หน้าแรก


 

 

 

นกปรอทจุก
 
ไม่น่าเชื่อว่าคนทั่วไทยนิยมเลี้ยงนกปรอทจุกกัน


          นกปรอทจุก หรือนกกรงหัวจุก เป็นนกที่มีการคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 17 ให้เป็นสัตว์ป่าชนิดที่เพาะพันธุ์ได้ ชนชาติแรกที่นำนกปรอดหัวจุกมาเลี้ยงคือชาวจีน เมื่อประมาณ พ.ศ.2410

          ผมรู้จักนกปรอทจุกมานานแล้ว นานกว่า 50 ปีทีเดียว
  เวลานั้นบ้านผมอยู่หาดใหญ่ครับ คนหาดใหญ่หรือคนใต้ทั่วไปนิยมเลี้ยงนกปรอทจุกกันมาก เลี้ยงกันแทบทุกชนชั้น ทุกระดับ  นกกรงนั้นได้รับอิทธิพลการเลี้ยงมาจากประเทศเพื่อนบ้านเช่นอินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย การเลี้ยงนกปรอทจุกนั้นเป็นการผ่อนคลาย เป็นการพักผ่อนหลังจากเลิกงานแล้ว เพราะสมัยก่อนไม่ค่อยมีอะไรผ่อนคลายที่เหมือนทุกวันนี้

          ทางใต้เรียกว่า นกกรง หรือ "หนกก๋ง"
(อาจเป็นเพราะว่านกอาศัยอยู่ในกรง) เกลือบทุกบ้านทางใต้จะมีนกกรงแขวนอยู่หน้าบ้าน หลายบ้านเลี้ยงเป็นจำนวนมาก นกกรงนิยมเลี้ยงกรงละตัวจึงใช้พื้นที่เลี้ยงที่ไม่ต้องใหญ่มาก  เช่นตามคอนโดหรือหอพัก เพราะสามารถแขวนตรงระเบียง หรือในบ้านก็ได้ แต่ควรมีแสงแดดส่องหน่อยครับ เพราะนกกรงชอบตากแดด  การเลี้ยงนกกรงเป็นความสุขของพวกเขายิ่ง  โดยเฉพาะคนที่มีอาชีพกรีดยางพารา หรือขับขี่มอเตอร์ไซร์รับจ้าง ขับรถตุ๊กๆรับส่งนักเรียน  พวกเขาจะมีเวลาว่างตั้งแต่ช่วงสายๆขึ้นไป เขาจึงนิยมพานกไปเที่ยว   ในส่วนของคนที่มีฐานะดีหน่อยเช่น พนักงานบริษัท เจ้าของร้านค้า เจ้าของโรงสี หรือเจ้าของโรงงานจะไม่ค่อยมีเวลามากนัก  พวกเขาจึงนิยมจ้างซาเล๊งซึ่งสามารถบรรทุกนกได้ครั้งละ 6-8 ตัว (กรง) พานกไปเที่ยว และแขวนตามราวร้านกาแฟ  การเลี้ยงนกกรงฯ  เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขาไปเสียแล้ว เขารักเหมือนลูกของเขา  บางคนจนมาก มีคนมาขอซื้อนกที่เขาเลี้ยงโดยขอซื้อในราคาที่สูงมาก แต่เขาไม่สนใจครับ

          เมื่อก่อนเขาไม่ได้ประกวดการประชันเสียงนกเหมือนทุกวันนี้ เขาจะนำนกมาตีกัน เหมือนการชนไก่ยังไงอย่างงั้น นกกรงป่าเวลานั้นมีมากมาย หน้าบ้านผมยังมีให้เห็นตลอดเวลา ทั้งๆที่บ้านตั้งอยู่ใจกลางเมือง (อยู่ใกล้ห้างเซ็นทรัล) เดี๋ยวนี้ทางใต้ไม่มีนกกรงพื้นเมืองอีกแล้ว  ท่านอาจเคยพบเห็นนกในป่าทางใต้ ไม่น่าเป็นพื้นเมืองทางใต้นะครับ   อาจเป็นนกที่หลุดมา หรือเป็นนกที่อาการเสียที่เจ้าของปล่อยทิ้ง   อาการเสียมีหลายอย่าง ที่ซีเรียดคือ มีเสียงร้องเป็นเพลง "ปิ๊ดปิ้ววววว" รากยาวๆ  นกปิดคอ ตีลังกา จิกหางตัวเอง นกชอบเกาะหลังคาเป็นต้น   


