บทที่ 6
ให้เราก้าวเดินไปพร้อมกับพระจิตเจ้า

 

พระจิตเจ้าไม่ทรงประทับนิ่งเฉย ไม่ทรงปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่

ถ้าเราเข้าใจจริงๆ ว่าพระจิตเข้าคือผู้ใด เราคงไม่ขัดขวางพระองค์ (กจ. 7,51) พระองค์ทรงทำให้ลมแรง ทรงครอบคลุมตัวเรา (กจ.2,2) และทรงทำให้เราอบอุ่นด้วยลิ้นไฟของพระองค์ หากเราไม่ขัดขวาง ความจริงดังกล่าวก็จะเกิดขึ้นกับเรา พระจิตเจ้าจะเอ่อล้นในจิตใจของเรา เราจะได้รับพระองค์อย่างอุดม และเปี่ยมด้วยพระหรรษทานของพระองค์ เราต้องตอบสนองอย่างเต็มเปี่ยมเช่นเดียวกัน มิใช่แบบครึ่งๆ กลางๆ พระจิตเจ้าทรงเปรียบเหมือนผู้ขับรถ เราเป็นตัวรถ พระจิตเจ้าทรงเป็นลม เราเป็นเรือใบที่แล่นตามลมในทะเล

คงเห็นได้ชัดแล้วว่า เราไม่สามารถบรรยายถึงพระจิตเจ้า ว่าพระองค์ทรงเป็นใคร หรืออธิบายให้รู้ว่าพระคุณของพระจิตเจ้าคืออะไร แต่เราอาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า เราต้องรับผิดชอบที่จะรับและใช้พระจิตเจ้าในตัวเรา

บัดนี้ เราจะเข้าสู่ภาคที่ 3 กล่าวถึงสิ่งที่เราแลเห็นเป็นเครื่องหมายหรือสัญลัษณ์ที่จับต้องได้ การยอมรับองค์พระจิตเจ้า เป็นการปล่อยให้พระองค์ทรงนำเราให้ดำเนินไปพร้อมกับพระองค์ ดังที่นักบุญเปาโลกล่าวไว้ (กท.5,25

การเป็นสายลมในพระจิตเจ้า

การเดินพร้อมกับพระจิตเจ้า แปลว่าเรากลับเป็นสายลมในพระจิตเจ้า ซึ่งหมายความว่า เราไม่อยู่เฉยๆ เก็บเนื้อเก็บตัว แต่ต้องลุกขึ้น เคลื่อนไหว ชีวิตคือการเคลื่อนไหว การอยู่เฉยหรือนิ่ง คือ ความตาย

ดังนั้นการเป็นสายลม หมายความว่า มีชีวิตชีวา มีชีวิตทั้งครบ ไม่ใช่นั่งจับเข่า รอคอยให้ฝนหยุด
ชีวิตไม่ใช่จอโทรทัศน์ ที่เรานั่งมองดู แต่เป็นความจริงที่ต้องใช้ให้คุ้มค่า นักปรัชญา เอโซ ปาชี กล่าวว่า "เราต้องตัดสินใจว่าเราจะทำอะไรในชีวิต แม้ว่าจะมีขอบเขตและความอ่อนแอเพียงใดก็ตาม เราต้องตัดสินใจให้ได้"

นักเขียนชาวรัสเซียชื่ออเลกซานเดอร์ ได้เล่านิทานเรื่องหนึ่งว่า ครั้งหนึ่ง นกอินทรีย์ถามอีกาว่า ช่วยตอบฉันหน่อยว่า ทำไมเธอจึงเจริญชีวิตในโลกนี้ถึง 300 ปี ส่วนฉันเจริญชีวิตแค่ 33 ปี กาตอบว่า เพราะเธอดื่มเลือดสดๆ ส่วนฉันกินสัตว์ที่เป็นศพเน่าเปื่อนแล้ว

นกอินทรีย์จึงคิดว่า เราควรเลี้ยงชีวิตเช่นเดียวกับอีกา
ดังนั้นนกอินทรีย์ และนกกาบินไปเห็นศพของม้าตัวหนึ่ง ก็รีบบินลงมา การีบจิก กาจิกกินอย่างอร่อย นกอินทรีย์ก็จิกบ้างเพียง 2 ครั้ง แล้วก็บอกกาว่า สหายเอ๋ย ฉันยอมแพ้ แทนที่จะมีชีวิต 300 ปี กินแต่ของเน่า ฉันยอมดื่มเลือดร้อนๆ 1 ครั้ง แล้วก็ปล่อยตนตามที่พระเป็นเจ้าทรงพอพระทัยจะดีกว่า

กล่าวง่ายๆ ก็คือ หากเราจะเจริญชีวิตที่สั้น แต่มีชีวิตที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ดีกว่าเลี้ยงชีวิตด้วยของเน่าๆ แต่อยู่หลายปี

นี่คือความหมายของการเป็นสายลม ลอยตัวอยู่ในที่สูง ต้องทิ้งทุกสิ่งที่หนัก ทุกสิ่งที่เราแบกอยู่ ทิ้งความกระหายที่จะเป็นเจ้าของหลายอย่าง ทิ้งความเกียจคร้าน ความจองหอง เพราะพระจิตเจ้าทรงรักบุคคลที่มีใจเป็นอิสระ และเพื่อจะเป็นสายลม เราต้องควบคุมนิสัยของเรา บางคนมีนิสัยที่เป็นสายลมไม่ได้เลย เพราะเขาเป็นคนเห็นแก่ตัว ทำตัวเหมือนกับตุ๊กตารัสเซีย ที่แทรกซ้อนเข้าไปในตุ๊กตาอีกตัวหนึ่ง บางคนไม่รู้จักบังคับตัวเอง อ่อนแอเหมือนไม่มีกระดูกสันหลัง บางคนมีลักษณะนิสัยเหมือนนักธุรกิจ คิดหาแต่ผลประโยชน์ส่วนตน บ้างก็มีลักษณะแบบไร้ความหมาย เรื่อยเฉื่อย เหี่ยวแห้ง

