COMPLAIN OR OPINION

8 มีนาคม 2545 :: by วีระพันธ์ โตมีบุญ

"ปั่นปั๊มหัวใจ"

เกริ่นนำ >>>> by จารุวรรณ ยั่งยืน

เมื่อ 2 วันก่อนดิฉันได้รับ e-mail ซึ่งเป็นต้นฉบับที่เขียนให้กับ"สารสองล้อ"เป็นจดหมายข่าวของชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพ... จากเพื่อนรุ่นพี่คุณวีรพันธ์ โตมีบุญ คนข่าวของนสพ.เดลินิวส์ และ 1 ในผู้ดำเนินรายการของคลื่นวิทยุ 90.5 ที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อบุคคล "ต้องห้ามจัดรายการ" จากคลื่นนี้ พี่ชายอารมณ์ดีที่ดูจะหลงใหลในธรรมชาติและการออกกำลังกาย กับความฝัน อยากทำอะไรก็ได้ที่สบายใจได้เขียนหนังสือ ได้ใช้ชีวิตกลางแจ้ง ขี่จักรยานไปดูนก กลางคืนนอนดูดาว อ่านหนังสือหรือเลือกเรียนอะไรให้สมองมันได้เคลื่อนไหว แต่สำคัญต้องไม่ไปเข้าคิวลงทะเบียน!!

คุณวีระพันธ์บอกว่า ที่ส่งมาให้ "ไม่ใช่เพราะนึกว่าเขียนดีเสียนี่กระไร หรือไม่ได้อึดอัดกับการแทรกแซงจนต้องระบายอารมณ์ด้วยวิธีนี้ เพียงแต่อยากให้ตระหนักว่า การออกกำลังกาย คือความจำเป็นสุดยอดอย่างยิ่งสำหรับการดำรงชีวิตภายใต้ความเครียดทั้งปวง……>>>คนโชคดีอย่างซ้อปรัศนีย์ที่ผมรู้จักมีน้อยครับ"

อ่านเรื่องจบดิฉันไม่รอช้าเลยค่ะ อีเมลล์ตอบกลับไปบอกว่า ขออนุญาตินำเรื่องนี้มาลงในเวบไซต์นะคะ และก็ไม่ทันได้รับคำอนุญาติดิฉันก็ถือวิสาสะ ฉกฉวยมาลงในเวบไซต์นี้แล้วล่ะค่ะ …

เพราะดิฉันก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เชื่อว่า "การออกกำลังกาย คือความจำเป็นสุดยอดอย่างยิ่งสำหรับการดำรงชีวิตภายใต้ความเครียดทั้งปวง"

เพราะทุกวันนี้ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่เลือกวิธีออกกำลังกายด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด ด้วยการปั่นจักรยานทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง แต่เป็นจักรยานอยู่กับที่…

มันละลายความเครียดได้จริงๆค่ะ!!



>>>>ปั่นปั๊มหัวใจ>>>by วีระพันธ์ โตมีบุญ

นิยายปรัมปราว่าด้วยเวทย์มนต์ชุบชีวิตเรียกความสนใจได้ฉันใด ถ้าในโลกแห่งความจริงมีสิ่งวิเศษที่ช่วยคืนชีวิตให้โดยไม่ต้องท่องบ่นคาถาใดๆ ก็น่าที่มนุษย์ผู้ยังไม่อยากตายพึงรีบฉวยไว้ใช้ฉันนั้น

การออกกำลังกาย ทั้ง เดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน ก็เป็นทิพย์โอสถขนานเอกที่ออกฤทธิ์ให้เห็นกันจะๆมาแล้ว โดยเฉพาะกับคุณปรัศนีย์ เอื้อพรหมมาต สมาชิกคนหนึ่งของชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย ที่ได้พบพานประสบการณ์อันไม่อาจลืมเลือน โดยมีชีวิตของตนเองเป็นเดิมพัน
อันเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ต้องใช้วิจารณญานในการรับชมและห้ามลอกเลียนเด็ดขาด

