16 กันยายน, 2543 :: by จารุวรรณ ยั่งยืน
"บางมุมที่เห็น"
คืนวันศุกร์ที่ 15 กย 2543 วันเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ซิดนีย์เกมส์ ดิฉันจัดรายการช่วง 20.30-01.30 ระหว่างที่กำลังคุยกับคนฟังในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกีฬา ประเด็นที่ดิฉันเชี่ยวชาญที่สุด (เชี่ยวชาญชนิดที่จัดรายการไปนั่งพลิกคู่มือการแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆว่าเค้าเล่นกันยังไง ((อิอิ)) และระหว่างนั่งฟังคนโทรศัพท์เข้ามาร่วมพูดคุย เล่าให้ฟังถึงประเภทกีฬาที่ชื่นชอบ เหตุผลที่ชอบ เสน่ห์ของกีฬาชนิดนั้น ดิฉันก็ต้องเตรียมบทสำหรับตัวเองไปด้วย เพราะเชื่อมั่นยังไงต้องเจอคำถามเดียวกันนี้จากคนฟังอย่างแน่นอน 5 ชั่วโมงของการทำงานให้เลี่ยงยังไงก็หนีไม่พ้น
การพูดคุยในประเด็นที่ตัวเองไม่ถนัด ไม่ชื่นชอบเป็นการทรมานและฝืนความรู้สึกเป็นที่สุด ชั่วโมงแรกผ่านไปได้ เพราะดิฉันวิ่งไปลากตัวหัวหน้าข่าวกีฬาของศูนย์ข่าว มาช่วยชีวิตด้วยการพูดคุยถึงความหวังของเหรียญทองและ ความพร้อมของนักกีฬาไทย
พอเริ่มต้นชั่วโมงที่ 2 ชีวิตอยู่ในกำมือค่ะ กีฬาที่ชื่นชอบของคนที่โทรศัพท์เข้ามาพูดคุย ทำเอาดิฉันแทบจะม้วนตัวลงไปนอนอยู่ใต้ะ กอล์ฟ ฟุตบอล 5 สายผ่านไป ดิฉัน chat ไปถามโปรดิวเซอร์ "กีฬาในโลกนี้มันมีอยุ่แค่ 2 ชนิดนี้เท่านั้นหรือคะ ง่วง!!"คือจริงๆแล้ว มันก็สนุกและให้ข้อคิดนะค่ะที่แต่ละคนเล่ามา "เกมการแข่งขันฟุตบอล มันก็เหมือนกับเกมส์ชีวิต กลิ้งไปได้เรื่อยๆแต่สนามของชีวิตมันไม่ได้ราบเรียบเหมือนสนามฟุตบอล ล้มลงแต่ละครั้งมันเจ็บเหมือนกัน แต่สนามชีวิตเมื่อเราเจ็บเราขอหยุดพักไม่ได้ เราต้องต่อสู้ต่อไป"
..ลูกฟุตบอลอย่างดิฉันฟังไปสับปหงกไปค่ะ
"การเล่นกอล์ฟนี่ดีนะคุณ เป็นการฝึกสมาธิ เป็นเกมส์ที่ต้องวางแผน เป็นการฝึกการคิดของเรา""ดีค่ะ
แต่ดิฉันไม่ชอบให้ใครมาเดินตามหลัง อีกอย่างเสียดายนาข้าวที่กลายเป็นสนามกอล์ฟ
."