เฉพาะผู้ที่มีนิสัยยอมให้คนอื่นมารบกวน รู้จักชีวิต อุทิศตนรับใช้ ยอมให้เพื่อนเป็นศูนย์กลาง มิใช่ตนเอง มีพลังความกระตือรือร้น ยอมเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น ทำให้คนอื่นมีความสุข นี่แหละคือลักษณะของคนที่มีพระจิตเจ้าทรงครอบครองอยู่ในใจ

เราพอจะมองเห็นลักษณะของพระนางมารีย์ ผู้ทรงเป็นแบบอย่างอันเลิศ เตือนให้เราตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะกลับเป็นสายลมที่พร้อมจะตอบว่า "ค่ะ ..ครับ" แล้วพระจิตเจ้าจะทรงบันดาลความสำเร็จให้เกิดขึ้น พระจิตเจ้าทรงเคารพอิสรภาพของเรา พระองค์ไม่อาจทำสิ่งใดโดยปราศจากการยินยอมของเรา

อันตน เบลโล เสนอความคิดว่า "ฉันได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ว่า เป็นเทวดา ที่มีปีกข้างเดียว จะบินได้ก็ต่อเมื่อมีสองคนกอดคอกันบิน"

เมื่อเรามีความสนิทสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้า เราอาจจะคิดว่า ขอให้พระเป็นเจ้ามีปีกข้างเดียว อีกข้างหนึ่งแอบไว้ เพื่อให้ข้าพเจ้ายอมรับว่า พระองค์จะไม่ยอมบินหากข้าพเจ้าไม่ร่วมบินด้วย

ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงทรงประทานชีวิตให้ข้าพเจ้า เพื่อให้ข้าพเจ้าเจริญชีวิตพร้อมกับพระองค์ โปรดช่วยให้ข้าพเจ้าดำรงชีวิตในพระองค์ ไม่ใช่แบบถูกลากไปอย่างน่าสงสาร แต่ให้เป็นอิสระเหมือนนกในอากาศที่บินเริงร่าในสายลม การมีชีวิตคือ การยื่นปีกข้างเดียว ด้วยความไว้วางใจว่า มีพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นคู่บินไปกับฉัน

อย่างฝังพระเป็นเจ้าไว้ในกรุ

ดำเนินไปพร้อมกับพระจิตเจ้าหมายความว่า ไม่ฝังพระเป็นเจ้าไว้ในกรุ เราทราบแล้วว่า พระจิตเจ้าทรงทำงานในทุกคน ทรงเป็นเหมือนฝนที่ตกในฤดูใบไม้ผลิ ตกลงบนผืนนาทั้งหมด ทำให้ดอกไม้นานาพันธ์บานสะพรั่ง "การสำแดงของพระเจิตเจ้านั้น ทรงมีไว้เป็นประโยชน์แก่ทุกคนโดยส่วนรวม" (1คร.12,7) พระจิตเจ้ารักความอิสระ "พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น" (2คร.3,17) หากต้องการพิสูจน์ก็ให้ดูรูปแบบของการเป็นนักบุญนั้นมีมากมายหลายรูปแบบ ก็เพียงพอแล้ว

ในจำนวนนักบุญพันๆ องค์ ที่พระสันตะปาปา ยอห์นปอลที่ 2 ได้แต่งตั้งให้เป็นนักบุญหรือบุญราศี เราจะพบบุคคลทุกระดับ โยแซฟ โมสคาดี เป็นนายแพทย์ บากีตา เป็นทาส เยียนนา เบเรตตา โมลา เป็นแม่บ้าน ปีแอร์ ยอร์ยีโอ ฟราซาตี เป็นนักศึกษา เอครีวา เด บาราเกอร์ เป็นผู้เข้าณาณ แม้กระทั่ง ฮีเมเนส มัลลา เซเฟโร ก็เป็นผู้เร่รอน

เป็นการพิสูจน์อย่างชัดเจนถึงเสรีภาพของพระจิตเจ้า และเป็นการช่วยให้เราเปิดสติปัญญาให้กว้าง

นักปรัชญาต่างศาสนา ชื่อ ลูซีโอ อันเนโอ เซเนกา กล่าวด้วยความมั่นใจว่า มนุษย์ทุกคนจากทุกมุมโลกสามารถเข้าสวรรค์ได้ นักกวีชื่อ ดาวิท มารีอา ตูโรลโด ถามตัวเองว่า ท่านมหาตมคานธีจะไม่เป็นสมาชิกของพระศาสนจักรมากกว่าเราเชียวหรือ? นี่แสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่เปิดกว้าง

การบันทึกรายชื่อของผู้ที่รับศีลล้างบาป เริ่มบันทึกอย่างสม่ำเสมอ หลังจากสังคายนาแห่งเมือนเตรนโต เราต้องขอบพระคุณพระเป็นเจ้าที่จำนวนบุตรของพระองค์มีมากกว่าที่ได้บันทึกไว้ พูดง่ายๆ คือ ทุกคนที่ยอมให้พระจิตเจ้านำชีวิตก็คือผู้ที่เป็นบุตรของพระเป็นเจ้า (รม.8,4)

