โนอาห์

 

โนอาห์กับน้ำท่วมโลก

(กำลังจัดทำ)

ปริศนาเรื่องโนอาห์

ในพระคัมภีร์ของสามศาสนาที่ยิ่งใหญ่ซึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นในดินแดนตะวันออกกลาง อันได้แก่ ศาสนาจูเดอิซึ่ม, ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม ได้ปรากฏเรื่องราวของเหตุการณ์อุทกภัย ครั้งยิ่งใหญ่ ที่ทำให้ชื่อของ “โนอาห์ (Noah)” ยังคงถูกจารึกและเป็นที่เล่าขานมาจนถึงทุก วันนี้ เรื่องราวนี้ยังคงเป็นปริศนาสำหรับชนรุ่นหลังว่า เคยมีเหตุการณ์น้ำท่วมที่รุนแรงเช่นนั้น จริงหรือไม่ ? และถ้าหากว่าคำตอบคือ จริง ข้อสงสัยต่อมาก็คงจะเป็นเรื่องที่ว่า เหตุการณ์ ์ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้น ณ ที่ใด ? ดร. โรเบิร์ต บัลลาร์ด (Dr. Robert Ballard) – ผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจใต้ท้องทะเล ซึ่งเป็นผู้ที่ได้จารึกประวัติศาสตร์การค้นพบอันยิ่งใหญ่ โดยการค้นพบซากเรือไททานิค (Titanic) ที่จมสงบนิ่งอยู่ ณ พื้นมหาสมุทรแอตแลนติก (Atlantic Ocean) ได้เดินทาง มายัง “ทะเลดำ (Black Sea)”ตามคำเชิญชวนอันแสนเย้ายวนใจของผืนน้ำที่ได้ซุกซ่อน ความลับเอาไว้อย่างมากมาย การเดินทางของ ดร. บัลลาร์ด เริ่มต้นจากความปรารถนาที่จะค้นพบซากเรือไม้โบราณ ที่ถูกเก็บรักษาฃเอาไว้อยู่อย่างสมบูรณ์ ภายใต้น้ำทะเลที่เป็นพิษด้วย “ไฮโดรเจน ซัลไฟด์ ์ (Hydrogen Sulfide)” ซึ่งไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดใดอาศัยอยู่ได้ ไม่เว้นแม้แต่ปลวกแห่ง ทะเลจอมทำลายเนื้อไม้ ซึ่งจะกัดกินทุกอย่างที่เป็นสิ่งชีวภาพ แรงปรารถนาของ ดร. บัลลาร์ด ได้ถูกจุดประกายโดยหนังสือของนักสมุทรศาสตร์ที่มีนาม ว่า“วิลลาร์ด บาสคอม (Willard Bascom)” ซึ่งได้บรรยายองค์ประกอบอันสุดแสนพิเศษ ของทะเลดำไว้ในหนังสือเล่มนั้น แต่ก่อนหน้าการเดินทางเพียงไม่นาน ความสนใจของ ดร. บัลลาร์ด ก็ถูกหันเหไปโดยหนังสือ ของสองนักธรณีวิทยาผู้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ ที่มีนามว่า “วิลเลี่ยม ไรอัน” และ “วอลเตอร์ พิทแมน” ซึ่งได้นำเสนอทฤษฎีใหม่ที่น่าสนใจเกี่ยวกับกำเนิดของทะเลดำแห่งนี้ ทฤษฎีดังกล่าวนั้นได้เสนอถึงจุดกำเนิดของทะเลดำว่า ทะเลแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยอุทกภัย ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ซึ่งผู้ที่รอดชีวิตก็ได้บอกเล่าเรื่องราวใน ครั้งนั้นสืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่น จนกระทั่งได้ถูกบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร – ซึ่ง ก็คือเรื่องราวของ โนอาห์ และเรือของเขา ไรอัน และ พิทแมน ได้สันนิษฐานถึง การเกิดน้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่ในปลายยุคน้ำแข็งสุดท้าย เมื่อราวๆ 12,000 ปีก่อน พวกเขาได้ค้นพบตำนานที่มีความคล้ายคลึงกับเรื่องราวของโนอาห์ ์อย่างน่าประหลาดซึ่งเป็นเรื่องราวที่เล่าขานกันในตะวันออกกลางก่อนที่เรื่องของโนอาห์จะถูก บันทึกไว้เมื่อ 700 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนหน้าการบันทึกตำนานเรื่องโนอาห์ราว 1 พันปี ชาวสุเมเรียน (Sumerians) ได้บันทึก มหากาพย์เรื่อง “กิลกาเมช (Gilgamesh)” และมีการบรรยายถึงอุทกภัยครั้งร้ายแรง ในเรื่อง กิลกาเมชได้พบกับผู้รอดชีวิตจากอุทกภัยครั้งใหญ่ ที่ได้รับคำเตือนจากพระผู้เป็นเจ้าว่า จะมี น้ำท่วมเกิดขึ้น, จงเร่งสร้างเรือ, ให้นำครอบครัว และฝูง!มาไว้ที่เรือ และอุทกภัยที่เกิดขึ้น อย่างกะทันหัน ตามมาด้วยฝนและลมพายุ ที่ได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ยกเว้นผู้รอดชีวิต อัน ได้แก่ครอบครัว และเรือของเขา รวมถึงเหล่าสรรพ!ที่ได้โดยสารมาบนเรือด้วย เราจะเห็นได้ถึงความคล้ายคลึงกันระหว่างเรื่องราวของ กิลกาเมช และ โนอาห์ ซึ่งต่างก็กล่าว ถึงชายที่ถูกสั่งให้สร้างเรือขนาดใหญ่ และนำ!ขึ้นไปไว้บนเรือ, อุทกภัยที่ทำลายทุกสิ่งทุก อย่างรวมไปถึงน้ำท่วมที่ปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างไปทั่วโลก แม้แต่เรื่องของการปล่อยนกพิราบ สิ่งนี้เองที่เป็นแรงดึงดูดให้ ไรอัน และ พิทแมน ให้ความสนใจกับทะเลในแถบตะวันออกกลาง

