1.3 ความกว้างแก้มยาง |
คือความกว้างของแก้มยางหน่วยเป็นมิลิเมตร (มิใช่หน้ายางที่สัมผัสพื้นถนน) เมื่อยางนั้นใส่กับขนาดความกว้างของกระทะล้อที่แนะนำ เมื่อยางใส่กับกระทะล้อที่กว้างขึ้นตัวเลขจะมากขึ้น ถ้าใส่กับกระทะล้อที่แคบลงตัวเลขจะน้อยลง โดยมีค่าประมาณ +- 5 มม. ต่อขนาดกระทะล้อที่เปลี่ยนแปลง +- 0.5 นิ้ว ยางต่างรุ่น หรือ ยี่ห้อที่ระบุความกว้างของแก้มยางเท่ากันอาจมีความกว้างหน้ายางส่วนสัมผัสถนนไม่เท่ากัน |
1.4 อัตราส่วนความสูงของยาง |
อัตราส่วน % ความสูงของยางต่อความกว้างของแก้มยาง ในกรณีตัวอย่างนี้คือ 65% ของ 195 คือประมาณ 127 มม. ฉนั้นเส้นผ่าศูนย์กลาง (ความสูงรวมของยาง) คือเส้นผ่าศูนย์กลางของกระทะล้อ (ในกรณีตัวอย่างนี้คือ 15" หรือ 381 มม.) บวกความสูงของยางทั้ง 2 ขอบของกระทะล้อเท่ากับประมาณ (254มม. +381มม.) = 635มม. ฉนั้นทุกครั้ง เมื่อต้องการเปลี่ยนขนาดยางและล้อ มาตรฐานที่ติดรถต้องให้ได้ค่าความสูงรวมของยางใกล้เคียงของเดิมให้มากที่สุด |
1.5 วันผลิต |
จะระบุอยู่หลังอักษร DOT ( US. Department of Transportation) เป็นตัวเลข 4 หลัก |
2 หลักแรกระบุ เลข 2 ตัวท้ายของปีที่ผลิต กรณีนี้ 01 หมายถึงปี 2001 |
2 หลักสุดท้ายระบุถึงสัปดาห์ที่ผลิตในปีนั้น กรณีนี้ 05 หมายถึง สับดาห์ที่ 5 ของปี 2001 |
0105 หมายถึงยางที่ผลิตในสับดาห์ที่ 5 ของปี 2001 |
ผู้ผลิตบางรายยกตัวอย่างเช่น BRIDGESTONE ไม่ระบุ วันผลิตตามมาตรฐาน DOT แต่จะระบุโดยใช้สัญลักษณ์พิเศษ ซึ่งถือเป็นความลับของบริษัทฯ แต่สามารถดูได้จาก stamp ระบุเดือนและปีผลิตบนแก้มยาง |
1.6 UTQG code |
ยางที่จำหน่ายใน สหรัฐเอมริกา และมีขนาดล้อตั้งแต่ 13 นิ้ว ขึ้นไปต้องระบุสมรรถณะของยางใน 3 หัวข้อคือ |
1. TREADWEAR |
2. TRACTION |
3. TEMPERATURE |
UTQG ย่อมาจาก "Uniform Tire Quality Grading" ซึ่งถูกกำหนดขึ้นโดย FMVSS (Federal Motor Vehicle Safety Standares) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา |
Treadwear |
ตัวเลขยิ่งสูงยิ่งดี เป็นการวัดการทนการสึกของดอกกยาง โดยทำการทดสอบ ณ เส้นทางทดสอบของรัฐบาลในรัฐ TEXAS ยาวทั้งสิ้น 400 ไมล์ ภายใต้สภาพแวดล้อมควบคุม โดยมี index มาตรฐานคือ 100 และเพิ่มขึ้นหรือลดลงครั้งละ 20 ยางที่มี tread wear 200 หมายความว่าสึกช้าเป็น 2 เท่าของยางที่มี tread wear index 100 |
Traction |
