล้ว ควรจะมีลักษณะที่คล้ายกับลิงเอป หรือมนุษย์ยุคต้น มากกว่าจะมีลักษณะคล้ายมนุษย์ปัจจุบันอย่างที่เป็นอยู่ โครงการนี้ท้าทายทั้งความเชื่อทางศาสนาคริสต์ ว่าด้วยการสร้างโลกของพระเจ้า และทฤษฎีที่ว่าด้วยวิวัฒนาการของ ชาร์ล ดาร์วิน ดังนั้น ใครบางคนจึงเรียกการค้นพบทำนองนี้แบบติดตลกว่า Forbidden archeology หรือโบราณคดีต้องห้ามครับ

 

มีสิ่งที่นักวิชาการผู้ค้นพบถึงกับตาโตด้วยความงงงันด้วยนะครับ มันคือ เสื้อผ้าที่โครงกระดูกดังกล่าวสวมใส่ เพราะมีลักษณะเช่นเดียวกับเสื้อผ้าของมนุษย์ปัจจุบันสวมใส่อยู่แทบทุกประการ เครื่องแบบของโครงกระดูกโบราณท่านนี้ เป็นกางเกงขายาวสีดำ และเสื้อแจ็คเก็ตเหมือนแจ็คเก็ต ร.ป.พ. ในปัจจุบัน ตัดเย็บด้วยกรรมวิธีที่เหมือนออกมาจากโรงงานทอผ้า โดยเฉพาะกระดุมสีขาวนวลงาช้างนั้น ยังอยู่ในสภาพดีทุกเม็ดแม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมาถึงห้าหมื่นกว่าปี

แต่เรื่องเสื้อผ้าที่พบ นักโบราณคดียังไม่แปลกใจมากนัก เพราะอย่างน้อย คนทั่วโลกจำนวนมากต่างรู้จักภาพวาดมนุษย์โบราณ เมื่อราวๆหมื่นห้าพันปีที่แล้ว วาดไว้บนหินที่ถ้ำ Lascaux (ลาส์โกซ์) ประเทศฝรั่งเศส ภาพที่ผมกล่าวถึงนี้เป็นภาพของผู้ชายสวมหมวก เสื้อแจ็คเก็ต กางเกงขายาว และชุดอะไรบางอย่างที่คล้ายกับซับในของสตรี มีรูปคนอื่นๆที่บางคนก็สวมรองเท้าบู้ต บางคนสวมรองเท้าธรรมดา แปลกดีไหมครับที่มีรูปแบบนี้ในถ้ำ เพราะจากการสำรวจ บรรดามนุษย์โบราณเจ้าของรูปวาด ยังไม่รู้จักแม้แต่จะใส่เสื้อผ้าหรือสวมรองเท้าเลยด้วยซ้ำ มนุษย์ถ้ำโบราณเค้าไปเอาแบบมาจากไหนกันครับ งงไหม?

เรื่องนี้ทำให้กระแสการถกเถียงในวงการมานุษยวิทยาเริ่มมีรสชาติอีกครั้ง นั่นคือเรื่องทฤษฎีของดาร์วิน ที่ปัจจุบันเราก็ยังถกเถียงกันอยู่ไม่รู้จบ กับแนวคิดของเขาที่ว่า มนุษย์ วิวัฒนาการมาจากลิง...

ศาสตรจารย์ จีอูเซฟ มองทาเลนต์ แห่งมหาวิทยาลัย เจนเนติค ในกรุงโรมกล่าวว่า "เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการศึกษาถึงสายพันธุ์ของมนุษย์ พบว่า ลิง ape, ออสตรัลโลพิทธิคัส, พิธีคันโทรปัส, พรี-มอนสเตอร์เรียน (เหล่านี้คือชื่อสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ครับ) และมนุษย์ในปัจจุบันคือ โฮโมซาเปี้ยนนั้น นักวิชาการเชื่อว่าสายพันธุ์ที่น่าจะเป็นไปได้ตามทฤษฎีของดาร์วินที่สุดคือ มนุษย์น่าจะสืบเชื้อสายมาจาก ออสตรัลโลพิทธิคัส หรือไม่ก็ พิธิคันโทรปัส แน่นอนครับว่าการศึกษาในครั้งนี้ ยังไม่ถึงกับพลิกโฉมหน้าวงการมานุษยวิทยา แต่ก็สร้างความตื่นตัวพอสมควร เพราะไม่แน่ เราอาจจะได้พบห่วงโซ่ที่หายไปตามทฤษฎีของดาร์วิน และได้ทราบคำตอบที่พวกเราเฝ้าถามกันมานานตั้งแต่ครั้งบรรพชนว่า จริงๆแล้ว มนุษย์เรา ถือกำเนิดมาจากไหนกันแน่?

ข้อมูลที่ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ไม่รู้...