คุณปรัศนีย์จำวันเดือนปีที่เกิดเหตุไม่แม่นยำหรอกว่าเป็นเมื่อไหร่ รู้แต่ว่าตอนนั้นอายุแค่30ปี เพิ่งมีลูกตัวน้อยๆกำลังน่ารัก เรียนอยู่อนุบาล จู่ๆเช้าวันหนึ่งตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีอาการเหนื่อยอ่อน ไม่มีเรี่ยวแรงโดยไม่รู้สาเหตุ

คุณหมอที่คลินิกใกล้บ้านบอกไม่ได้ว่าเธอเป็นอะไร แต่ให้รีบส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดโดยด่วน และ ไม่กี่นาทีถัดมาคุณปรัศนีย์ก็พบตัวเองอยู่ในห้องไอซียูของโรงพยาบาล ด้วยเหตุผลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่าปล่อยไว้ก็ไม่รู้จะอยู่ถึงพรุ่งนี้หรือไม่!

7วันกับการอยู่บนเตียงพยาบาล เธอเริ่มอาการดีขึ้นพร้อมกับคำอธิบายว่าความป่วยไข้ในคราวนี้คือกล้ามเนื้อหัวใจไม่แข็งแรง และต้องรักษาโดยกินยาวันละ3มื้อ มื้อละ1กำมือ

ใช่เพียงแค่นั้น คุณปรัศนีย์ต้องเข้าๆออกๆโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น บางครั้งออกมาได้วันเดียวต้องเข้าไปอีก1สัปดาห์ เรียกว่ามีอะไรแว่บมาให้ตกใจเป็นได้ย้ายที่นอนทันที

หมอบอกว่าควรจะต้องสวนหัวใจ หรืออะไรสักอย่างที่ร้อยสายจากหัวเข้าเข้าไปถึงหน้าอก ต้องฉีดสี ซึ่งล้วนแต่ชวนให้ขนลุกทั้งนั้น ที่สำคัญไม่ใช่หลักประกันว่าจะหาย เธอจึงไม่ยอมเล่นด้วย

แต่เมื่อลองย้ายโรงพยาบาลก็กลับได้ฟังคำพูดของหมอคนใหม่ ที่แทบทำให้ช็อกลงไปในทันที
"ทำใจเถอะ ถ้ามันจะตายก็ต้องตาย!"
ไม่มีเหตุผลที่จะยอมจบชีวิตกันง่ายอย่างนั้น เธอจึงลองใหม่ คราวนี้หันไปหาแพทย์แผนจีน ที่รักษาด้วยสมุนไพรชุดละแปดพัน ซึ่งต้องกินถึงสิบชุด ซึ่งเธอรู้สึกว่ามันได้ผลอยู่ชุดเดียว แล้วปรัศรีย์ก็วูบไปอีกครั้ง คราวนี้ขากรรไกรค้าง พูดไม่ได้ ตัวแข็งเหมือนเป็นอัมพฤก คุณเปงเฮงพระเอกตัวจริงของเรื่องนำเธอส่งโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน และต้องพักรักษาอยู่เป็นเดือน พร้อมกับทำกายภาพบำบัด อันได้แก่การหัดเดิน คราวนี้คุณหมอแนะว่าให้พยายามเดินออกกำลังกาย

คุณเปงเฮง แม้จะไม่ได้ป่วยไข้ แต่ดวงใจก็ร้าวระบมไปด้วยกับเธอผู้เป็นคู่ทุกข์คู่ยาก ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตมาเฝ้าอยู่โรงพยาบาลนานพอๆกับคนป่วย ระหว่างนั้นหนังสือหนึ่งในหลายเล่มที่ใช้ฆ่าเวลาบอกเขาว่า การเดินออกกำลังกายจะช่วยรักษาโรคหัวใจได้อย่างดีเยี่ยม

พออาการดีจนกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้ สามีและบุตรก็ช่วยกันประคองแขนคนละข้างพาเดินออกกำลังกายที่สวนลุมพินี ที่มีระยะทางโดยรอบสองกิโลเมตรครึ่ง ซึ่งวันแรกคุณปรัศนีย์เดินได้ไม่ครบ แต่ด้วยความพยายาม วันต่อๆมาก็เดินไปยาวขึ้น เวลาก็ลดลง จากรอบละ25นาทีก็เหลือแค่16… เพียรเดินอยู่อย่างนั้นราว1ปี วี่แววที่เห็นชัดคือปริมาณยาที่คุณหมอสั่งให้น้อยลง พร้อมกับเรี่ยวแรงที่ดีขึ้นจนอยากทำอะไรที่ท้าทายกว่า อย่างเช่นการแข่งขันเดินทนที่มีผู้จัดขึ้นที่ จังหวัดสุพรรณบุรี

ผลก็คือคุณปรัศนีย์เข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่ง

ถึงตอนนี้การเดินชักน่าเบื่อ สามีที่แสนดีจึงซื้อจักรยานแม่บ้านมาให้ทั้งๆที่เกิดมาก็ไม่เคยขี่กับเขา ลองนึกดูเถอะว่าคนที่ต้องหัดปั่นรถถีบเมื่ออายุ40ปี จะทุลักทุเลปานใด แต่เธอก็ฝ่าฟันมาจนสามารถลัดเลาะเลียบถนนแถวๆบ้านได้ จนวันหนึ่งคุณเปงเฮง เจอเพื่อนทีเป็นสมาชิกชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย บรรยายให้เห็นภาพความสนุกสนาน กันเอง ระหว่างการท่องด้วยแรงน่องสมาชิกไม่ว่าจะเป็นทริปวันเดียว ทริปเที่ยวสะเปะสะปะ จนกระทั่งถึงทัวร์ซำเหมา คุณเปงเฮงซื้อจักรยานแบบเสือภูเขามาให้คุณปรัศนีย์และลูกอีก2เพื่อเที่ยวด้วยกัน ครั้งแรกคุณปรัศนีย์ไม่มั่นใจว่าจะไปได้ เพราะเที่ยวแรกในการร่วมกับชมรมคือไปชมสวนนกที่ลาดกระบังระยะทาง70 กม. แต่ก็ขัดไม่ได้ ในใจตอนนั้นกะว่าจะไปเพื่อประชดสามี ให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลยว่าฉันบอกไม่ไหวยังจะคะยั้นคะยอ ระยะทางและความเป็นมือใหม่ไม่ใช่อุปสรรค จากเจ็ดสิบกิโลที่ไม่กล้า มาสู่การร่วมไปแทบทุกครั้ง ไม่เว้นกระทั่งซำเหมาทัวร์ที่ใครหลายคนไม่กล้าเสนอหน้าคุณปรัศนีย์ก็มีชื่อไปร่วมกับเขาด้วย ขึ้นเขาเข้าป่าหรือว่าทางราบที่ไหนก็ไม่หวั่น!!

เธอจำไม่ได้เหมือนกันว่าผิดนัดกับหมอครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เพราะหลังจากหมอให้ลดยาลงเรื่อยๆเหลือแค่วันละครึ่งเม็ด ก็เลยเห็นว่าไหนๆก็ท้าทายกับชีวิตมาถึงขั้นนี้แล้ว ลองไม่ใส่ใจกับมันจะเป็นยังไง วันนี้แม้ไม่มีหมอคนไหนมารับประกันว่าสุขภาพกายและใจเป็นเยี่ยม แต่ถ้าใครท้าปั่นจักรยานทางไกล ไม่ว่าที่ไหน เธอก็ไม่เกี่ยง

ออกค่าใช้จ่ายให้ด้วยละกัน!!





>> กลับไปหน้าเดิมค่ะ...:)

| HOME | WORK'S EXPERIENCE | SIGN &VIEW GUESTBOOK |

© 2001 "Complain or Opinion" Created and Published by JaRuWaN yUnG-yUeN All rights reserved.
 
Hosted by www.Geocities.ws

1