เทพของชาวอียิปต์

 

 

ศาสนาและความเชื่อ


ชาวอียิปตื เป็นชนชาติที่เคร่งครัดศาสนาที่สุดในโลก แต่ละแห่งจะมีเทพเจ้าประจำท้องถิ่นของตน เทพเจ้าเหล่านี้มักเป็นสัตว์ หรือคนปนกับสัตว์ เมื่อโนมิสรวบรวมอียิปต์ เทพเจ้าก็มาอยู่รวมกัน อียิปต์จึงมีเทพเจ้าหลายองค์ คือ


1. รา หรือ เร ( Ra or Re ) เป็นสุริยเทพ ( Sun God ) เทพเจ้าสูงสุด

ชื่อนี้เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งอียิปต์ที่ท่านคุ้นกันดีอยู่แล้ว ราที่รู้จักกันก็คือสุริยเทพนั่นเอง แต่ก่อนที่ท่านจะโดยสารเรือทองล่องท้องฟ้าส่งแสงให้มนุษย์ เล่ากันว่า ท่านเองก็เกิดมาแต่โลกมนุษย์นี่แหละ โดยเกิดเป็นปมบ่มอยู่ในดอกบัวอันฝังเหง้าอยู่ในทะเลลึกเป็นเวลานานเกินกว่าที่จะนับได้ จวบจนกระทั่งท่านได้พัฒนาตัวเองจนสูงสุดจึงออกจากดอกบัว ขึ้นมาอยู่บนโลก

ตอนนั้น ไม่มีทั้งเทวดาและมนุษย์หน้าดำๆ อย่างเราๆท่านๆเลย รานี่แหละเป็นผู้สร้างสิ่งต่างๆขึ้น โดนสร้าง ชู (Shu) และเทฟนัต (Tafnut) ขึ้นก่อน สององค์นี่คือบรรพชนของเทพทั้งมวล โดยทรงสร้างขึ้นจากร่างของพระองค์เองทีเดียว ส่วนบรรดาเทพชั้นรองลงมาและมนุษย์พระองค์ก็สร้างจากน้ำตาของพระองค์ พวกมนุษย์ถึงได้รู้จักความเศร้ายังไงล่ะ

พวกเทพเทวาชั้นรองๆ ลงมากับทั้งมนุษย์ก็อยู่ร่วมโดลกกันมาอย่างสวัสดิภาพเป็นเวลานาน จนกระทั่งล่วงเข้าวัยชรา ทั้งมนุษย์และเทพเริ่มวางแผนชิงความเป็นใหญ่ซึ่งกันและกันและเริ่มทะเลาะเบาะแว้งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีความเกรงใจราผู้เป็นใหญ่เอาเสียเลย เข้าทำนองพ่อแม่แก่เฒ่ากลายเป็นหัวหลักหัวตอ พฤติกรรมที่แย่มากๆ ของลูกๆ หลานๆ ก็เลยทำให้ราเหน็ดเหนื่อยท้อแท้ ในที่สุดพระองค์ก็เลยตัดสินใจทอดทิ้งโลกมนุษย์ ลงเรือขึ้นไปบนฟากฟ้าและล่องไปรอบจักรวาล

แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดูดำดูดีโลกเสียเลยนะ พระองค์ยังคงสอดส่องดูและและให้ความช่วยเหลือมนุษย์อยู่ตลอดเวลา โดยพระองค์จะใช้เวลา 12 ชั่วโมงในตอนกลางวันเดินทางข้ามฟ้าจากตะวันออกสู่ตะวันตก ดวงเนตรอันใหญ่โตและแจ่มจรัสจะคอยสอดส่องช่วยเหลือกิจการต่างๆ ของมนุษย์ให้ลุล่วงไปเป็นอย่างดี แต่ใช่ว่าราจะไร้ศัตรูเสียเลยก็เปล่า มีอยู่บางโอกาสที่งูใหญ่ อาเปป (Apep) แห่งลุ่มน้ำไนล์ พยายามที่จะกลืนเรือของพระองค์ ถึงครานั้นดวงเนตรของราจะดับมืดทันควัน เกิดเป็นเสียงอึกทึกจากการต่อสู้เลื่อนลั่นอยู่ในท้องฟ้า แต่ราก็สามารถด้นหลุดมาได้ และกลับมาส่องแสงสว่างให้แก่โลกดังเดิม

