Chapter 3
ไฟและพระจิตเจ้า
 
ไฟเป็นสัญญลักษณ์ที่ส่องสว่างของพระจิตเจ้า

 

ในวันที่พระจิตเจ้าเสด็จลงมา บรรดาสาวกได้ชุมนุมพร้อมหน้ากัน พวกเขาได้ยินเสียงลมแรง เห็นเปลวไฟเป็นรูปลิ้นไฟแยกลอยเหนือศรีษาของพวกเขาแต่ละคน (กิจการ 2,3) ในขณะนั้น พวกเขาก็เปี่ยมไปด้วยพระจิตเจ้า

สัญลักษณ์ของไฟ พอที่จะช่วยให้เราเข้าใจพระบุคคลที่สาม ในพระตรีเอกภาพว่าทรงเป็นใคร

ไฟทำให้เกิดความสว่าง

พระจิตเจ้าทำให้เราเห็นพระองค์ในรูปแบบแห่งแสงสว่าง พระเยซูเจ้าทรงสัญญาว่า "เมื่อพระจิตเจ้าจะเสด็จมา พระองค์จะทรงสอนทุกอย่าง และทำให้ท่านจำสิ่งทั้งหมด" (ยน.14,26) .และจะทรงนำท่านสู่ความจริงครบบริบูรณ์" (ยน.16,13) ด้วยเหตุนี้ ด้วยพระคุณของพระจิตสองประการ คือพระปรีชาญาณ และสติปัญญา (เราเปรียบเทียบพระจิตกับแสงสว่าง) พระจิตเจ้าทรงประทานพระคุณสามประการแก่เรา คือ ชีวิต สุขภาพ และความยินดี

แสงสว่างคือชีวิต

ปราศจากแสงสว่างเราก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ต้นไม้ ดอกไม้ สัตว์ต่างๆ ทุกสิ่งก็จะต้องตายไปหมด เมื่อเข้าฤดูใบไม้ผลิ เวลากลางวันจะยาวกว่าเวลากลางคืน ทุกสิ่งกลับมีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง แสงสว่างทำให้สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ใต้ดินกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ เช่น จิ้งหรีด แมลงต่างๆ บินออกมาจากรังด้วยความยินดี แสงสว่างช่วยปลุกนก พวกแมลง สัตว์ใต้ดิน ต้นไม้ ต้นหญ้า หิ่งห้อย ข้าว ผึ้งและดอกไม้นานาชนิดทำให้กลับมีชีวิตขึ้นมาอีกวาระหนึ่ง

อานุภาพของแสงสว่าง นักเขียนชาวเยอรมันผู้ยิ่งใหญ่ ชื่อ โยฮัน วุลห์แกง โกธ กล่าวว่าแสงสว่างมีพลังสูงมาก ทำให้โลกของพืช สัตว์ มนุษย์ กลับมีชีวิตชีวาขึ้น พระคริสตเจ้าก็เช่นกัน ทรงเป็นผู้สร้างชีวิต พระจิตเจ้าทรงประทานชีวิตให้แก่พระเยซูเจ้าโดยผ่านพระแม่มารีย์ พระองค์ทรงประทานชีวิตแก่คริสตชนรุ่นแรก แก่พระศาสนจักรแรกเริ่ม และยังทรงประทานชีวิตแก่เราอีกด้วย "ถ้าพระจิตของพระองค์ผู้ทรงชุบชีวิตให้พระเยซูเจ้ากลับเป็นขึ้นมาจากความตาย ทรงสถิตในท่านทั้งหลาย... พระองค์ก็จะทรงทำให้กายซึ่งต้องตายของท่านกลับเป็นขึ้นมาใหม่ โดยฤทธิ์แห่งพระจิตของพระองค์ ซึ่งทรงสถิตอยู่ในตัวท่าน" (รม.8,10-11)

นี่คือเหตุผลที่พระสังฆราช จำนวน 150 องค์ ที่มาประชุมพระสังคายนาครั้งแรกที่คอนตันติโนเปิล (ค.ศ.381) ได้ให้สมญานามแก่พระจิตเจ้าว่า "เป็นพระเป็นเจ้า ผู้ทรงประทานชีวิต" พวกท่านได้ใช้นามว่า "zoopoion" ซึ่งหมายความว่า ผู้ทรงปั้นชีวิตด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง

ทุกวันนี้ ทุกครั้งที่เราสวดบท "ข้าพเจ้าเชื่อ" เราสวดว่า ข้าพเจ้าเชื่อถึงพระจิต "พระผู้ทรงบันดาลชีวิต"

แสงสว่างคือสุขภาพที่ดี

แสงสว่างช่วยรักษาเยี่ยวยา ตั้งแต่สมัยก่อน รักษาโรคโดยใช้การฉายแสง) Ippocrate นายแพทย์ชาวกรีก ที่มีชื่อในศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล ได้เคยแนะนำให้ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าย้ายไปอยู่ในเมืองที่มีแสงอาทิตย์ ความคิดนี้ทำให้เรารู้ความจริง ทางด้านวิทยาศาสตร์ว่าความมืดทำให้คนเราเกิดอารมณ์เศร้าซึมได้ เพราะต่อมต่างๆ ของร่ายกายจะเจริญเติบโตเมื่อได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ทำให้อารมณ์ซึมเศร้าเบาบางลงไปได้