"เรียกสาย 3 ด่วน คนนี้ชอบขี่ม้า น่าสนใจ" ประโยคนี้ที่ chat เข้ามาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์จากโปรดิวเซอร์ ทำเอาดิฉันตาสว่าง
"ชอบกีฬาขี่ม้าหรือคะ" ระหว่างที่ถามไปภาพในสมองจะนึกไปถึงภาพของสนามม้านางเลิ้ง ภาพของคนที่เดินออกมาจากสนามม้าด้วยท่าทางที่หงุดหงิด ภาพของม้าที่วิ่งออกจากซอง ภาพของการพนันขันต่อ โชคดีนะคะที่คำตอบที่ตอบมาช่วยฉุดดิฉันออกจากภาพเหล่านั้นได้ "ผมชอบดูการแข่งขันม้ากระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง..คนที่นั่งอยู่บนหลังม้าดูสง่า เป็นกีฬาที่ทำให้รู้จักถึงการใช้ชีวิต ที่มีจังหวะและลีลาเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา ชีวิตอยู่ในกำมือของเรา"
ฮาๆๆๆๆดิฉันก็ชอบเจ้าค่ะ
เพราะดิฉันก็จะเริ่มใจลอยไปถึงชายหนุ่มในฝัน
นายตำรวจหนุ่ม(หล่อ/สมาร์ท)นักกีฬาขี้ม้า ที่กำลังเป็นหวานใจของสาวๆในยุคที่ดิฉันยังสวมเสื้อคอซอง
ต้องไว้ผมสั้นพอดีติ่งหู บวก-ลบ คูณหาร เองนะคะ ว่าเดี๋ยวนี้หนุ่มหล่อของดิฉันจะอายุเท่าไหร่(อิอิ)
.แต่ที่แน่ๆชายหนุ่มในฝันที่ทำให้นึกไปถึงเจ้าชายหนุ่มหล่อ ในเทพนิยายทำให้ดิฉันถึงกับอึ้ง
เมื่อเจอและมีโอกาสสัมผัสตัวจริง ในอีก 10 ปีให้หลัง(ตอนทำงานเป็นนักข่าวมีโอกาสได้สัมภาษณ์)
บางครั้งการที่เราแอบปลื้มใครบางคนเพียงแค่การมองดูอยู่ไกลๆดีกว่าการเข้าไปทำความรู้จักและสัมผัสตัวจริงค่ะ โลกของความฝันสวยงามเสมอ(อิอิ)
กลับมาที่เรื่องงานดีกว่านะคะ
สายที่ทำให้ดิฉันตาสว่างมากๆสายนี้ค่ะ สายของเจ้าหน้าที่มูลนิธิ(ปอ หรือ ร่วม หนอ ขอภัยค่ะจำไม่ได้) รายงานเหตุยิงกันเสียชีวิต ตาย 1 บาดเจ็บ 2 ในซอยสุขุมวิท 24 กลางเมือง
แล้วเวลาที่เกิดยังไม่ถึงเที่ยงคืน .. ยิ่งตาสว่างมากขึ้นตอนที่รู้ว่าคนตายและผู้ได้รับบาดเจ็บไม่ใช่คนไทย แต่เป็นชาวอินเดีย ..ส่วนมือปืนเป็นแขกเหมือนกัน แต่ไม่แน่ใจว่าแขกอินเดียหรือปากีสถาน ทุกคนใส่สูทดำ แว่นดำ .ใช้ปืนยิงกราด ในที่เกิดเหตุพบกระสุนปืนกว่า 40 นัด
ยิงแบบไม่เลี้ยง ดิฉันนึกภาพไปถึงพวกมาเฟียในหนังฮ่องกง ยิงกันหูดับตับแทบไหม้ สงสัยมาไกลเลยต้องยิงให้คุ้มกับค่าเครื่องบิน หรือไม่ก็คงไม่ใช่พวกมือปืนอาชีพ แหม!ช่างกระทำการอุกอาจเย้ยหยันฝีมือตำรวจไทยเสียนี่กระไร
เมืองไทยหนอเมืองไทย เมืองแห่งรอยยิ้มและแดนสวรรค์ของนักก่อการร้ายและอาชญากรข้ามชาติ นโยบายของการขายการท่องเที่ยวกลายเป็นช่องโหว่แสนกว้างที่อำนวยความสะดวกให้กับโจรผู้ร้ายข้ามชาติ