พอตกค่ำ เรือทองจะพาราท่องไปในโลกใต้พื้นพิภพอีก 12 ชั่วโมง โดยจะเป็นผู้นำแสงสว่างและความอบอุ่นลงไปสู่วิญญาณที่ถูกกักขังอยู่ ณ ที่นั้น และจะกลับมาสู่ฟากฟ้าใหม่อีกในวันรุ่งขึ้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง เล่ากันว่ามีเพียงครั้งเดียวในอดีตกาลที่ผ่านมาเนิ่นนานที่ราทอดทิ้งเรือทองของพระองค์ ตอนนั้นฟาโรห์แห่งอียิปต์ทำพิธีเสกสมรสกับมเหสีองค์ใหม่ ราลงมาร่วมภิรมย์กับนางเพื่อให้นางตั้งครรภ์และมีบุตรเป็นต้นวงศ์ของฟาโรห์ที่เป็นเชื้อสายแห่งราโดยแท้…


2. โอซิริส ( Osiris ) เป็นเทพเจ้าชั้นสูง จนได้ชื่อว่า เป็นเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์แห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ เนื่องจากแม่น้ำไนล์ไหลหลากมาก ช่วยให้พืชพันธุ์ริมฝั่ง จึงอุดมสมบูรณ์ กลับคืนสู่ดินแดนเหล่านี้ โอซิริส ถูกเซท ( Seth ) น้องชายฆ่าตาย ร่างกายถูกสับออกเป็นชิ้น ๆ แล้วโยนลงแม่น้ำไนล์ ไอซิส มเหสีของโอซิริส ได้เก็บเอาชิ้นส่วนของศพที่ลอยน้ำ มาชุบชีวิตขึ้นใหม่ การฟื้นขึ้นใหม่เปรียบกับพืชพันธุ์ริมแม่น้ำไนล์ ที่ล้มตายสูญหาย ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก ปรากฏการณ์นี้ ทำให้ชาวอียิปต์ เชื่อในเรื่อง การเกิดใหม่ เป็นแรงผลักดัน ทำให้มีการสร้างมัมมี่ และปิรามิด โอซิริส ยังเป็นเทพเจ้าที่ทรงคุณงามความดี และยุติธรรม จึงเป็นตุลาการแห่งโลกหน้า วิญญาณของผู้ตาย จะต้องไปเฝ้า เทพโอซิริส เพื่อตัดสินที่จะไปเกิดใหม่ โอซิริส เป็นภาษาพื้นเมือง หมายถึง คนที่ตายไปแล้ว
3. ไอซิส ( Isis ) เป็นมเหสี และน้องสาวของโอซิริส มีรูปโฉมงดงาม ไอซิสถูกเทพเจ้าโฮรัสตัดศีรษะ แล้วเอาหัววัวมาใส่แทน เนื่องจากแม่น้ำไนล์ เมื่อน้ำหลากจะไหลมาโดยไม่มีฝนตก เชื่อว่า เป็นน้ำตาของเทพีไอซิส ร้องไห้ที่สามีถูกเซทน้องชายฆ่าตาย และเทพไอซิส ได้ชื่อว่าเป็นเทพีแห่งพืชพันธุ์ธัญญาหาร และความสมบูรณ์
4. เซท ( Seth ) เทพเจ้าประจำอียิปต์บน ผู้ประหารโอซิริส ภายหลังถูกทำร้ายจนตาบอด หมายถึง ความจงเกลียดจงชัง ทำให้ตาบอดมืดมัวมองไม่เห็น เป็นตัวแทน ความมืดของพายุร้ายกลางทะเลทราย
5. โฮรัส ( Horus ) เป็นโอรสของโอซิริส และไอซิส มีศีรษะเป็นเหยี่ยว ถือเครื่องหมายของชีวิต
6. อนูบิส ( Anubis ) เดิมเป็นเทพเจ้าผู้ดูแลซากศพ ต่อมาเป็นเทพเจ้าแห่งโลกหน้า เป็นผู้นำเอาหัวใจ ( วิญญาณ ) ของผู้ตาย ขึ้นตราชูชั่งน้ำหนักกับขนนก เพื่อวัดว่าผู้นั้นทำบุญ และบาป มากน้อยเพียงใด เทพเจ้าอนูบิสมีศีรษะเป็นสุนัข
7. ฮาเธอร์ ( Hathor ) เทพีแห่งความรัก และการเกิดของเด็ก มีสัญลักษณ์เป็นวัวตัวเมีย เป็นเทพีผู้ให้น้ำนมเลี้ยงโฮรัส มีลักษณะคือ หัว และ ตัวเป็นมนุษย์ แต่มีสัญลักษณ์เป็นเขาวัว อยู่บนศีรษะ
8. พตาห์ ( Ptah ) เทพเจ้าประจำเมืองเมมฟิส เป็นเทพเจ้าแห่งศิลปะ และการช่าง
9. แอมมอน ( Ammon ) เทพเจ้าประจำเมืองธีบิส มีสัญลักษณ์ได้หลายอย่าง เช่น แกะ แพะ งู ฯลฯ
10. คนูม ( Khnum ) เทพเจ้าแห่งการสร้างสรรค์ ผู้ให้กำเนิดโลก และพื้นน้ำ มีศีรษะเป็นแกะ
11. เนคเบท ( Nekhbet ) เทพีผู้คุ้มครองฟาโรห์ ประจำอียิปต์บน มีสัญลักษณ์เป็นแร้ง