มี 3 ระดับคือ A, B, C โดย A ถือว่าดีที่สุด เป็นการวัดความสามารถในการหยุดบนถนนเปียกทางตรง โดยทำการวัดขณะล้อเบรกจนล็อค บนสภาพพื้นผิวที่ถูกจัดทำโดยรัฐบาลบนถนนผิว concrete และ asphalt การทดสอบนี้ไม่เกี่ยวกับการเกาะถนน หรือความสามารถในการเข้าโค้งของยางนั้นๆ |
Temperature |
มี 3 ระดับคือ A, B, C โดย A ถือว่าดีที่สุด วัดความสามารถในการป้องกัน และการระบายความร้อนของยางทอสอบในห้องทดลองบนล้อเทียม ยางทุกเส้นต้องผ่านมาตรฐานอย่างต่ำ C ค่า C คือผ่านการทดสอบที่ 137 กม/ชม เป็นเวลา 30 นาที B 176 กม/ชม และ A 208 กม./ชม |
ลมยางอ่อนคือศัตรูสำคัญที่สุดของยาง ทั้งในเรื่องอายุการใช้งาน และความปลอดภัย นอกจากการออกแบบของยางแล้ว อายุการใช้งานของยางขึ้นอยู่กับ ปัจจัยหลายชนิดโดยตัวแปรที่สำคัญที่สุดคือ ลมยาง สภาพถนน และนิสัยการขับขี่ ของผู้ขับขี่ โดยทั่วไปแล้วยางที่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง จะมีอายุการใช้งานได้หลายปี หลายหมื่นกิโลเมตร โดยยางประเภท sport high performance จะมีอายุการใช้งานสั้นกว่า ยางประเภทใช้งานทั้วไปเล็กน้อย ยางเรเดียลมีอายุการใช้งานนานกว่ายางใช้ยางใน และยางเรเดียลเสริมใยเหล็กมีอายุการใช้งานนานกว่ายางเรเดียลผ้าใบ |
2.1 Wear indicator |
จะมีระบุอยู่บนยางทุกเส้น เมื่อดอกยางสึกลงมาถึงระดับ wear indicator นี้แล้ว ต้องเปลี่ยนยางทันทีในบางประเทศผู้ใช้รถถือว่าทำผิดกฎหมาย ถ้ายังไม่เปลี่ยนยางเมื่อสึกถึงระดับ wear indicator |
2.2 ลมยาง |
เติมลมยางไม่ถูกต้องมีผลต่อ สมรรถณะ ความปลอดภัย อายุการใช้งาน และการกินน้ำมันมากผิดปกติของรถ |
ลมยางอ่อนลงอย่างน้อย 1 psi ทุก 1 เดือน แม้ยางและล้อจะอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด ฉนั้นควรตรวจลมอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง |
ลมยางอ่อนมักมองไม่เห็นความแตกต่างด้วยตาเปล่า ยางที่ลมเหลือ 20 psi จาก 30 psi ดูด้วยสายตาอาจมองไม่เห็นความแตกต่าง ต้องใช้เครื่องมือวัดเท่านั้น |
ลมยางอ่อน ก่อให้เกิดความร้อนสูงขณะขับขี่ด้วนความเร็วสูง ยิ่งอ่อนมากความร้อนยิ่งสูงมาก เป็นสาเหตุของยางระเบิด |
ลมยางอ่อน ส่งผลให้ความสามารถในการรับน้ำหนักของยางลดลง ก่อให้เกิออันตรายเช่นเดียวกับยางที่บรรทุกน้ำหนักเกินกำหนด |
ลมยางอ่อนทำให้อายุการใช้งานของยางสั้นลงมาก ดังตัวอย่างต่อไปนี้จากการศึกษาของผู้ผลิตยางบางรายได้ข้อมูลว่า |
* ลมยางอ่อน 30% จากที่ผู้ผลิตแนะนำเช่นจาก 30 เหลือ 20 psi มีผลทำให้อายุการใช้งานของยางสั้นลงประมาณ 30% |
* ลมยางอ่อน 50% จะส่งผลให้อายุการใช้งานของยางสั้นลงประมาณ 75% |
