อยู่กับป่า
ฝนตกโปรยปรายมาสองวันแล้ว
"พรุ่งนี้เราหยอดข้าว ทำแกงข้าวคั่วเลี้ยงคนที่มาช่วยคงดีนะ"
อะเมียะหยิ่ง วัย 50 ปี บอกดาบือซึ่งเป็นภรรยา
"พี่พาจะเล่อกับจะคี้ไปด้วยตอนเช้าเลย สายๆ ฉันกับพ่าจะตามไป" ดาบือพูดถึงลูกสาว 3 คน
พ่าลูกสาวคนโตเพิ่งแรกรุ่น ต้องช่วยแม่ทำอาหาร ส่วนจะเล่อและจะคี้ยังเรียนอยู่ชั้น ป.2 และ ป.1 ดาบือจึงอยากให้ไปอยู่ที่ไร่ เพื่อจะได้ไม่มารบกวนเธอ เมื่อทำอาหาร
แต่เช้าอะเมียะหยิ่งพร้อมด้วยลูกสาว 2 คน เดินไปไร่ที่จะปลูกข้าว ซึ่งห่างจากหมู่บ้านไปราว 1 กิโลเมตร
อะเมียะหยิ่งเลือกบริเวณมุมหนึ่งของไร่ ขุดหลุมและหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าว รวม 7 หลุม ขีดเขตรอบทั้ง 7 หลุม พร้อมบอกกล่าวต่อแม่ธรณี แม่โพสพ เทวดาอารักษ์ ขอใช้ ที่บริเวณนี้ในการปลูกข้าว และ ขอให้ต้นข้าวเจริญงอกงามดี
ไม่นาน ปี้ลี่-ลูกชายและเพื่อนบ้านตามมาพร้อมด้วยเมล็ดพันธุ์ข้าวและน้ำดื่ม
เมล็ดพันธุ์ข้าว มีพันธุ์ข้าวเจ้าสองถังไว้สำหรับกินและทำขนมจีน เมล็ดพันธุ์ข้าวเหนียวครึ่งถัง ไว้ทำขนมกินในวาระต่าง ๆ
ปี้ลี่และเพื่อนวัยหนุ่มฉกรรจ์อีก 2 คน ทำเสียมด้ามยาวคนละอัน เริ่มงานก่อนด้วยการขุดหลุม สำหรับหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าว ห่างกันประมาณเกือบฟุต
ผู้ที่มาช่วยที่เหลือหยิบกระบอกไม้ไผ่ซึ่งใส่เมล็ดพันธุ์ข้าว หยอดเมล็ดข้าวลงในหลุม ประมาณหลุมละ 8-15 เมล็ด แล้วใช้เท้าดันดินปิดหลุม
คนขุดด้วยเสียมด้ามยาว 1 คน จะมีคนหยอดเดินตาม 2-4 คน
ชายหนุ่มผู้ขุดดูจะเข้มแข็งมากเป็นพิเศษ เพราะมีสาว ๆ มาร่วมหยอดข้าวหลายคน ขณะที่สาว ๆ ก็ไม่น้อยหน้า ทำงานโดยแทบไม่หยุดพัก
ต่างพยายามให้อีกฝ่ายเห็นว่าตนขยันขันแข็งเอาการเอางาน
คนเฒ่าคนแก่ค่อย ๆ ทำตามกำลังที่น้อย และสังเกตความขยันขันแข็งของหนุ่มสาวอย่างพอใจ
"แข่งกันไหม"
ปี้ลี่ถามกลุ่มสาว ๆ "คนขุดกับคนหยอดใครจะเร็วกว่ากัน"
"เอาซิ"
สาวๆ ตอบ พร้อมกับเร่งหยอดข้าวเร็วขึ้น เพื่อให้ทันปี้ลี่ที่ขุดหลุมนำอยู่ข้างหน้า
ปี้ลี่เร่งขุดจนเหงื่อไหลโทรม
สาว ๆ เห็นท่าจะไม่ทัน ก็เรียกเพื่อน ๆ มาช่วยหยอดอีก ไม่นานก็ทันปี้ลี่
แน่นอนแข่งกันทีไร สาวย่อมชนะหนุ่มเสมอ
ทุกคนเหนื่อย แต่หัวเราะอย่างมีความสุข โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่พูดกระเซ้าเย้าแหย่กันตลอดเวลา คนที่มีความสุขมากกว่าใครคืออะเมียะหยิ่ง ซึ่งเป็นเจ้าของไร่ เพราะไม่นานก็หยอดข้าวได้เกือบครึ่งแล้ว
ยามสาย แดดเริ่มร้อน จะเล่อและจะคี้นำแตงไทยและแตงเปรี้ยวที่ขึ้นตามริมไร่ ไปแจกให้ผู้มาหยอดข้าว ความเย็นฉ่ำของแตงทำให้ทุกคนสดชื่นขึ้นในยามร้อน
กลุ่มหนุ่มสาวนั่งพักและพูดคุยเย้าแหย่กัน ขณะที่คนเฒ่าคนแก่สูบยาเส้นหรือกินหมาก พักใหญ่ก็เริ่มหยอดข้าวกันต่อ
เกือบเที่ยง ดาบือและพ่า มาพร้อมด้วยข้าวสวยและแกงข้าวคั่ว
ทุกคนหยุดงาน ต่างหาอุปกรณ์รองรับอาหารมาล้อมวง
บ้างใช้ฝาหม้อ บ้างใช้ใบตอง บ้างใช้กระบอกไม้ไผ่ ผ่าซีกตามยาว
ช้อนมีไม่พอ แต่ไม่ใข่ปัญหาเพราะส่วนใหญ่กินด้วยมือ
บางคนเด็ดผักกูด ผักหนาม จากริมห้วย บางคนตัดยอดหวาย มากินแนมกับแกงข้าวคั่ว