 

ตำนานเรื่อง เทพรา พิโรธ ตรัสเรียก เทพีเสคเมต

ก่อนที่ดินแดนไอยคุปต์จะผุดขึ้นจากผืนน้ำอันเป็นการเริ่มต้นของกำเนิดโลก รา เทพเจ้าผู้มีรัศมีรุ่งเรือง ทรงถือกำเนิดขึ้นและทรงไว้ด้วยฤทธานุภาพสูงสุด

ในทันใดที่เทพ รา ตรัสว่า "ข้าคือ เคเปรา (Khepera) ในยามรุ่งอรุณ คือ รา (Ra) ในยามเที่ยง และ ทุม (Tum) ในยามสายัณห์ " พระองค์ทรงปรากฎร่างเป็นดวงสุริยาที่ขึ้นสู่ท้องฟ้าจากทิศตะวันออก บทจรข้ามท้องฟ้าและลับหายไปทางทิศตะวันตก ในวันแรกของการให้กำเนิดโลก

เมื่อพระองค์ขนานนาม ชู (Shu) สายลมก็พัด สายฝนโปรายปรายเมื่อพระองค์เอ่ยนาม เตฟนุต (Tefnut) แล้วพระองค์ก็ทรงเอ่ยนาม เกบ (Geb) ทำให้เกิดแผ่นดินโผล่ขึ้นจากทะเล และทรงเอ่ยออกมาว่า นุต (Nut) ก็บังเกิดร่างของเทวีแห่งท้องฟ้าที่หยัดพระบาทไว้ที่ขอบฟ้าด้านหนึ่ง พร้อมวางพระหัตถ์ยังขอบฟ้าอีกด้านหนึ่ง และเมื่อทรงเอ่นนาม ฮาปิ (Hapi) ก็เกิดแม่น้ำไนล์ไหลผ่านดินแดนไอยคุปต์เพื่อให้ความอุดมสมบูรณ์