โดยครั้งนี้ได้พุ่งเป้ามาที่ ทะเลดำ ไรอัน และ พิทแมน เคยได้รับเชิญให้เข้าร่วมกับทีมนักวิทยาศาสตร์รัสเซีย ในปีคริสตศักราช 1993 ในการเดินทางไปตรวจสอบทะเลดำ ซึ่งก็ทำให้พวกเขา ได้พบสิ่งที่ยืนยันว่า ทะเลดำ ซึ่งแต่เดิมเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่มีขนาดเพียง 2 ใน 3 ของปัจจุบัน ซึ่งในยุคน้ำแข็งสุดท้าย แผ่นดินนั้นอุ่นขึ้น จึงทำให้ทะเลสาบเหือดแห้งลงไป และได้ทิ้งคราบไว้ นั่นก็คือ การพบคราบ ดังกล่าวที่ความลึกลงไป 90 เมตร, 110 เมตร และลึกที่สุดอยู่ที่ 156 เมตร ใต้ท้องทะเลดำ นอกจากนี้ เขายังพบหลักฐานการปรากฏตัวของ!น้ำเค็ม ในที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทะเลสาบ น้ำจืดอีกด้วย ผลจากการพิสูจน์นั้นแสดงออกมาว่า หอยน้ำเค็มล้วนแต่ปรากฏตัวขึ้นทุกระดับ ความลึกของทะเลดำ ในเวลาเดียวกัน ซึ่งก็คือเมื่อ 7,600 ปีก่อน จากทฤษฎีของ ไรอัน และ พิทแมน ก็ทำให้ภารกิจของ ดร. บัลลาร์ด ณ ทะเลดำแห่งนี้มีถึง 2 ภารกิจด้วยกัน นั่นก็คือ การค้นหาหลักฐานของการที่เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้ และการค้นหาซากเรือโบราณ เขาเริ่มต้นด้วยการสำรวจแนวชายฝั่งเก่าแก่ ด้วยการใช้โซน่าร์กวาดผ่านไปทั่วบริเวณ โดยม ีเป้าหมายในการค้นหารูปแบบของสิ่งก่อสร้าง โครงสร้าง หรือรั้ว และอื่นๆ ที่จะดึงดูดให้เข้า ไปค้นหาเพิ่มเติม แล้วเขาก็ได้รับสัญญาณเสียงสะท้อนโซนิก ตรวจพบวัตถุที่ก้นทะเล เขาจึงตัดสินใจหย่อน “อาร์กัส (Argus)” ซึ่งเป็นกล้องเคลื่อนที่ลงไป และ ดร. บัลลาร์ด พร้อมทั้งทีมงานก็ได้เห็น ชิ้นส่วนของไม้ที่อยู่ลึกลงไป 100 – 155 เมตร พร้อมทั้งซากของสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะที่พัก อาศัยฝีมือมนุษย์ ดร. บัลลาร์ด ไม่ได้คาดหวังที่จะพิสูจน์เรื่องราวในพระคัมภีร์ หากแต่ว่าเขากำลังตามรอย ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ทว่า ถ้าเขาสามารถแสดงให้เห็นได้ว่า ผู้คนเคยอาศัยอยู่ที่นี่ ี่มาก่อนที่จะถูกน้ำท่วม สิ่งนี้ก็จะเป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่ของเขา หลังจากการส่ง อาร์กัส ลงสู่พื้นทะเลแล้ว ดร. บัลลาร์ด ตัดสินใจส่งยานดำน้ำที่ไม่มีคนบังคับ ชื่อ “ลิตเติ้ล เฮิร์ค (Little Herc)” ลงไป เพื่อถ่ายภาพที่มีความคมชัดเป็นพิเศษ และก็อาจจะ เก็บตัวอย่างดินมาได้ด้วย สิ่งที่พวกเขาได้เห็นจากการถ่ายทอดของ ลิตเติ้ล เฮิร์ค ก็ได้เผยให้ ้เห็นถึงรายละเอียดที่ไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อน ภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างฝีมือมนุษย์ จากนั้นก็ได้เก็บเอาดิน ขึ้นมาเพื่อทำการตรวจสอบทางด้านโบราณคดี รวมทั้งซากชิ้นส่วนไม้ที่พบด้วยและความ พยายามของพวกเขาก็ประสบผลสำเร็จ เพราะผลจากการตรวจสอบดินนั้น ยืนยันแนวคิด ที่ว่า เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ถึงแม้ว่าชิ้นส่วนไม้นั้นจะเป็นของในยุคใหม่อายุราว 200 ปีก่อน

 

 

 


 
 
BY ขจรศักดิ์ เลาห์สัฒนะ
Hosted by www.Geocities.ws

1