หลายครั้งหลายหน หลายคดีที่ใช้บ้านเราเมืองเราเป็นสถานที่จัดการกับฝ่ายตรงข้าม ฆ่าเสร็จบินกลับไปเดินเล่นสบายใจที่เมืองเกิด ถ้าคดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับคนร้ายได้ไม่หมด เตรียมตัวเรียมใจต้อนรับขบวนพาเหรดมือปืนต่างชาติที่จะบินมาฆ่าในไทยกันอีกหลายๆคดีได้เลยค่ะ!!(คดีนี้ก็เหมือนกันค่ะ เพราะอีกวันกลายเป็นข่าวใหญ่ ของนสพ.เกือบทุกฉบับ ก็เป็นเจ้าพ่อจากอินเดียบินมาฆ่าเพื่อนร่วมแก็งค์จริงๆอย่างที่คาดไว้นั้นล่ะค่ะ
เห็นมั๊ยค่ะ ว่าดิฉันเป็นพวกชอบหลงประเด็นคุยเรื่องนี้แล้วชอบชะแว๊บไปเรื่องโน้น
เอาเป็นว่ากีฬาแต่ละประเภทมีเสน่ห์แตกต่างกันไป ตามความชื่นชอบ ใครชอบอะไรก็จะสนุกกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของกีฬาแต่รวมไปถึงเรื่องของการทำงาน การใช้ชีวิตถ้าเราเดินไปบนเส้นทางที่เราชอบ แต่ในบางช่วงเวลาเราก็ต้องฝืนบ้างกับสิ่งที่เรากำลังทำ เพราะชีวิตไม่ได้มีอยู่เพียงแง่มุมเดียว การฝืนหรือจำยอมทำในสิ่งที่เราไม่ถนัดไม่ชื่นชอบ เป็นการเพิ่มเหลี่ยม เพิ่มแง่มุมความงดงามให้กับชีวิต ถ้าเรามองมันอย่างเข้าใจ ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ ถ้าเราคิดจะทำ
..
นั้นแน่ะ!!ทำหน้าสงสัย อยากทราบใช่มั๊ยค่ะ ว่าดิฉันตอบคนฟังเกี่ยวกับกีฬาที่ตัวเองชื่นชอบยังไง "ดิฉันเป็นคนที่ไม่ชอบนั่งดูกีฬาค่ะ ดิฉันรู้จักชื่อของนักกีฬาน้อยมากจนนับได้ แต่ดิฉันรู้จักวิธีการจับปืน บรรจุลูกกระสุน
และวิธีลั่นไกปืนมาตั้งแต่อายุไม่ถึง 15 ปี ดิฉันพอที่จะทราบว่ายิงตรงจุดไหนแล้วทำ
ให้คนที่ถูกยิงไม่เสียชีวิตหรือพิการ ดิฉันพอที่จะทราบถึงราคาของกระสุนปืน
พอที่จะทราบว่าสนามฝึกยิงปืนอยู่ที่ไหนบ้าง
เหมือนกับที่ดิฉันพอจะทราบว่าสนามแข่งหรือ
ฝึกโกร์ลคาร์ดอยู่ที่ไหนบ้างนั้นล่ะค่ะ(ได้แต่ดูแต่ไม่ยังไม่กล้าเสี่ยงเล่น เอิ๊กๆๆๆ)
..หลังจากนั้นก็นั่งหัวเราะหึหึ
.ฟังเสียงคนฟังที่ล้วนแต่บอกว่าผิดคาดกับสิ่งที่ดิฉันชื่นชอบสิคะ ..
บางสิ่งที่เห็นมันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด
..ดิฉันชอบประโยคนี้มากค่ะ เพราะมันมีความชัดเจนและอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของเราได้ดีที่สุด
แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใด คือ ความรู้-ความชำนาญ ในเรื่องที่เราจะเสนอออกมา มันทรมานค่ะ หากต้องจัดรายการไป เปิดคู่มือไป ....5 ชม.ยิ่งกว่า 50 ปีเจ้าค่ะ
คงไม่มีใครหรอกนะคะ ที่อยากได้ยินคนอื่นพูดถึงในเรื่องของความไม่ฉลาดของตัวเอง!!
>> กลับไปหน้าเดิมค่ะ...:)
|
|