ต่อจากนั้นเทพราจึงทรงสร้างสรรพสิ่งจากพระสาโท (เหงื่อ) และน้ำพระเนตร (น้ำตา) ที่ไหลมาจากดวงตาแห่งรา สิ่งสุดท้ายที่พระองค์สร้างคือ มนุษย์ชายและหญิงนั้นก็ได้ให้กำเนิดประชาชนที่พำนักอาศัยทั่วไปบนแผ่นดินไอยคุปต์ แล้วเทพราก็ทรงกลายร่างเป็นมนุษย์ และทรงขึ้นครองบัลลังค์เป็นฟาโรห์องค์แรกของไอยคุปต์ ทรงปกครองโลกที่พระองค์สร้างขึ้นมาอย่างรุ่งโรจน์สถาพร ทั้งสงบสุขและมั่งคั่ง

ในยุคสมัยของเทพ รา แม่น้ำไนล์หลากท่วมท้องนาและลดลงสู่ระดับเดิมทุกปี โดยทิ้งโคลนตะกอนหนาเคลือบผิวดินที่ทำให้ผลผลิตงอกงาม ไม่มีปีใดที่แห้งแล้งเพราะแม่น้ำไนล์หลากน้อยเกินไป หรือท่วมมากหรือนนเกินไป นั่นถือเป็นยุคทองของไอยคุปต์

แต่เนื่องจากข้อบัญญัติที่กำหนดไว้ว่า ไม่มีมนุษย์คนใดจะมีชีวิตอยู่ได้ชั่วนิรันดร และ รา ก็ทรงเนรมิตให้พระองค์เองกลายเป็นมนุษย์เพื่อปกครองไอยคุปต์ พระองค์จึงต้องดำเนินตามวิถีวัฏสังขารเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป เมื่อทรงชรา พระอัฐิ (กระดูก) ดูเป็นแท่งเงิน พระวรกาย (ร่างกาย) เหมือนทองคำ และพระเกศา (ผม) เป็นสีดอกเลา พระองค์ไม่สามารถปกครองผู้คนในไอยคุปต์ได้ดีเช่นเดิม ไม่อาจรบกับ อาโปฟิส มังกรแห่งความชั่วร้ายที่เติบโตขึ้นมาจากละอองปีศาจในความมืดยามราตรี ซึ่งทุกสิ่งที่ดีงามที่สดใสและได้รับจุมพิตจากดวงอาทิตย์ จะถูก อาโปฟิส คอยค้นหาและกลืนกิน


ในขณะนั้นปีศาจแห่งอาโปฟิสก็เข้าครอบงำขวัญวิญญาณของคนในไอยคุปต์และทำให้คนเหล่านั้นเป็นกบฎต่อ รา ทำในสิ่งที่ชั่วร้ายและเคารพบูชามังกรแห่งความมืดแทนการเคารพบูชาดวงเนตรแห่งทิวาและราตรีกาล

รา จึงตรัสว่า "นุน ผู้มีอาวุโสสูงสุดของทุกสิ่งและผองเทพที่ข้าเรียกให้มีชีวิต จงดูเถิด มนุษยชาติที่ข้าสร้างในชั่วเวลาวูบเดียว ข้ให้พวกเขาเกิดมาบนโลก และเป็นบริวารของข้า ทั้งยามเป็นและยามตาย ต่อมาบัดนี้ พวกเขากับวางแผนจะล้มล้างข้า ทำแต่สิ่งที่ชั่วร้าย ทำสิ่งที่เลวทรามในสายตาข้าไปจนถึงไอยคุปต์ตอนบน จงบอกข้าสิว่า ข้าควรเผาพวกมันด้วยเปลวเพลิงจากดวงตาของข้าได้แล้วใช่ไหม?"