          ตอนผมเด็กๆ กว่าจะซื้อนกซักตัวหรือกรงนก เป็นเรื่องยากมาก เพราะผมใด้ค่าขนมแค่วันละ1บาทเท่านั้น เงิน 1 บาทสมัยนั้น ทานก๊วยเตี๋ยวได้ 1 ชามครับ  นกกรงฯ เวลานั้น นกป่าตัวละ 3 บาท ลูกใบ้ 5 บาท ลูกป้อนแพงมาก ตัวละ 15 บาท ใครต่อใครก็นิยมเลี้ยงลูกป้อนมากกว่าถึงแม้ว่าราคาจะแพงเแค่ใหนก็ตาม คนขายนกเป็นชาวบ้าน ชาวไร่ชาวนาที่มาจากที่อื่นๆ โดยหิ้วมาขายครั้งละ 7-8 ตัว สมัยนั้นนกที่ถูกฝึกให้เชื่องจะนิยมมากกว่าฝึกให้ดุเหมือนทุกวันนี้ ก็เหมือนเลี้ยงนกแก้ว นกขุนทองนั่นแหละ  ผมไม่มีปัญญาซื้อกรงนกหรอก ต้องทำเอง โดยหาเศษไม้ฉำฉาที่เขาทิ้งหน้าห้างฯ ฝรั่ง มาเลื่อยและหาไม้ไผ่มาเหลาแบบง่ายๆ (ป่าไผ่เวลานั้นมีมากมาย) นกที่แพงที่สุดเวลานั้น ตัวละ 300.00 บาท  พวกเถ้าแก่ หรือนายหัวเท่านั้นที่มีโอกาสครอบครอง กรงนกที่แพงที่สุดทำจากกระดูกงู กรงไม้ฝังมุก หรือทำจากงาช้าง คนที่เป็นเจ้าของกรงงาช้างต่างก็ไม่กล้าเปิดเผิยครับ  สมัยนั้นนกเผือกหรือนกด่างราคาไม่แพงเหมือนทุกวันนี้  โอโห! นกเผือกเวลานี้แพงเป็นหลักหลายๆ แสนทีเดียว    เป็นค่านิยม   ก็เหมือนปลาคาร์พตันโจวงสวยไม่มีตำหนิ ผมเห็นกับตามาแล้วครับ ตัวขนาดฟุตครึ่ง เขาประมูลมาจากญี่ปุ่นตีเป็นเงินไทย 7 แสนกว่าบาทที่เดียว  นักเลงนกสมัยนั้นอยากได้นกดีๆ คู่บารมี ต้องไปซื้อที่ตัวเมืองสงขลาซื่งจัดว่า เป็นนกที่ฝึกมาแล้ว และถือว่าเป็นนกที่ดีที่สุดสมัยนั้น  เขาจะขายและแขวนกันริมถนนนครนอกและถนนนครใน  ราคาเริ่มต้นที่ ตัวละ 15 บาท ผมยอมรับว่านกที่เขาขายนั้น ดีจริงๆ ไม่มั่วนิ่มครับ  ผมไปดูหลายรอบครับ อยากได้มาก  ผมต้องทุปกระปุกจึงซื้อได้ มีความภูมิใจและมีความสุขจริงๆที่ได้เป็นเจ้าของ เพราะใครเห็นก็มักแวะชื่นชม และแวะมาทักทายคุยถึงนกตัวนี้อย่างตั้งใจ