พระจิตเจ้าไม่อยู่เฉพาะในขอบเขตของพระศาสนจักร พระจิตเจ้าเสด็จไปทั่วไป ทรงไปยังที่ที่เราไม่นึกไม่ฝัน เราอย่าขัง ปิดกั้นพระจิตไว้เฉพาะในความคิดของเรา ในความคิดทางเทวศาสตร์ของเรา ในพิธีกรรมของเรา ได้เวลาแล้วที่เราจะต้องเปิดกว้างออกไปนอกพระศาสนจักร ต้องมาประสานรอยแผล ที่เรื้อรังเป็นศตวรรษ ต้องทิ้งความคิดที่ว่า เฉพาะพระสงฆ์ที่มีพระจิต พระสงฆ์เท่านั้นที่รู้ ที่โอ้อวดว่า ในพระศาสนจักรเท่านั้น ที่มีความจริงทั้งหมด นอกพระศาสนจักรนั้นไม่มี บาดแผลอันนี้แหละที่ต้องรักษาให้หายไป เราต้องมีทัศนคติที่เปิดกว้าง เป็นความใจกว้างที่เห็นความดีในทุกแห่ง ทัศนคติที่เปิดกว้าง ย่อมถ่อมตน รู้จักเปรียบเทียบความคิดเห็นส่วนตัว กับความคิดเห็นของผู้อื่น ทัศนคติที่เปิดกว้างมีชีวิตชีวา แสวงหาหนทางใหม่เพื่อแก้ไข เพื่อบอกวิธีที่จะรื้อฟื้นความจริงดั้งเดิมในรูปแบบใหม่ ทัศนคติที่เปิดกว้างเป็นความเฉลียวฉลาด ความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ทำงานอย่างละเอียดอ่อน และจะทำงาได้ดีหากรู้จักเปิดกว้างเหมือนร่มชูชีพ

สรุปได้ว่า การมีทัศนคติที่เปิดกว้าง เป็นความคิดในแง่บวกที่ฉลาดสุขุม ซึ่งเป็นทัศนคติของพระจิตเจ้า และทัศนคติของผู้ที่ต้องการเดินไปพร้อมกับพระองค์

ภาคกิจ 3 ประการที่ต้องปฏิบัติอาศัยแสงสว่าง

การเดินไปพร้อมกับพระจิตเจ้า หมายความว่า ต้องปฏิบัติหน้าที่ 3 ประการอาศัยแสงสว่าง

ข้อแรก อย่ากลัวเลย!

เป็นความจริงที่ว่า เด็กๆ มักจะกลัวความมืด แต่บางครั้งผู้ใหญ่ก็กลัวความสว่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ร้ายกว่า บุคคลที่อยู่กับพระจิตเจ้า ยอมรับแสงสว่าง ยอมรับความจริงเสมอ ทุกแห่ง ทุกเวลา แม้ว่าความจริงจะกระทบกระเทือนเรา และเราต้องใช้โทษเพราะความจริงก็ตาม

วันหนึ่งชาวอาหรับคนหนึ่งได้เรียกที่ปรึกษาของเขามาสอบถามว่า ที่ในเมือง ประชาชนพูดอะไรเกี่ยวกับเขาบ้าง ที่ปรึกษาตอบว่า คุณนาย จะเลือกอย่างไหน จะให้พูดสิ่งที่น่าฟัง ไพเราะ หรือให้พูดความจริง

ชาวอาหรับคนนั้นบอกว่า ความจริง ความจริง เอาละ ข้าพเจ้าจะพูดความจริง แต่ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยน ต้องให้ของขวัญที่ข้าพเจ้าจะขอ

ได้ซิ ขอเถิด เพราะความจริงหาค่ามิได้
ข้าพเจ้าขอเพียงของขวัญเล็กๆ ไม่ต้องใหญ่ ขอม้าตัวหนึ่ง ที่วิ่งไวๆ เพื่อข้าพเจ้าจะได้หนีเมื่อข้าพเจ้าพูดความจริงเสร็จแล้ว
นักวิชาการและนักเขียนชาวเยอรมัน เกยอร์ค ลิชเตนเบอร์ก กล่าว่า เป็นการยากที่จะนำเปลวไฟแห่งความจริงไปสู่ฝูงชนโดยไม่เผาหนวดหรือผมสักเส้นสองเส้น

ผู้ที่เดินไปพร้อมกับองค์พระจิตเจ้าและไฟ จะไม่กลัว
แม้ว่าจะถูกเผาหนวด หรือผมก็ตาม

ข้อที่ 2 อย่าทรยศ

ความดี คือความดี ความชั่ว คือความชั่ว ประกาศกอิสยาห์เตือนว่า "วิบัติแก่ผู้ที่เรียกความดีเป็นความชั่ว และความชั่วเป็นความดี พวกเขาเปลี่ยนความมืดให้เป็นความสว่าง และความสว่างให้เป็นความมืด" (อสย.5,20)

เราจะไปดวดดีกับคุณค่าต่างๆ โดยถือว่าเป็นประเภทเดียวกันหมด เราเปลี่ยนความจริงตามอำเภอใจของเราไม่ได้ การหลอกลวงส่วนใหญ่ได้รับการพัฒนา อย่างละเอียดละออ และสอดแทรกเข้าไปในทุกแห่ง เซซาเร มาร์คซี ได้พยายามจัดลำดับ สิ่งที่รู้สึกว่าเป็นการโกหกหลอกลวงไว้ดังนี้

  1. โกหกศรัทธา โกหกแบบหมอ "ไม่เป็นอะไรมากหรอก"
  2. โกหกกล้าหาญ โกหกแบบนักล่าสัตว์
  3. โกหกสำนักพิมพ์ "ขายได้แล้วแสนฉบับ"
  4. โกหกป่าช้า "เป็นคนดีเลิศ บุคคลตัวอย่าง"
  5. โกหกนักเรียน "ไปเรียนไม่ได้ปวดหัวมาก"
  6. โกหกละคร "ผู้ชมเรียกร้องให้แสดงอีก
  7. โกหกโทรศัพท์ "โปรดรอสักครู่"
  8. โกหกการท่องเที่ยว "ทุกอย่างรวมเบ็ดเสร็จ"
  9. โกหกนักพูด "ผมจะพูดเพียงสั้นๆ"
  10. โกหกการรถไฟ "รถเร็ว - รถด่วน"

ทั้งนี้ เราอาจจะเพิ่มเติมได้อีกมากมาย เพื่อบรรยายสรรพคุณของตนเอง "ในความไม่เหมาะสมของผม..." "วัยรุ่น ประพฤติดี ซื่อสัตย์ มาจากครอบครัวที่ดี ปรารถนา.....