นุน กล่าวทูลแทนคณะเทพว่า "รา ผู้ยิ่งใหญ่เหนือข้า พระองค์นั้นทรงฤทธานุภาพย่งกว่าเทพทุกองค์ที่พระองค์สร้างขึ้น หากพระองค์ใช้กำลังเพลิงจากดวงพระเนตรสุริยา ประหารชีวิตมนุษย์ ดินแดนไอยคุปต์ทั้งหมดจะกลายเป็นทะเลทราย ดังนั้น โปรดเนรมิตสิ่งที่จู่โจมทำลายแต่เพียงมนุษย์ชาย-หญิงที่ชั่วร้าย โดยไม่ทำลายต่อสิ่งที่ดีงามเถิด พระเจ้าข้า"

รา จึงตัดสินพระทัยว่า "แทนการใช้เพลิงจากดวงตาเผาพลาญ ข้าจะส่ง เสคเมต (Sekhmet) ไปกำจัดมนุษย์"

ขณะที่ รา ตรัสถึงชื่อ 'เสคเมต' สิ่งนั้นก็บังเกิดขึ้นทันทีในรูปของนางสิงห์ร่างขนาดยักษ์ นางพุ่งตรงไปยังไอยคุปต์ตอนบน ขย้ำและกัดกินมนุษย์เป็นอาหารจนแม่น้ำไนล์แดงฉานไปด้วยโลหิตและพื้นดินริมฝั่งแม่น้ำกลายเป็นโคลนเหนียวสีแดง

ในเวลาไม่นาน มนุษย์ชั่วช้าส่วนใหญ่ก็ถูก เสคเมต สังหารจนหมด บรรดาคนที่เหลือก็ขอร้องให้ รา ทรงอภัยโทษ และ รา ก็ทรงโปรดให้ไว้ชีวิตพวกเขาด้วยพระองค์ไม่ปรารถนาจะล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด เพราะพระองค์จะต้องกลายเป็นผู้ครอบครองโลกที่อ้างว้างและไม่มีมนุษย์คอยรับใช้

แต่ เสคเมต เกิดติดใจในรสเลือดของมนุษย์ นางจึงไม่ยอมที่จะหยุดล่าสังหาร ทุกๆวันนางสิงห์จะท่องไปทั่วดินแดนไอยคุปต์และฆ่าทุกคนที่พบเห็น ยามกลางคืนนางจะซ่อนตัวอยู่ในแนวก้อนหินริมทะเลทราย รอคอยให้ดวงอาทิตย์ขึ้นและเริ่มออกล่าอีกครั้ง

รา จึงตรัสว่า "กลอุบายเท่านั้นที่จะสามารถหน่วงเหนี่ยว เสคเมต ได้ หากข้าทำได้และช่วยให้มนุษย์พ้นจากเขี้ยวอันคมกริบและอุ้งมือของนางสำเร็จ ข้าจะมอบอำนาจอันยิ่งใหญ่กว่าเดิมและเหนือมนุษย์ให้นาง เพื่อให้นางมีใจยินดีและไม่รู้สึกด้อยเกียรติว่าถูกทอนอำนาจ"

ดังนั้น รา จึงทรงเรียกผู้เดินสารที่รวดเร็วว่องไว และทรงบัญชา "จงวิ่งให้เร็วยิ่งกว่าและเงียบยิ่งกว่าเงาของตัวเอง ไปยังเกาะแห่ง เอเลฟันไตน์ (Elephantine) ในแม่น้ำไนล์ ซึ่งอยู่ทางใต้ของ คาตารัคต์* (Cataract) จงนำดินสีแดงซึ่งมีอยู่ที่นั่นเพียงแห่งเดียวมาให้ข้าโดยด่วน"