          สมัยนั้นนักเลงนกทางใต้ต่างนิยมเลี้ยงนกใต้เท่านั้น ตัวเล็ก ขันเสียงดีกว่า และสู้ จังหวะการเต้นสวยงามมาก เวลานี้นกใต้ไม่น่ามีเหลือแล้ว  เวลานั้นทางใต้เท่านั้นที่นิยมเลี้ยงนกกรงฯ ในขณะที่ คนกรุงเทพฯ หรือคนที่อื่นๆ นิยมเลี้ยงนกเขา นกแก้วนกขุนทองกัน ผมนั่งรถไฟจากใต้มาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ 2 ข้างทางที่รถไฟผ่าน มีแต่คนเลี้ยงนกเขาเล็กและนกเขาใหญ่ กับนกขุนทอง นกเขาเป็นนกไฮโซ สมัยนั้นครับ ราคาเป็นหลักล้านทีเดียว ต่อมาชาวใต้ที่กรุงเทพฯ เริ่มจับกลุ่มเลี้ยงนกกรงกันและขยายเป็นมุมกว้างขึ้น กว้างขึ้น จนเป็นที่นิยมอย่างแรงเช่นทุกวันนี้


          เวลานี้ไม่น่าเชื่อว่าคนทั่วไปในเมืองไทยนิยมเลี้ยงนกปรอทจุกกัน ที่ซีเรียดสุดๆ ยังคงเป็นทางใต้ ท่านเชื่อไม๊ว่าคนใต้ที่มีรายได้น้อยเช่น ผู้ใช้แรงงาน หรือคนขับมอไซร์รับจ้าง คนขับรถตุ๊กๆ พวกเขา กล้าซื้อนกตัวละ 3-5,000.00 บาทโดยไม่ลังเล  การซื้อขายนกดีๆ นั้นส่วนใหญ่จะซื้อขายกันที่ร้านกาแฟที่มีราวแขวนนก   ทางใต้เลี้ยงนกสนุกกว่ากรุงเทพมาก  เพราะสามารถพานกไปเที่ยวตามร้านกาแฟที่มีเป็นจำนวนมากทีเดียว ที่เขาจัดราวเพื่อให้คนเอานกไปแขวนประชันเสียงกัน นั่งสั่งกาแฟโอวัลตินหรือชาถ้วยเดียว ขนมซักห่อ นั่งได้ทั้งวัน โดยเจ้าของร้านไม่เคยบ่น ในร้านกาแฟดังกล่าวยังมีอาหารนกขายหลายอย่าง เช่นตั๊กแตนเป็นๆ (เป็นรายได้เสริมของคนใช้แรงงาน) ลูกตำลึงสุก กล้วยหายากเช่น กล้วยหิน  มันเป็นการพักผ่อนอย่างดีทีเดียวของคนไต้ ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายจริงๆ มีคนทุกชนชั้น ทุกวัย ต่างก็มีความสุขและคุยสนุกเรื่องนกของแต่ละคนที่พานกไปแขวน ผมยังไม่เคยได้ยินใครพูดคุยเรื่องการเมือง! คนเลี้ยงนกเขาไม่สนใจหรอก  การพานกไปเที่ยวนั้นเริ่มต้นจากประเทศจีนเป็นเวลานานแล้ว ท่านอาจเคยดูหนังจีนโบราณ  พวกผู้ดีมักจะพานกออกมาเที่ยวและอวดชาวบ้าน  นกดีๆ ที่ฝึกมาแล้วส่วนใหญ่อยู่ทางใต้ คนกรุงเทพที่ไม่มีเวลาฝึกนก มักเดินทางไปหาซื้อนกทางใต้กันครับ ไม่ผิดหวังแน่   การเลี้ยงนกทำให้ลูกหลานห่างเหินยาเสพติด ห่างจากการติดแกมส์ หรือติดมือถือซึ่งมีแต่รุ่นใหม่ๆ ออกมาสูบเงินผู้ปกครองตลอดเวลา!