แสงสว่างแห่งความจริงหายไปไหนหมด?

โปรดเสด็จมาเถิดพระจิตเจ้า โปรดเสด็จมาเตือนข้าพเจ้าให้รักคนยากจนมากกว่ารักคนมุสา (บสร.19,22) ใช่แล้ว การโกหก ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเสียหาย อันตน เชโค กล่าวว่า ปลวกกินต้นไม้ สนิมกินโลหะ คนโกหกกินวิญญาณของตนเอง

คานธี เสริมว่ายาพิษ 1 หยด สามารถทำให้น้ำนมทั้งกระป๋องเป็นพิษไปฉันใด การผิดต่อความจริงก็ทำให้มนุษย์พินาศไปฉันนั้น

หากว่า เราจะเดินพร้อมกับพระจิตและพูดโกหก ก็เป็นเหมือนกับหลอกตนเองว่าชิ้นเหล็กนี้เป็นท่อนไม้

ข้อ 3 การแบ่งปันแสงสว่าง

จงแบ่งปันแสงสว่างที่เราได้รับ ไม่ว่าแสงสว่างนั้นจะเป็นแสงจากดวงอาทิตย์ หรือจากอะไรก็ตาม เหมือนกับที่ ยีโอวานี บาร์รา ตั้งชื่อให้นักบุญยอแซฟ กอตโตแลงโก ว่าเป็นพ่อค้าแสงอาทิตย์ ไม่สำคัญว่าแสงนั้นจะอยู่ในประภาคาร หรือจากก้านไม้ขีดขอให้จุดไฟติดก็พอแล้ว

ขอยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นในหอประชุมใหญ่ที่ลอส อันเจลิส ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีคนเป็นแสนๆ ชุมนุมกันอยู่ ทันใดนั้น คุณพ่อเคลเลอร์ ซึ่งกำลังปราศรัยกับกประชาชนในที่ชุมนุมนั้น หยุดพูดแล้วกล่าวว่า อย่ากลัวเลยนะ เดี๋ยวนี้เราจะดับไฟทั้งหมด พูดเสร็จแล้วก็ดับไฟ ปรากฏความมืดมิดทั่วไป แต่ก็ได้ยินเสียงของคุณพ่อจากลำโพงอย่างชัดเจน พ่อจะจุดไม้ขีดอันหนึ่ง เมื่อทุกคนเห็นแสงของไม้ขีด ก็ให้ร้องว่า ครับ / ค่ะ เมื่อจุดไม้ขีดแล้ว ฝูงชนก็ตะโกนร้องว่า ครับ / ค่ะ

คุณพ่อ เคลเลอร์ อธิบายต่อไปว่า นี่คือการเปรียบเทียบกับภารกิจแห่งความใจดี ซึ่งสามารถส่องแสงสว่างในหัวใจที่มืดมน ความดีที่เราทำแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะไม่พลาดไปจากสายพระเนตรของพระเป็นเจ้าได้ แต่พวกเธอสามารถทำได้มากกว่านั้น ขอให้ทุกคนที่มีไม้ขีดไฟให้จุดขึ้นเดี๋ยวนี้ ทันใดนั้นความืดก็ค่อยๆ หายไปหมด ปรากฏการณ์นี้สอนพวกเราว่า แม้มนุษย์จะมีคุณค่าน้อย แต่หลายๆ คนรวมกัน ก็เปรียบเหมือนแสงสว่างที่มีเพียงคนละเล็กคนละน้อย ก็สามารถทำให้ทั่วทั้งโลกสว่างไสวได้

 

 

เสด็จลงมาใหม่

         ข้าแต่พระจิตเจ้า โปรดเสด็จลงมาใหม่
โปรดนำความรักลงสู่จิตวิญญาณทั้งหลาย
ที่สุมอยู่ด้วยโกรธ และหยิ่งยะโส
ขอให้พระคุณของพระองค์หลั่งลงมา
หล่อเลี้ยงให้ชุ่มชื่นด้วยคุณธรรม
ดุจแสงแดด
ที่เผยกลีบดอกให้แย้มบาน

          ข้าพเจ้าทั้งหลายวอนขอ ด้วยเสียงคร่ำครวญ
เปี่ยมด้วยความทุกข์ทน
โปรดเสด็จลงมาเถิด
องค์พระผู้ทรงบรรเทา

          โปรดชุบชูคนยากจน
ให้เข้าสู่สวรรค์ อันเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา
โปรดเปลี่ยนดวงตาที่โศกเศร้า
ให้กลับแจ่มใสยินดี
โปรดทอแสงให้กับผู้ที่รอคอยความตายด้วยความหวัง

(Da "La Pentecoste" di Alessandro Manzoni)

 

เปี่ยมด้วยพระจิตเจ้า

ในที่สุด การเดินทางพร้อมกับพระจิตเจ้า มีหมายความว่า เป็นการสวมอาภรณ์ของพระจิตเจ้า คำนี้ไม่เป็นเพียงคำพูดลอย แต่เป็นการเชื้อเชิญแบบเป็นรูปธรรมให้เราสวมค่านิยมอันยิ่งใหญ่ 9 ประการ ซึ่งนักบุญเปาโลได้กล่าวไว้ในจดหมายถึงชาวกาลาเทีย ที่กล่าวถึงกิจการฝ่ายเนื้อหนัง 14 ประการ (กาลาเทีย 5,19) เป็นกิจการที่มนุษย์ได้กระทำโดยไม่ยอมให้พระจิตเจ้านำไป ตรงกันข้าม นักบุญเปาโล ได้เขียนถึงผลของพระจิตเจ้า 9 ประการ ได้แก่ ความรัก ความยินดี สันติสุข ความพากเพียร ความมีน้ำใจดี ความใจดี ความซื่อสัตย์ ความสุภาพอ่อนโยน การรู้จักควบคุมตนเอง (กาลาเทีย 5,22) ให้เรามาพิจารณาทีละประการ