เหล่านักเดินสารมุ่งฝ่าความมืดและกลับมายัง เฮลิออโปลิส นครแห่ง รา พร้อมกับดินสีแดงจาก เอเลฟันไตน์ จำนวนมาก ในขณะเดียวกัน โดยราชโองการของ รา นักบวชหญิงแห่งวิหารดวงอาทิตย์ทุกองค์และผู้รับใช้ในพระราชวังทุกคนก็ร่วมกันบดข้าวบาร์เลย์ และเริ่มทำเบียร์ซึ่งทำได้ถึง 7,000 เหยือก แล้วผสมดินนั้นเข้ากับดินของ เอเลฟันไตน์ จนมีสีแดงข้นราวกับเลือดเมื่อต้องแสงจันทร์

"เอาล่ะ" รา ทรงเอ่ยขึ้น "ขนสิ่งนี้ทวนกระแสน้ำ เพื่อคุ้มครองมนุษยชาติ นำไปยังที่ที่ เสคเมต มุ่งจะไปทำการล่าเหยื่อในวันรุ่งขึ้น และเทมันลงบนพื้นเพราะนี่จะเปนกับดักเพื่อจับนาง"

เมื่อฟ้าสาง เสคเมต ออกจากถ้ำของนางหลังกองหิน นางอยู่ท่ามกลางแสงแดดและมองไปรอบๆเพื่อหาอาหาร นางไม่เห็นมีสิ่งมีชีวิตใดๆ แต่สถานที่ที่นางได้ฆ่าคนไปมากมายเมื่อวานนี้ กลับกลายเนท้องนาที่ถูกปกคลุมด้วยบางสิ่งที่หนาเท่ากับความกว้าง 3 ฝ่ามือ และดูเหมือนเลือด

เสคเมต จึงหัวเราะด้วยเสียงราวกับเสียงคำรามของนางสิงห์ที่กำลังหิวโหย นางคิดว่าสิ่งนั้นคือเลือดที่นางทำให้มันหลั่งในวันก่อน นางจึงก้มลงและดื่มมันอย่างตะกละตะกราม ดื่มแล้วดื่มเล่า ฤทธิ์ของเบียร์ที่แล่นเข้าสู่สมองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนนางสิงห์ไม่อาจออกล่าหรือสังหารได้

จวบจนกลางวันใกล้จะสิ้นสุด นางคลานมาจนถึง เฮลิออโปลิส ที่ รา ทรงรอคอยอยู่ และเมื่อกลางวันแตะขอบฟ้า นางสิงห์ก็มิได้สังหารมนุษย์ผู้ชายหรือผู้หญิงแม้สักคนเดียวตั้งแต่เย็นเมื่อวาน

"เจ้ามาโดยสันติ ดีมาก" รา ตรัส "สันติจงมีแด่เจ้าเช่นเดียวกับนามใหม่ เจ้ามิใช่ เสคเมต นักฆ่าอีกต่อไป แต่เป็น ฮาธอร์ (Hathor) เทพีแห่งความรัก อำนาจที่เจ้ามีต่อมนุษย์จะยิ่งใหญ่กว่าเดิม เพราะความรู้สึกแห่งรักนั้นแข็งแกร่งกว่าความเกลียดชัง ทุกคนที่ได้รู้จักความรักจะเป็นเหยื่อของเจ้า ยิ่งกว่านั้น เพื่อเป็นการระลึกถึงวันนี้ นักบวชหญิงแห่งความรักจะดื่มเบียร์แห่ง เฮลิออโปลิส กับดินสีแดงแห่ง เอเลฟันไตน์ ในวันแรกของทุกปี เป็นเทศกาลอันยิ่งใหญ่เพื่อเป็นเกียรติต่อ ฮาธอร์"

ด้วยเหตุนี้ มนุษยชาติจึงปลอดภัยเพราะเทพ รา ผู้ซึ่งให้ทั้งความปิติและความเจ็บปวดใหม่แก่มนุษย์

 

 

มัมมี่ และเรื่องเร้นลับ >>

 

 

 

 


 
 
BY ขจรศักดิ์ เลาห์สัฒนะ
Hosted by www.Geocities.ws

1