          นกปรอทจุกนั้น นกตัวเมียไม่เป็นที่นิยม เพราะร้องไม่ค่อยเป็นเพลง  การเลี้ยงนกถ้าจะเลี้ยงให้ดีนั้นต้องตั้งใจมากเป็นอย่างยิ่ง ต้องละเอียดเรื่องการให้อาหารหลายๆ อย่าง นกกินผลไม้สุกแทบทุกชนิด อาหารเสริมเช่นแมลงต่างๆ หนอน อาหารเม็ด ความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญมากเช่นกัน   เป็นนกที่ฝึกง่าย ไม่ว่าจะฝึกให้เชื่องแบบขี้อ้อน หรือฝึกให้ดุ หมั่นขยันพานกเที่ยว นกต้องตากแดด อย่างน้อยวันละ 3-5 ชั่วโมง ผู้เลี้ยงหลายท่านยอมเสียเงินเพื่อเข้าประกวดทั้งๆ ที่รู้ว่าสู้นกอื่นไม่ได้ เพื่อให้นกคุ้นกับสนามแข่ง


          ถ้าท่านเลี้ยงแบบสนุกๆ ก็ไม่ต้องซีเรียดมาก   ถ้าท่านซีเรียด ท่านต้องเลือกนกที่ดุ สง่างาม หุ่นดี  ตาดุ ตาโต หัวโต อกใหญ่ ปากและขาใหญ่ ท่านต้องสังเกตุให้ดีเช่น ไม่บิดคอ ไม่ตีลังกา ไม่เวียนหาง (จิกหางตัวเอง ) ไม่ควรเลี้ยงลูกนก หรือลูกใบ้ (นกวัยรุ่น) พวกนี้จะขี้อ้อนฝึกให้สู้ยากมาก ผมเองสังเกตุดู นกก็เหมือนคนอีกนั่นแหละ คนบางคนเรียนเก่ง บางคนเรียนไม่เก่ง บางคนเก่งศิลป์ บางคนเก่งวิทย์ บางคนขี้เกลียด บางคนขยัน นกก็มีความเก่งและไม่เก่ง ขยันขัน และปากหนัก(ขี้เกลียดขัน) แตกต่างกันไป การเลือกนกอยู่ที่ฝีมือและประสบการ์ณ บางตัวฝึกง่าย บางตัวเลี้ยงเท่าใหร่ก็ไม่ได้เรื่อง ฉนั้นการเลือกนก จึงมีความจำเป็นมากในพื้นฐาน