ความรัก

ความรักนี้เป็นความรักแบบใด นักบุญเปาโลกล่าวไว้ในจดหมายถึงชาวโครินทร์ "ความรักย่อมประกอบไปด้วยความอดทนนาน และความเมตตากรุณา ความรักนี้ไม่อิจฉา ไม่อวดดี หรือจองหอง ความรักไม่ใช้มารยาททรามหรือเห็นแก่ตัว หรือฉุนเฉียว ความรัก ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ยินดีกับความชั่วร้าย แต่จะสุขใจกับความสัตย์จริง ความรักไม่เคยเลิกศรัทธา หรือหมดวังและไม่มีวันเลิกอดทน" (1คร.13,4-7) นี่เป็นความรักของผู้ที่เดินในทางของพระจิตเจ้า ไม่ใช่ความรักแบบผีเสื้อที่บินเสาะหากลิ่นหอม (แบบปากหวาน) เป็นความรักที่ไม่แสวงหาตนเอง แต่แสดงออกโดยไม่อิจฉา ไม่โมโห ไม่อวดตัว ไม่พูดมาก ยอมรับทุกอย่าง

ความศักดิ์สิทธิ์ที่พระจิตเจ้าทรงปรารถนา เป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่ติดดิน เป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่นำไปสู่แก่นแท้ ที่เห็นคุณค่าของความรัก มนุษย์ทุกคนรักด้วยการกระทำ บุคคลที่ไม่รักก็ดำเนินชีวิตอย่างคนหลอกลวง นักจิตวิทยากล่าวถึงความรักว่า วิธีเดียวที่จะวัดความเจริญเติบโตของมนุษย์ ก็คือ การรู้จักอุทิศตนเอง

ความยินดี

ความยินดี เป็นสัญลักษณ์แห่งพระอาณาจักรของพระเป็นเจ้า การเสด็จมาของพระเยซูเจ้า ทำให้มนุษย์อิ่มเอิบในความยินดี คริสตชนทราบความจริงข้อนี้ดี และนักวิชาการทางการแพทย์ก็ยืนยันว่า การหัวเราะไม่ใช่เป็นเรื่องของเด็กๆ แต่การหัวเราะช่วยให้สุขภาพกายและจิตดี พระเป็นเจ้าพระองค์เองทรงมีความยินดี (สดด.2,4) พระคัมภีร์ก็เปี่ยมด้วยความยินดี พันธสัญญาใหม่กล่าวถึงความยินดีถึง 250 ครั้ง โดยกล่าวย้ำว่า บุคคลใดที่ไม่มีความยินดีก็เท่ากับได้ทำบาปใหญ่หลวง นักเทวศาสตร์ ฮาร์วี ค็อกส์ ก็ได้กล่าวเช่นเดียวกันในรูปแบบที่ซื่อๆ ง่ายๆ เกี่ยวกับความยิ้มแย้มว่า "การทำสำคัญมหากางเขน เป็นเครื่องหมายแสดงความยินดีของคริสตชน" การยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นการยืนยันถึงการเป็น คริสตชน

การเดินทางพร้อมกับพระจิตเจ้าหมายความว่า เราอยู่ในท่าทีของความยินดี อยู่ฝ่ายความยินดี ไม่เพียงแต่เป็นคนดีเท่านั้น แต่เป็นบุคคลที่น่ารัก นักจิตวิทยา ฟรันเชสโกคาโนวา ยืนยันว่า "ถ้ามนุษย์เป็นฉายาลักษณ์และสิริมงคลของพระเป็นเจ้า คริสตชนยิ่งต้องเป็นมากกว่านั้นอีก จนกระทั่งทุกคนสามารถพูดได้ว่า คริสตชนคนนี้น่าประทับใจจริง" คิดว่าเป็นคำชมเชยที่ยิ่งใหญ่ทั้งสำหรับมนุษย์ผู้ถูกสร้าง และสำหรับพระเป็นเจ้าพระผู้สร้าง พระจิตเจ้าไม่เป็นพระบุคคลที่หมดหวัง ที่บ่นเก่ง น่าเบื่อหน่าย เจ้าน้ำตา พระจิตเจ้าต่อต้านอิริยาบทที่มนุษย์แสดงในแง่ไม่ดี มาคาลีน เดลเบรล เป็นนักบุญองค์หนึ่งของศตวรรษนี้ วันหนึ่งท่านได้แต่งบทภาวนาของผู้ตัดสินใจติดตามทางเดินของพระจิตเจ้าด้วยความจริงใจว่า

"ข้าพเจ้าคิดว่า พระองค์คงจะเบื่อคนมากมาย ที่กล่าวเสมอว่าติดตามพระองค์ เขาอวดอ้างว่ารู้จักพระองค์เหมือนอาจารย์ที่ช่ำชองในวิชาความรู้ เขาสามารถเข้าถึงพระองค์โดยใช้หลักเกณฑ์ของนักกีฬา ยืนยันว่า รักพระองค์เหมือนคนที่แต่งงานมานานแล้ว แล้ววันหนึ่งพระองค์อยากเห็นมนุษย์แสดงอิริยาบทอีกอย่าง จึงทรงปั้นแต่งนักบุญฟรังซิส ซึ่งเป็นผลผลิตของความยินดี ข้าแต่พระเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้ามีจินตนาการเช่นนั้นบ้าง เพื่อให้ชีวิตมีแต่ความยินดี ร้องรำทำเพลงพร้อมกับพระองค์"