พระจิตเจ้าทรงเป็นดังแพทย์ที่ทรงรักษาวิญญาณของเรา "ขอทรงชำระล้างมลทินใจให้กลับสดใสเปี่ยมกุศล แผลใจระย่อท้อทุกข์ทน บันดาลดลเหือดหายสลายไป" บทภาวนาสดุดีพระจิตเจ้า พระจิตเจ้าทรงเป็นผู้บรรเทาใจ พระเยซูเจ้าทรงเป็นพยานให้เรา (ยน. 14,26)

แสงสว่างคือความยินดี

ดวงอาทิตย์ที่ให้ความยินดีมากที่สุดแก่ชีวิตเรา เป็นความจริงที่ว่า วันไหนเมฆมืดคลึ้ม วันนั้นจะเป็นวันที่โศกเศร้า จริงไหม?

ประกาศกอิสยาห์ กล่าวว่า "ชนชาติที่ดำเนินในความมืด จะได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ แสงสว่างจะส่องลงมายังบรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินแห่งเงามัจจุราช" (อสย.9,1-2)

แท้จริง เราทุกคนยังต้องพึ่งดวงอาทิตย์ และความสว่าง ทั้งทางด้านจิตใจและด้านร่างกาย เพราะว่าแสงสว่างทำให้จิตใจร่าเริงแจ่มใส และทำให้อารมณ์ราบรื่นชื่นบาน ทางฝ่ายร่างกายก็ทำให้มีชีวิตและสุขภาพที่แข็งแรง

สัญลักษณ์ของพระจิตเจ้าเป็นเสมือนไฟที่ส่องสว่าง ทำให้เราสำนึกถึงความจริงที่ยิ่งใหญ่ ว่าเราทุกคนล้วนขึ้นกับพระเป็นเจ้า ทั้งฝ่ายกายและวิญญาณ

ไฟช่วยชำระความโสมมทั้งหลาย

พระจิตเจ้าทรงทำลายล้างทุกสิ่งที่ไม่ดี เช่น ทรงชำระล้างคำพูดที่ว่า "ฉันอยาก....แต่..." หรือคำว่า "จะเป็นการดี...แต่...." ทำลายล้างคำว่า "ถ้า" "ถ้าฉันมี...." "ถ้าฉันเจริญชีวิตในที่อื่น...." ทำลายคำอุทาน สามหาว... คำว่า "เบื่อหน่าย" และความโสมมทั้งหลายที่ร้ายกว่าคนที่ติดบุหรี่เสียอีก...

ไฟของพระจิตเจ้าเปลี่ยนคำว่า "แต่" เป็นคำว่า "อยาก" คำว่า "ถ้า" เป็นคำว่า "ค่ะ, ครับ" ยอมรับและยืนยันว่าจะทำให้ดีกว่านี้

การชำระล้าง คำว่า "แต่" คำว่า "ถ้า" และคำอุทานของมนุษย์ให้กลับเป็นอิสระ ชำระล้างคำต่างๆ เหล่านี้ทุกวัน เป็นการยกระดับของชีวิตให้สูงขึ้น

ไฟ หลอมสิ่งต่างๆ พร้อมๆ กัน

เหตุนี้ พระศาสนจักรจึงภาวนาต่อองค์พระจิตเจ้าว่า โปรดให้ไฟของพระองค์ รวมวิญญาณทุกดวงให้เป็นหนึ่งเดียวกัน พระจิตเจ้าทรงบันดาลให้เราระลึกว่าการที่จะอยู่เคียงข้างผู้อื่นนั้นไม่เพียงพอ แต่ต้องรวมให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้ๆ กับตัวอื่น ไม่สามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ มนุษย์เท่านั้นที่สามารถเจริญชีวิตร่วมกันได้ การร่วมเป็นจิตหนึ่งใจเดียวกัน เจริญชีวิตด้วยกัน นับเป็นพระพรอันประเสริฐสุดของการเป็นมนุษย์

ที่จริง หากเราเจริญชีวิตด้วยความจริงใจต่อกัน บรรยากาศก็จะเปลี่ยนแปลงไป เราจะกลับเป็นคนสงบ อารมณ์ดี แจ่มใส มีพลัง เหมือนได้อาบแดดในทุกส่วนของร่างกาย

ไฟทำให้สิ่งที่แข็งกลับอ่อนนิ่ม เป็นพลังและพลานุภาพ

คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก ชี้ชัดว่า ไฟเป็นสัญลักษณ์ของพลังที่ก่อให้เกิดเปลี่ยนแปลงของพระจิตเจ้า (น.696) มนุษย์เท่านั้นที่รู้จักก่อไฟ เพราะเหตุนี้จึงมีอำนาจเหนือสิ่งสร้างทั้งหลาย