ณ บริเวณชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของทะเลสาบวิคตอเรีย บริเวณที่เรียกว่าช่องแคบโอลดูไว นักโบราณคดีได้พบข้อมูลที่ก่อให้เกิดความประหลาดใจแก่วงการอย่างมาก พวกเขาค้นพบมนุษย์ที่เรียกว่า Zinjanthopus ซึ่งยังจัดอยู่ในกลุ่มของ ออสตรัลโลพิทธิคัสอยู่ มนุษย์กลุ่มนี้รู้จักการใช้เขากวาง และกระดูกของสัตว์ใหญ่มาเป็นอาวุธ แต่พวกเขาไม่สามารถสร้างอาวุธหรือเครื่องมือชนิดอื่นๆด้วยตนเองได้ ศาสตราจารย์ มองทา เลนติ กล่าวว่า มีมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกัน ภายในระยะเวลาเดียวกัน พวกเขามีลักษณะที่ค่อนข้างเหมือนมนุษย์ในปัจจุบันมาก พวกเขารู้จักกการทำเครื่องมืออย่างหยาบๆจากก้อนดินและเศษหิน เช่นเครื่องขุด ในปี พ.ศ. 2507 มนุษย์กลุ่มนี้ได้รับการขนานนามว่า โฮโฒ อบิลิส และดูเหมือนว่า พวกเขาน่าจะเป็นมนุษย์ในกลุ่มออสตรัลโลพิทธิคัส ที่น่าแปลกก็คือ ไม่มีการพบมนุษย์กลุ่มนี้ในชั้นดินที่สูงขึ้นไปเลย ราวกับว่า จู่ๆพวกเขาก็สูญพันธุ์ไปอย่างไร้สาเหตุเสียอย่างนั้น

โฮโม อะบิลิส เป็นสิ่งมีชีวิตที่เจริญที่สุดในกลุ่มนี้ นอกจากนี้ ในชั้นดินอื่นๆ ยังมีการพบมนุษย์ที่มีลักษณะคล้ายกับมนุษย์ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์บางคนมองว่า พวกเขามีลักษณะคล้ายพิธิคันโธปัส เลยตั้งชื่อกลุ่มนี้ว่า Homo Erectus และสุดท้ายพวกเขาก็สามารถพัฒนาตนเองมาเป็น โฮโม ซาเปี้ยน หรือมนุษย์ปัจจุบันอย่างเราท่านในที่สุด

การค้นพบฟอสซิลดังกล่าว มีความสำคัญต่อวงการวิทยาศาสตร์มาก เพราะโฮโม อะบิลิส ทำให้วงการวิทยาศาสตร์สามารถมองเห็นจุดต่อ หรือ Link ที่ผิดพลาดในสายพันธุ์มนุษย์ที่พวกเขาคิดไว้แต่แรกเป็นอย่างดี หรืออย่างน้อยก็พบว่า พวกเขาเป็นสายพันธุ์ที่เหมือนกับลิง เหมือนออสตรัลโลพิทธิคัสที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์ และทั้งหลายทั้งปวงที่ผมกล่าวมา ต่างมีชีวิตอยู่ในยุคพลิโอเซเนครับ (Pliocene

ออสตรัลโลพิทธิคัส โฮโม อะบิลิส และ โฮโมแกสเตอร์ ตามลำดับครับ

ยิ่งไปกว่านั้น จากการตรวจสอบอายุดินแต่ละชั้นที่ช่องแคบโอลูไว นักโบราณคดีพบว่า ดินที่อายุมากที่สุดมีอายุประมาณห้าแสนปี ขณะที่น้อยที่สุด มีอายุเพียงสองพันปีเท่านั้น

นักวิชาการฝรั่งเศสที่ท่าทางจะเป็นสาวกดาร์วินคนหนึ่งกล่าวว่า มันไม่จำเป็นจะต้องพิสูจน์อะไรเลย มนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิงอย่างแน่นอน เพราะสายพันธุ์ระหว่างมนุษย์และลิง มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ช่ายครับ หากมองตามทฤษฎีของดาร์วินแล้ว เราจะพบว่า มนุษย์สืบทอดมาจากบรรพบุรุษหลยชั่วคน ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงของมือที่มีลักษณะคล้ายลิงนั้น ก็ค่อยๆเปลี่ยนตามการใช้งานของมันตามกาลเวลา อุปมาเหมือยีราฟ วิวัฒนาการคอของมันให้ยาวขึ้น เพื่อจะได้กินใบไม้จากกิ่งไม้ที่อยู่สูงๆได้ แต่จริงๆแล้วมันไม่เป็นอย่างนั้นสิครับ เมื่อนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันพากันค้นพบว่า มือของมนุษย์มีอายุไม่ยาวนานเหมือนสัตว์บางชนิด หากแต่มีอายุและระยะเวลาวิวัฒน์ที่น้อยมาก น้อยจนเดาไม่ออกเอาเลยว่า มันวิวัฒนาการออกมาในรูปมือของเราได้อย่างไร...