สันติภาพ

พระจิตเจ้าเป็นเครื่องหมายของความเป็นหนึ่ง

ที่หอบาแบลได้เกิดการแตกแยก พูดกันไม่รู้เรื่อง (ปฐม 11,1-9)ในวันที่พระจิตเจ้าเสด็จมา ทุกคนเข้าใจภาษาที่สาวกพูด เมื่อพวกนั้นพูดถึงกิจการอันยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้า (กจ.2,11) แม้คนที่มาจากชาติต่างๆ ทั่วโลก ก็เข้าใจเป็นภาษาของตน แม้เป็นประเทศเกิดใหม่ เช่น อีรัก ซีเรีย ตุรกี รัสเซียใต้ อียิปต์ ลิเบีย เครตา อาระเบีย และโรม เราได้อ่านชื่อเหล่านี้ได้ในหนังสือกิจการของอัครสาวก
(กจ.2,9-11)

พระจิตเจ้าเป็นศูนย์กลางของเอกภาพความปรองดองและสันติภาพ เราทุกคนได้รับศีลล้างบาปในองค์พระจิตเจ้า ซึ่งทำให้เรามีกายเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือกรีก ทาสหรือไท ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าพระองค์เดียวกัน (1คร.12,13) บุคคลที่เจริญชีวิตในองค์พระจิตเจ้า แสวงหาความเป็นหนึ่งเดียวกัน แสวงหาสันติภาพ ซึ่งหมายความว่าผู้นั้นคิดเรื่องของสันติภาพ พูดเกี่ยวกับสันติภาพ และประพฤติตนในขอบเขตของสันติภาพ เพราะความคิดเกี่ยวกับสันติภาพ เริ่มจากสมองของเราเสมอ

เรากล่าวว่า อาวุธฆ่ามนุษย์ จริงๆ แล้วเป็นมนุษย์ต่างหากที่อยากฆ่ากัน ถ้าหากมนุษย์ไม่เริ่มคิดที่จะทำสงคราม มนุษย์ก็จะไม่มีอาวุธ ไม่ว่าหัวใจหรือมือของมนุษย์ก็จะไม่แตะต้องอาวุธเป็นอันขาด

นักเขียนชื่อ ซีโมน เด โบวอย กล่าวว่า มีคำพูดบางคำที่สามารถฆ่าคนได้แบบเดียวกับห้องที่ฆ่าคนด้วยก๊าซ มีคำพูดบางคำที่มีศักยภาพเท่ากับลูกระเบิด อาทิเช่น คำว่า โง่ งี่เง่า ทำอะไรไม่เป็น แต่มีคำพูดที่ให้กำลังใจเช่น ขอบใจมาก ขอโทษ น่ารักจัง สุดท้ายอิริยาบทที่สนับสนุนความเป็นผู้มีสันติ คือใบหน้าที่ยิ้มแย้ม พร้อมที่จะยกโทษ การรับใช้กันและกัน การเคารพนับถือทุกคนและทุกสิ่ง วันหนึ่งท่านนักบุญฟรังซิส เดอซาลล์ เห็นสตรีคนหนึ่ง เข้ามาในห้องทำงานของท่านอย่างผลุนผลัน และตั้งคำถามด้วยเสียงอันดังว่า "ฉันจะเป็นนักบุญได้อย่างไร" ท่านนักบุญผู้เป็นสังฆราชแห่งเจนัว ตอบด้วยความราบเรียบว่า "จงเริ่มด้วยการปิดประตูเบาๆ" การมีมารยาทดีคือ ท่าทีแห่งสันติ นี่คือเบี้องต้นแห่งการ เดินทางพร้อมกับองค์พระจิตเจ้า

ความพากเพียรอดทน

ปกติคนมักจะพูดติดปากว่า "อดทนเอาหน่อย" ทั้งนี้มิได้หมายความให้ช้าช้าไปเสียทุกอย่าง เราจะต้องรู้จักอดทน พร้อมกับพระจิตเจ้า คุณพ่อมารีอาโน นักเทศน์ผู้มีชื่อเสียงที่ออกรายการโทรทัศน์ เคยพูดเกี่ยวกับความอดทนว่า ไม่ทราบว่ามีนักบุญที่มีชื่อว่าความเพียรอดทนหรือเปล่า ที่จริงก็น่าจะมีเพราะจำเป็นจริงๆ มีคนเคยบอกกับพ่อว่า การดำเนินชีวิตที่ดีต้องอาศัยองค์ประกอบสามประการด้วยกันคือ

  1. ปรีชาญาณสักหนึ่งช้อนชา
  2. ความรอบคอบสักหนึ่งช้อนโต๊ะ
  3. และความเพียรอดทนหนึ่งโอ่งใหญ่

คุณพ่อได้กล่าวต่อไปว่า การเจริญชีวิตและทำให้ทุกคนอยู่ในสันติได้ ต้องมีนักบุญที่ชื่อความเพียรอดทน แท้จริงความอดทนนั่นเอง ที่ทำให้คนเป็นนักบุญ

การดำเนินไปพร้อมกับพระจิตเจ้า ต้องเต็มไปด้วยความอดทน การมีความอดทนอย่างเต็มเปี่ยม จำเป็นต้องใช้จังหวะการการดำเนินของพระเป็นเจ้า พระเป็นเจ้ามีอยู่จริง แต่พระเป็นเจ้าไม่ทรงเปิดเผยพระองค์อย่างรวดเร็วให้แก่ผู้ใด เขากล่าวกันว่า พระเป็นเจ้าค่อยเป็นค่อยไปอย่างเป็นขั้นตอน ราบเรียบ รอบคอบ ความอดทนเป็นบุตรของปรีชาญาณ ในภาษาอิตาเลียนมีสุภาษิตที่ว่า "เพื่อให้ย่อยดีๆ ต้องเคี้ยวแม้แต่น้ำซุป" ความอดทนมีฟันเป็นเหล็ก ซึ่งบดหินให้ละเอียดได้