ชาวกรีกโบราณซึ่งหยั่งรู้ถึงพลานุภาพของไฟ เล่าว่า เทพโปรโมเทอุส ได้ขโมยไฟจากเทพเจ้า ดังนั้นเซอูสซึ่งถือว่าเป็นเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เกรงว่าถ้าโปรโมเทอุสขโมยไฟจากตนไปได้ ก็จะสามารถยึดอำนาจไปด้วย จึงลงโทษโดยล่ามโซ่ไว้บนภูเขา เคาคารโซ ที่ซึ่งนกอินทรีย์จะมาจิกกินตับของโปรโมเทอุสตลอดไป

ไฟเป็นพลัง แต่พระจิตเจ้ามีพลานุภาพมากกว่านั้นอีก พลานุภาพของพระองค์เป็นพลานุภาพภายในซึ่งเกิดจากความเชื่อ และความไว้วางใจ พลานุภาพของพระจิตเจ้ารับการท้าทายของโลก และยอมรับแม้กระทั่งความตาย ตัวอย่างพลานุภาพที่มองเห็นได้ชัดก็คือ หลังจากวันเสด็จมาของพระจิตเจ้า พวกสาวกกลับเป็นผู้กล้าหาญในการประกาศ (กจ.4,31) มีความกระตือรือร้นในการกระทำ มีความมานะจนกระทั่งเป็นมรณสักขี

ไฟให้ความอบอุ่น

พระจิตเจ้าให้ความอบอุ่น ในบทภาวนา เราสวดว่า "โปรดให้สิ่งที่เย็นชาได้กลับอบอุ่น" เป็นบทประพันธ์ที่ลึกซึ้ง ซึ่งพระศาสนจักรได้ภาวนาในวันฉลองพระจิตเจ้า

มีบทภาวนาอีกบทหนึ่งที่ว่า "โปรดเสด็จมาเถิด พระจิตเจ้าข้า โปรดเสด็จมาในดวงใจสัตบุรุษ และบันดาลให้เร่าร้อนด้วยไฟแห่งความรักของพระองค์"

พระจิตเจ้าทรงเป็นพระจิตแห่งความรัก เป็นพระจิตเจ้าเองที่ทรงทำงานในดวงใจและเปลี่ยนดวงใจ ประกาศกเอเซเคียล กล่าวว่า "เราจะให้ดวงใจใหม่แก่เจ้า เราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากใจของเจ้า และให้ใจเนื้อแก่เจ้า และจะใส่วิญญาณของเราภายในเจ้า และกระทำให้เจ้าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา" (อสค.36:26-27)

ไม่มีอะไรที่ชัดไปกว่านี้ พระจิตเจ้าทรงเป็นพระผู้ยิ่งใหญ่ ทรงเป็นโอสถวิเศษ ที่สามารถรักษาหัวใจจอมปลอม ที่ทำให้โลกเย็นเฉย ที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง

วันหนึ่งมีผู้ถาม ถามนักปราชญ์ท่านหนึ่งว่า "ถ้าเผอิญเกิดไฟไหม้ขึ้น ท่านจะนำสิ่งใดออกไปก่อน" ท่านตอบว่า "ฉันจะเอาไฟออกไป" ให้เรากระทำเช่นเดียวกัน ให้เรานำเอาพระจิตออกมาก่อน เพื่อให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง

 

แด่ลมปราณแห่งพระจิตเจ้า

แด่ลมปราณแห่งพระจิตของพระองค์
ซึ่งพัดไปทางไหนก็ได้ อย่างอิสระ และประทานความอิสระ
ที่ชนะกฏเกณฑ์ของบาปและความตาย
แด่ลมปราณแห่งพระจิตของพระองค์
ซึ่งมาบังเกิดในดวงใจและในครรภ์ของสตรีชาวนาซาแร็ธ
แด่ลมปราณแห่งพระจิตของพระองค์ ซึ่งสถิตในใจพระเยซูเจ้า

เพื่อส่งไปและประกาศข่าวดีแก่คนยากจน
และช่วยบรรดาเชลย นักโทษ ให้ได้รับอิสรภาพ
แด่ลมปราณแห่งพระจิตของพระองค์
ซึ่งพัดเอาความหวาดกลัวของพระศาสนจักรให้หมดสิ้นไป
เผาผลาญบรรดาผู้มีความมักใหญ่ใฝ่สูง
ชำระพระศาสนจักรด้วยความยากจนและการเป็นมรณสักขึ

แด่ลมปราณแห่งพระจิตของพระองค์
ซึ่งทำให้ผู้หยิ่งจองหอง หน้าซื่อใจคด เอารัดเอาเปรียบ
ให้กลับกลายเป็นเถ้าถ่าน และทรงเติมเปลวไฟ
แห่งความยุติธรรมให้อิสระภาพที่ลุกโชติช่วง
ลมปราณเป็นวิญญาณของพระอาณาจักรพระเจ้า
ให้เรากลับเป็นลมในลมปราณของพระองค์เถิด

(Pedro Casaldaliga)

Hosted by www.Geocities.ws

1