          ช่วงฟองสบู่แตกเมื่อ สิบกว่าปีก่อน ผมก็เป็นอีกคนที่ต้องตกงาน จึงได้กลับไปตั้งหลักที่อำเภอเมืองหาดใหญ่บ้านเกิด  ผมได้พยายามหางานต่างๆ ทำ ก็ไม่สำเร็จ จึงมีเวลาว่างหันมาเลี้ยงนกปรอทจุกฯ แก้เซ็ง เริ่มแรกนั้น ผมได้ซื้อนกตัวหนึ่งจากเจ้าหน้าที่รังวัดที่ดิน นกตัวนี้เขาซื้อมาจากชาวบ้านในป่าสวนยางห่างจากตัวเมืองหาดใหญ่ซัก 12 กม.  เป็นนกไม่สวยเลย เขาจึงโล๊ะขายในราคาที่ถูกให้ผม  ชาวใต้เรียกนกตัวนี้ว่านกหน้าเข้ นกตัวนี้ยังร้องเสียงไม่ดีไม่ค่อยเป็นเพลง  แต่ผมชอบเพราะเป็นนกลักษณะที่ดุมาก การยืนสง่างาม ลำคอใหญ่  เขาขายให้ผมในราคา 1,000.00 บาทเท่านั้น  ที่ผมกล้าซื้อเพราะมันเป็นนกแปลกเหมือนนกประสาทไม่กลัวคน  เพราะผมมีเวลาว่างมากนั่นเอง จึงขยันพาเที่ยว และเลี้ยงเป็นอย่างดี   ผมพาออกตากแดดทั้งเช้าและเย็นแบบโหดสุดๆ  ทำให้นกตัวนี้ไม่ค่อยเป็นมิตรกับนกตัวอื่นๆ ที่เข้าใกล้ ผมได้ทดลองพาไปประกวดแบบสากลหลายครั้ง 3 ครั้งแรกตกรอบตลอด ต่อมาแข่งได้ที่ 5 เข้ารอบได้รางวัลพัดลมโนแนมมาเครื่องหนึ่ง ดีใจและภูมิใจสุดๆ  นกตัวนี้ จากราคา 1,000.00 บาท อัพเป็น 4,000.00 บาททันที  (มีคนมาขอซื้อในสนามแข่ง) ต่อมานกตัวนี้กวาดรางวัลแข่งแบบสากลตลอด  เป็นนกที่สู้มากๆ ขนาดแรงหมดยืนคอนไม่ใหวยังลงมาเกาะที่ใต้กรงและขันสู้ตลอดเวลา    นกตัวนี้ไม่เคยได้ที่ 1 อย่างมากก็เข้ารอบสุดท้าย ผมได้รางวัลเต็มบ้าน รางวัลที่เขาจัดให้มักเป็นของใช้ที่มีประโยชน์ประจำบ้าน เช่นข้าวสาร ผงซักฟอกเป็นถังใหญ่ เตารีด ตู้เย็น พัดลม ผ้าห่มผ้านวม  เครื่องครัวต่างๆ  หลังจากนั้นอีก 5 เดือนต่อมา  ผมมีความจำเป็นต้องไปทำงานที่กรุงเทพฯ จึงได้ขายนกตัวนี้ไป 10,000.00 บาทให้กับวัยรุ่นคนหนึ่งที่พยายามตามตื้อผมให้ขายให้เขาตลอดเวลา  ช่วงที่อยู่กรุงเทพฯนั้น  ผมก็พยายามติดตามข่าวนกตัวนี้ตลอดเวลา  ได้ทราบมาว่า วัยรุ่นคนนี้เขาพานกไปอวดคนทั่วเมืองหาดใหญ่  โดยมัดกับท้ายจักรยานถีบของเขา  การทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องมากในการฝึกนก เพราะนกจะคุ้นกับสถานที่ที่ได้ออกเที่ยว และยังคุ้นกับคนแปลกหน้ามากหน้าหลายตา  นกยังมีความรู้สึกเป็นจ่าฝูงเมื่อได้ปะทะกับนกตัวอื่นๆ   อีกไม่นานต่อมาผมทราบข่าวมาว่านกตัวนี้ ประกวดได้ที่ 1ในสนามใหญ่ที่ ตัวเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ถ้วยรางวัลใหญ่  มีคนมาให้ราคาในสนามแข่งทันที ถึง 50,000.00 บาททีเดียว แต่เจ้าของใหม่ไม่ขาย ซื้อมา 1,000.00 บาท อีก 2 ปีต่อมามีราคาถึง 50,000.00 บาท เป็นเรื่องจริงนะครับ  สรุปว่า ท่านต้องเลือกนกสู้ ลักษณะนักเลงโต และต้องขยันพาเที่ยว ด้วย ดูแลนกด้วยความรัก นั่นคือกุญแจสำคัญที่สุด

          ขอให้โชคดีครับ จากทีมงาน insidegarden

 

 
 
 
 
 
 
 
 

 

 

 

 

 


 



 

 

 



 
 

 

 

 


Copyright [InsideGarden]
115/401 Bangkok-Pathumthani Road, Bangkoowat, Pathumthani 12000, Thailand. e-mail: [email protected]