ให้เรามีความอดทนเถิด เพราะความอดทนเป็นคำภาวนาที่สูงส่ง (พระพุทธเจ้า)

นิโกโล โทมาเซโอ นักวิทยาศาสตร์ กล่าว่า ความอดทนต้องไม่อยู่นิ่ง เป็นฤทธิ์กุศลของวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ ที่เดินทางไปพร้อมกับพระจิตเจ้า ความอดทนมิใช่เจริญชีวิต แบบเรื่อยเปื่อยไม่รู้เย็นรู้ร้อน

ความมีน้ำใจดี

นักพระคัมภีร์ เยียน ฟรังโก ราวาซี กล่าวว่า ความรักย่อมมีน้ำใจดี หรือความปรารถนาดี ซึ่งหมายถึง ความมีใจดีที่จะยกโทษความผิดของผู้อื่นได้ การดำเนินชีวิตพร้อมกับพระจิต คือความพร้อมที่จะยกโทษ ให้อภัย เป็นการยอมรับพลังของพระเป็นเจ้าที่โลกปัจจุบันต้องการมากที่สุด ในปลายศตวรรษของเรานี้ การยกโทษเป็นแนวความคิดที่มนุษย์ไม่ยอมเชื่อ และหลีกเลี่ยงเพื่อเอาตัวรอด นักคิดคนหนึ่งชื่อ ลาคู-ลาบาธ ยืนยันว่า "ข้าพเจ้าเข้าใจว่า การยกโทษเป็นคำที่สุภาพที่สุด และเป็นคำที่ยากที่สุด เป็นคำที่ทางตะวันตกไม่กล้าพูดกัน แต่เราต้องฝึกฝนที่จะพูดว่า ฉันยกโทษให้คุณ หากปราศจากคำนี้เราจะพินาศ ผู้ที่อ่อนน้อนต่อพระจิตเจ้าย่อมจะรู้จักคำนี้ดี จงใช้คำนี้ ยิ่งไปกว่านั้นจงยกโทษให้กับผู้ที่อยู่ใกล้ชิด ผู้ที่นำความเสียหายมาสู่ท่าน เช่นเดียวกับธิดาของ อัลโด โมโร ที่ยกโทษให้กับฆาตกรที่ฆ่าพ่อของเธอ เหมือนกับที่สมเด็จพระสันตะปาปาทรงยกโทษให้กับผู้ที่ลอบยิงพระองค์"

ความใจดี

ความใจดีคือลักษณะของบุคคลที่พร้อมจะกระทำความดี หลีกเลี่ยงความชั่ว ความใจดี คือการยอมรับค่านิยมต่างๆ เช่น ความยุติธรรม สันติภาพ ความซื่อตรง ซื่อสัตย์ ความอ่อนหวาน ความน่าพิศวง ความประหลาดใจ การมีมารยาทดี ความยินดี ความกระตือรือร้น และความเงียบ ในขณะเดียวกันก็สามารถขจัดค่านิยมที่ไม่ดี เช่น ความอยุติธรรม ความเกลียดชัง ความไม่ซื่อสัตย์-อิจฉา ความเกียจคร้าน ความหน้าซื่อใจคด ความรุนแรง ความเฉยเมย ความเห็นแก่ตัว ค่านิยมเหล่านี้อยู่ตรงข้ามกับผู้ที่มีพระจิตเจ้า ใครที่รู้ตัวก็จะพยายามหลีกเลี่ยง หันไปฝักไฝ่กับค่านิยมที่ดี เป็นการก้าวกระโดดอย่างเด็ดเดี่ยว เพื่อจะได้ยิ่งใหญ่ในองค์พระจิตเจ้าอันเป็นคุณค่าที่ยกมนุษย์ให้สูงขึ้น ใครก็ตามที่เป็นบุคคลผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรมความยุติธรรม ความซื่อสัตย์ ราบเรียบ พยายามสร้างสันติ มีความรัก บุคคลเหล่านี้ คือผู้ยิ่งใหญ่ แม้ร่างกายจะไม่ใหญ่โต เช่นตัวอย่างของบุคคล 3 ท่าน ท่านนักบุญฟรัสซิส แห่งอัลซีซี ซึ่งมีน้ำหนักเพียง 45-47 กิโลกรัม คานธีบุรุษหนังหุ้มกระดูก คุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตา เป็นคนร่างเล็ก หน้าเหี่ยวย่น ทั้ง 3 กอรปด้วยวิญญาณที่มีค่านิยมสูงส่ง โดยมีพระจิตเจ้าเป็นผู้นำ

ความซื่อสัตย์

นิโคลา ซิงกาเรลลี ได้นิยามความหมายของคำว่า ซื่อสัตย์ ว่าเป็นความสม่ำเสมอในความรัก ความอ่อนหวาน การถือตามคำมั่นสัญญา สิ่งที่ตรงข้ามกับความซื่อสัตย์ก็คือ การทรยศ

การดำเนินชีวิตกับพระจิตเจ้า หมายถึง การไม่ทรยศ แต่ซื่อสัตย์มั่นคง ถ้าความซื่อสัตย์มีคุณสมบัติดังนี้ ต้องมีบิดาชื่อ ความกล้าหาญ เพื่อเอาชนะอุปสรรค มีมารดาชื่อความอดทน เพื่อสามารถยืนหยัดมั่นคงจนวาระสุดท้าย ทั้งหมดนี้จะช่วยให้เราเข้าใจว่า การเดินทางกับพระจิตต้องมีพลังแห่งการเอาจริงเอาจัง และความเด็ดขาด อันที่จริงธรรมชาติก็เป็นเช่นนี้ ลมทำให้ไฟจากไม้ขีดดับ แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ทำให้กลายเป็นเปลวไฟลุกโชนได้ ไฟไม่ชอบสิ่งนิ่มนวล ไม่ชอบความมืด