ความเหนื่อยและความหิว ทำให้รู้สึกว่ากับข้าวอร่อยมาก
นั่งกินกันกลางดินใต้ร่มไม้ กินอย่างง่าย ๆ แต่ กินกันได้มากกว่าปกติ
เมฆขยายตัวมากขึ้น และลอยต่ำลง อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ ไม่นานฝนก็โปรยลงมา
ช่วงหยอดข้าวฝนยังตกไม่หนัก แต่ก็โปรยปรายได้เกือบตลอดวัน
"นี่แม่" อะเมียะหยิ่งพูดกับดาบือ "วันมะรืนนี้หม่องไน้จะหยอดข้าว ให้ใครไปช่วยเขาดีล่ะ วันนี้ลูกเขาก็มาช่วยเรา 2 คน"
"ให้ปี้ลี่กับพ่าไปแล้วกัน" ดาบือตอบ "พรุ่งนี้ฉันจะไปช่วยเติ๊กซ่าหยอดข้าว พี่ไปด้วยกันซิ วันนี้เขายังมาช่วยเราทั้งผัวทั้งเมียเลย"
เป็นประเพณีของการลงแขกว่า หากมีแรงงานมาช่วยจำนวนเท่าใดจะต้องใช้แรงงานคืนจำนวนเท่ากัน
บ้านใดที่มีลูกชายขยันขันแข็งมาก มักมีผู้มาช่วยมาก เพราะจะได้แรงงานที่ขยันขันแข็งมาช่วยตอบแทน
บ้านที่ไม่ค่อยขยันก็มีแต่ญาติพี่น้องที่สนิทมาช่วย คนขยันขันแข็งจะเป็นที่รักใคร่ในหมู่บ้าน
ต่างจากคนที่ขี้เกียจที่ไม่ค่อยมีใครอยากร่วมงานด้วย
วัดคุณค่าของคนด้วยความดี และความขยันหมั่นเพียร มิใช่เงินตรา
ฝนยังคงโปรยปราย การหยอดข้าวดำเนินต่อไปหากฝนไม่หนักเกินไป ทุกคนจะไม่หยุด เพราะต้องการให้หยอดข้าวเสร็จในวันเดียว วันรุ่งขี้นต้องไปช่วยบ้านอื่นหยอดข้าวอีก
บ่ายแก่เมล็ดพันธุ์ข้าวที่เตรียมไว้ไม่พอ ยังเหลือพื้นที่ที่เตรียมไว้อีกเล็กน้อย อะเมียะหยิ่งให้ปี้ลี่วิ่งกลับไปเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวที่บ้านมาเพิ่ม
ไม่นานก็หยอดข้าวเต็มพื้นที่ที่เตรียมไว้
อะเมียะหยิ่งและดาบือขอบคุณทุกคนที่มาช่วยและแยกย้ายกันกลับบ้าน
ช่วงหยอดข้าวเป็นช่วงที่เหนื่อยที่สุด แต่มีความสุขมากที่สุดช่วงหนึ่ง เริ่มงานแต่เช้า แทบไม่ได้หยุด ท่ามกลางแสงแดดและสายฝน กว่าจะเสร็จก็เย็น แต่ก็ได้พบปะพูดคุยกับญาติมิตร ทำงานไปพลาง กระเซ้าเย้าแหย่กันไปพลาง
ชีวิตเป็นไปตามธรรมชาติ แล้วแต่ฟ้าดินกำหนด เมื่อถึงฤดูเพาะปลูกก็เพาะปลูก เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็เก็บเกี่ยว
ฝนมาก็หยอดข้าว แล้วปล่อยให้ธรรมชาติดูแลบำรุงเลี้ยงเมล็ดพันธุ์ข้าวเติบโตเป็นต้นข้าวให้รวงสีทอง
ทุกคนยอมรับกฎเกณฑ์และความเป็นไปของธรรมชาติ ไม่เคยคิดดัดแปลงหรือเอาชนะเพราะเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ "ไม่มีใครเอาชนะธรรมชาติได้หรอก" ลุงตาฉี้สอนลูกหลาน และบอกต่อว่า
"หากเราปฏิบัติตามธรรมชาติ ถูกต้องตามธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะให้แต่สิ่งดีงามกับเรา ถ้าเราทำไม่ดีต่อธรรมชาติ ผลไม่ดีก็จะเกิดกับตัวเราและหมู่บ้านของเรา"
อะเมียะหยิ่งมองดูไร่ข้าวที่เพิ่งหยอดข้าวเสร็จสิ้น หากฝนโปรยปรายต่อไปอย่างนี้ อะเมียะหยิ่งมั่นใจว่าต้นข้าวจะงอกและเจริญเติบโตอย่างแน่นอนเพราะธรรมชาติเป็นอย่างนั้น และไม่เคยผิดพลาด
"เหมือนความดี" ลุงตาฉี้บอก "หากปลูกความดีไว้แล้ว ผลออกมาย่อมงอกงามเป็นความดีเป็นผลดี จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้"
"เพราะธรรมชาติเป็นเช่นนั้น"
|
|