นอกจากนี้ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเองก็มีความแตกต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่น เมื่อเปรียบเทียบมือของเรากับม้า เราจะพบว่าเท้าของม้าดูหยาบ และอยู่ในยุคแรก หรือขาดการวิวัฒนาการมากกว่ามือของคนเรา และผลจากการวิวัฒนาการนั่นแหละ จึงทำให้เท้าของมันมาอยู่ในรูปที่เราเห็นอยู่ในทุกวันนี้ สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตคือ มือและขาของสัตว์ทุกชนิดรวมทั้งมนุษย์ ล้วนแต่มีวิวัฒนาการในขั้นสูงด้วยกันทั้งสิ้น ครั้นมาเปรียบเทียบดูลักษณะของฟัน นักวิทยาศาสตร์พบว่า ฟันของสัตว์เลื้อยคลานมีลักษณะพุ่งออกมาด้านนอก ฟันสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีลักษณะหุบเข้าด้านใน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวตามความจำเป็นของสัตว์แต่ละชนิด แต่มนุษย์เราซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภทหนึ่ง กลับมีฟันที่มีลักษณะตรง ไม่บิดเข้าหรืองอออกเหมือนฟันของสัตว์ชนิดอื่นๆ

วอลเตอร์ โดแมน นักมานุษยวิทยาคนสำคัญกล่าวว่า "ดาร์วิน ไม่รู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องราวบางส่วน หรือบางทีเขาอาจรู้ แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับมัน แต่การศึกษาของเขาก็ได้ช่วยให้วงการวิทยาศาสตร์ สามารถมองเห็นขั้นตอนการกำเนิดและวิวัฒนาการของมนุษย์ได้ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ดาร์วินยังได้เลือกใช้คำว่า primitive, Specialized และ Original โดยไม่ได้ตระหนักถึงความแตกต่างที่ปรากฏอยู่ตรงนี้เลย ดังจะเห็นได้จากแขนขาของพวก Primate นั้น ดาร์วินได้ใช้คำว่า ชั้นต้นมาประกอบการอธิบาย แต่จากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน เราทราบกันแล้วว่ามันจัดอยู่ในวิวัฒนาการขั้นสูงเลยทีเดียว เพราะมันมีการปรับตัวตามสภาพแวดล้อม และไม่มีทางเลยที่จะกลายมาเป็นมือที่เหมือนกับมือของมนุษย์เราในทุกวันนี้"

"สิ่งหนึ่งที่มีวามสำคัญมาก และสังเกตได้ง่ายคือ เมื่อเปรียบเทียบโครงกระดูกของมนุษย์กับโครงกระดูกของสัตว์ชนิดอื่นๆจะพบว่า โครงประกอบของมนุษย์มีแร่ธาตุเป็นส่วนประกอบที่น้อยมาก แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ องค์ประกอบของแร่ธาตุดังกล่าว จะเป็นตัวบ่ง ที่บอกถึงความแก่ชรา ยิ่งมีมากก็ยิ่งบ่งบอกว่ามีอายุมาก เมื่อมนุษย์คลอดออกมาจากครรภ์ของมารดานั้นจะพบว่า อัตราการเจริญเติบโตจะช้า และช้าเอามากๆเมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์ชนิดอื่นๆ การที่อัตราการเจริญเติบโตช้าในช่วงแรก แสดงให้เห็นว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในร่างกายเป็นพิเศษ และหากมนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิงจริง มนุษย์ก็น่าจะมีลักษณะสมบูรณ์แบบมากกว่าลิงในทุกๆด้าน และเขาควรจะเรียนรู้ และเจริญเติบโตสามารถช่วยตัวเองได้ในเวลาไม่กี่เดือน (เหมือนลิง)"

แต่อย่าลืมว่า ดินแดนในแถบอเมริกาใต้นั้น ยังมีมนุษย์หรือสัตว์คล้ายมนุษย์อีกมากมาย ที่นักมานุษยวิทยาไม่สามารถจำแนกให้เข้ากับกลุ่มอื่นๆที่วงการวิทยาศาสตร์รู้จักกันได้ "การกำจัดสิ่งมีชีวิตที่ไม่พึงประสงค์ โดยการบันดาลให้น้ำท่วมโลกของพระเจ้า ไม่สามารถกำจัดมนุษย์กลุ่มได้ไปได้หมดกระมัง เราจึงยังพบกลุ่มเล็กๆของพวกเขากระจัดกระจายกันอยู่ทั่วโลก" นี่เป็นคำติดตลกของผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่ง ซึ่งก็แฝงข้อคิดให้เราได้ฉุกใจเหมือนกัน มนุษย์มีกำเนิดมาจากไหน? จากพระเจ้าบนสวรรค์ดังที่คำสอนในศาสนาต่างๆกล่าวไว้ หรือจากพระเจ้าที่มาจากดาวดวงอื่น ตามทฤษฎีของนักวิชาการสมัยใหม่บางคน สิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นที่ค้างคาใจใครต่อหลายคน และยังไม่มีใครให้คำตอบที่แน่ชัดได้ในขณะนี้

 

 

 

 


 
 
BY ขจรศักดิ์ เลาห์สัฒนะ
Hosted by www.Geocities.ws

1