พระจิตเจ้าทรงเรียกร้องพลัง พลังที่จะสามารถตะโกนอย่างสุดเสียง ไม่ใช่แผ่วเบา เราต้องการพลังเพื่อคืนชีวิต สามารถกล้ำกลืนชีวิตที่ขมขื่น พลังที่สามารถยึดมั่นเด็ดเดี่ยว พลังที่จะก้าวเดินต่อไป พลังที่ไม่สนใจกับความคิดของผู้อื่นมากจนเกินไป พลังที่จะตายเพื่อจะได้มีชีวิตต่อไป ไม่มีใครกล้ากล่าวว่า คนที่เดินทางกับพระจิตเจ้าเป็นผู้ที่อ่อนแอ

ความสุภาพอ่อนโยน

ความสุภาพอ่อนโยน คือคุณลักษณะที่พระเยซูเจ้าได้ทรงประทานความกระจ่างแจ้ง เมื่อทรงเทศนาเกี่ยวกับมหาบุญลาภประการที่ 3 (มธ.5,4) เป็นบุญของผู้ที่มีจิตใจอ่อนโยน (มธ.11,29)

คนสุภาพอ่อนโยน จะมีความรักต่อผู้อื่น มีความเมตตา ความสุภาพที่อ่อนโยน ทำให้มนุษย์ฉลาดรอบคอบ ความอวดดี มีความหมายอะไรเล่า? เรามีชีวิตเพียงระะยหนึ่ง ทำไมจึงต้องทำหน้าบอกบุญไม่รับ เหยียดหยามกัน ความจองหองมีประโยชน์อะไร? ดูไก่เป็นตัวอย่าง อวดตัวโก่งคอขันในตอนเช้า แล้วก็ต้องเข้าหม้อแกงเป็นอาหารในเวลาต่อมา

ความสุภาพย่อมควบคู่ไปกับความเฉลี่ยวฉลาด ขณะเดียวกัน ความอวดดีคู่กับความโง่เขลา ความสุภาพอ่อนโยนเป็นสิ่งสำคัญของผู้ที่เป็นมนุษย์แท้ และดำเนินชีวิตร่วมกับพระจิตเจ้า

เราเคยฝึกว่ายน้ำเหมือนปลา ฝึกบินเหมือนนก ข้ามจักรวาลเหมือนอุกกาบาต เมื่อไร เราจะฝึกฝนการดำเนินชีวิตในโลกให้สมกับที่เป็นมนุษย์ คำตอบก็คือ ต้องมีความสุภาพอ่อนโยน

การรู้จักควบคุมตนเอง

การดำเนินชีวิตกับพระจิตเจ้า ย่อมเรียกร้องให้มีอำนาจควบคุมตนเอง คุณแม่เทเรซา กล่าวว่าความโกรธนำความเสียหายมาให้แก่คนเป็นจำนวนมาก และทำลายความสุขจนหมดสิ้น

อายุจะสั้น เพราะความโกรธและความอิจฉา ความกังวลต่างๆ ทำให้แก่เร็ว

คัมภีราจารย์แสวงหาปรีชาญาณในยามว่า (บสร.38,34)

มีคติธรรมของชาวฮีบรู ที่ว่า "ถ้าเพื่อนบ้านทำให้ผิดใจและท่านบังคับอารมณ์ไว้ได้ พระองค์จะทรงพอพระทัยในตัวท่านมากกว่าการอดอาหารพันวัน และผู้ที่สามารถฟังคำสบประมาท โดยไม่โต้ตอบได้ย่อมมีค่ามากกว่าการบำเพ็ญพรตพันครั้ง"

การรู้จักควบคุมตนเอง เป็นเครื่องหมายของผู้มีบุคคลิกภาพที่ดี อันตน เชเชฟ กล่าว่า วุฒิภาวะของคนย่อมปรากฏเด่นชัดเมื่อเขาสามารถรับประทานอาหารไหม้โดยไม่บ่น ชาวอาระเบีย กล่าว่า ถ้าอยากรู้จักใครสักคนหนึ่ง ก็จงทำให้เขาโมโห แล้วท่านจะรู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร

การรู้จักควบคุมตนเอง เป็นเครื่องหมายของผู้ที่เจริญชีวิตด้วยใจสงบ
การดำเนินชีวิตกับพระจิตเจ้าจะนำท่านไปสู่ความสำเร็จ ในการสร้างบุคลิกภาพที่มีคุณค่าสูง

พระคริสตเจ้า คือผลสำเร็จอันพิเศษสุดขององค์พระจิตเจ้า พระองค์ตรัสด้วยพระวาจาที่ชัดเจนและเด็ดขาด
นิยามที่เกี่ยวกับคริสตชนมี 2 ประการ ดังที่นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส ชาลส์ เพกาย กล่าวไว้ "คริสตชน คือมนุษย์คนหนึ่งที่เปี่ยมล้นด้วยองค์พระจิตเจ้า"

อีกนิยามหนึ่ง คือ "คริสตชนประกอบด้วยวิญญาณ ร่างกาย และองค์พระจิตเจ้า"

บทความในหนังสือเล็กๆ ที่กำลังจะจบลงนี้ มีจุดมุ่งหมาย ให้เกิดชีวิตชีวาใหม่ เหตุที่กล้าเขียนหนังสือเล่มนี้ ก็เพื่อให้ผู้มีน้ำใจดีได้อ่าน จะได้กลับมีชีวิตชีวา สามารถก้าวไปในพันปีที่สาม ซึ่งกำลังจะย่างเข้ามา ทั้งกับผู้เขียนและผู้อ่านเพื่อจะสามารถลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ในพันปีที่สามนี้

 

Hosted by www.Geocities.ws

1