ห้ามเติมลมยางเกินค่าสูงสุดที่ผู้ผลิตกำหนดโดยเด็ดขาด เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ซึ่งพบได้บ่อยมากในรถตู้และรถกระบะในประเทศไทย |
การเติมลมยางต้องเติมขณะยางเย็นเท่านั้น ยางเย็นหมายความถึงยางที่ทิ้งไว้หลังจากวิ่งระยะทางไกลมาแล้ว |
ไม่น้อยกว่า1 ชม. หรือ ยางที่วิ่งด้วยความเร็วต่ำในเมืองไม่เกิน 2 - 3 กม. |
ไม่มีคำแนะนำตายตัวว่าควรจะเติมลมยางเท่าไร ผู้ใช้รถต้องยึดถือตามค่าที่ผู้ผลิตรถยนต์แต่ละรุ่นแนะนำมาเท่านั้น |
ค่าลมยางแนะนำนี้ ผู้ผลิตรถยนต์จะร่วมมือกับผู้ผลิตยาง แนะนำสำหรับรถแต่ละรุ่นโดยดูจาก น้ำหนักรถ การกระจายน้ำหนัก ประเภทการใช้งาน นิสัยการขับขี่ของลูกค้ารถแต่ละประเภท รวมถึงการชดเชยลักษณะการทรงตัวของรถ แต่ละรุ่นเทียบกับขนาดและ spec ของยาง โดยต้องไม่ลืมว่าเมื่อบรรทุกหนัก หรือขับขี่ด้วยความเร็วสูงต้องเพิ่มลมยางตามที่ผู้ผลิตแนะนำด้วยทุกครั้ง |
เมื่อเกิดอาการยางอ่อน เนื่องจากรั่วสามารถทำการซ่อมปะได้ แต่ห้ามทำการซ่อมปะยางที่แก้มยาง หรือ ซ่อมปะหน้ายางที่มีแผลรูขนาดใหญ่กว่า 1/2 ซม. |
2.3 สภาพถนน และ นิสัยการขับขี่ |
นิสัยการขับขี่และการเลือกใช้เส้นทางของผู้ใช้รถ มีผลต่ออายุการใช้งานของยางเป็นอย่างมาก เช่นการออกล้อฟรีหรือการเบรค จนล้อล๊อคยางสึกไปหลายกรัมซึ่งเทียบกับการขับปกติได้หลายพันกิโลเมตร |
การขับขี่ที่ความเร็วสูงทำให้ยางสึกมากกว่าการใช้งานที่ความเร็วต่ำ |
ยางที่วิ่งด้วนความเร็ว 110 กม/ชม สึกมากกว่ายางที่วิ่งด้วยความเร็วตาม กฏหมาย 90 กม./ชม ถึงประมาณ 30% |
สภาพพื้นถนนมีผลต่อการสสึกของยาง ถนนคอนกรีตสึกเร็วกว่าถนนลาดยางมะตอย ถนนลูกรังดินแดงทำให้ |
ยางสึกเร็วกว่าถนนยางมะตอย เรียบ ถึง 1 เท่าตัว |
ถนนที่มีสภาพร้อนทำให้ยางสึกเร็วกว่าถนนที่เย็นจากการศึกษาของผู้ผลิตยางบางรายพบว่า |
* ยางวิ่งที่อุณหภูมิอากาศ 40c ยางสึกเร็วกว่าที่อุณหภูมิ 30c ถึงกว่า 25% |
2.4 การสลับยาง |
การสลับยางเป็นสิ่งจำเป็น การสลับยางช่วยให้ยางสึกสม่ำเสมอใก้ลเคียงกันทุกเส้น ช่วยให้ยางแต่ละเส้นในรถคันนั้นมีอายุการใช้งานใก้ลเคียงกัน การสลับยางควรทำตามระยะทางที่กำหนดในคู่มือรถ ถ้าไม่มีกำหนดควรทำทุก 5000 กม. สำหรับรถใช้งานหนัก ขับขี่ความเร็วสูงหรือรถเก่าช่วงล่างไม่ดี หรือทุก 10000 กม. สำหรับรถใช้งานทั่วไป การสลับยางครั้งแรกถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดและควรทำที่ 5000 กม. แรก |
- การสลับยางสำหรับรถที่ใช้ยางทั้งสี่ล้อขนาดเท่ากัน ทั้งยางที่ระบุทิศทาง และไม่ระบุทิศทางการวิ่งสลับเป็น ขึ้นลง |