COMPLAIN OR OPINION

2 กรกฎาคม 2545 :: by จารุวรรณ ยั่งยืน

"The News light oF Myanmar!"

รู้สึกช่วงนี้สมองไม่ค่อยจะแล่นยังไงไม่ทราบสิคะ เลยไม่สามารถปั่นงานได้บ่อยอย่างที่เคยตั้งใจไว้ ว่าจะพยายามหาเรื่องมาเขียนลงเวบให้ได้ทุกอาทิตย์ ทั้งที่ช่วงหลังๆดิฉันเปลี่ยนเวลาทำงานมาจัดรายการช่วงดึก เน้นเรื่องคุยประเด็นอย่างเดียว จากเดิมที่จัดรายการช่วงเช้าซึ่งเน้นเรื่องจราจรและเหตุการณ์ทั่วไป ความจริงดิฉันน่าจะมีเรื่องที่สามารถหยิบเอามา "เขียน"ได้มากกว่าเดิม แต่ปรากฎว่า..อาการสมองตื้อ แวะมาเยี่ยมเยียนบ่อย อย่างไม่ทราบสาเหตุ

แต่ประเด็นคืนวันพฤหัสบดีต่อเนื่องเช้าวันศุกร์ และคืนวันเสาร์ต่อเนื่องคืนวันอาทิตย์ "เราควรมีการดำเนินการอย่างไร หากพม่ายังเมินเฉยกรณีบทความหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย" ทำให้ดิฉัน…นึกได้ถึงเรื่องที่ควรจะเขียน ยิ่งตอนที่พี่นักแปลพเนจร(คุณพิทยา สิทธิอำนวย)ส่งเมสเซสมาทักทาย ( ทุกครั้งที่ออนไลน์ไม่ว่าที่บ้านหรือทำงาน ดิฉันจะออนไลน์ MSN ด้วยค่ะ เพื่อความรู้สึกอบอุ่นใจ แต่ไม่ได้เพื่อ chat ซึ่งพี่--เพื่อน-ป้า-ลุง-อา-ในลิสต์ ที่มีอยู่ไม่ถึง 10 คน จะทราบดีถึงข้อนี้ จึงไม่มีใครทักมา แต่รู้ว่าหากดิฉันว่างมากกกกกกกจะส่งเมสเซสไปทักทายเองล่ะ) แต่ครั้งนี้ไม่อย่างนั้นค่ะ เพราะระหว่างดิฉันนั่งฟังคนที่โทรศัพท์มาร่วมแสดงความคิดเห็นฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ มีเมสเซสจากพี่นักแปลส่งมาหลายข้อความมาก ..สรุปได้ว่าท่านพี่ถามมาด้วยความสงสัยและงุนงง ว่าเส้นสมองส่วนไหนของดิฉันเกิดการสลับที่กันหรือเปล่า ผู้หญิงอ่อนหวาน(เพราะชอบทานเปรี้ยวจี๊ดดดดดด)อย่างดิฉัน ถึงได้วงเล็บที่ท้ายชื่อ "ชวนคนไทยไปรบพม่า" ตามมาด้วยคำสอน คำสั่งอีกหลายกระบุงโกย โดยที่ดิฉันตอบไปแค่ว่า "ขอบคุณค้าาาาา จัดรายการอยู่ค่ะ"…ดิฉันรู้สึกขอบคุณจริงๆนะคะ เพราะข้อความของพี่นักแปลช่วยยั้งปากและอารมณ์ดิฉันไม่ให้ทะเลาะกับคนฟังได้ทันการณ์พอดี..โดยไม่ได้ตั้งใจ….

แต่ที่แน่ๆหลังจากนั้นดิฉันรีบตรงดิ่งไปร้านหนังสือ หาหนังสือประวัติศาสตร์ที่มีเนื้อหาที่พี่นักแปลบอกให้ไปหามาอ่าน เพราะกลัวประโยค…ที่พี่เค้าถามมา ว่า เป็นคนไทยหรือเปล่า -ประวัติศาสตร์ไทย ถึงได้รู้แค่งูๆปลาๆ

ทั้งที่ในความเป็นจริง วิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาที่ดิฉันเคยสนุกสนานกับการอ่านและชื่นชอบมากับการได้รับรู้ถึงความเก่งกล้าสามารถของกษัตริย์ไทย โดยเฉพาะ "พระนเรศวรมหาราช"

แต่ที่ดิฉันกำลังจะเขียนถึง เป็นเรื่องของ The News light oF Myanmar ซึ่งดิฉันลองใช้คำนี้เสิร์ชหาเวบไซต์ของหนังสือพิมพ์ นี้จาก yahoo แล้ว ส่งไปให้พี่นักแปลช่วยแปลผ่านทางโปรแกรม msn (ดิฉันชอบโปรแกรม msn หรือ icq ก็ตรงนี้ละค่ะ..ชอบตรงที่พี่-พี่หลายคนไม่สามารถหนีรอดพ้นเงื้อมมือ ในการช่วยทำงาน-ช่วยแปล-ช่วยแนะนำเวบไซต์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำลังตกเป็นข่าว..แม้บางคนจะ invisible แต่จากการรู้จักคุ้นเคยมาเป็นเวลานานหลายปี ทำให้ดิฉันทราบว่าทุกคนมีเวลาประจำสำหรับการออนไลน์ และทุกคนก็เป็นคนที่ตรงเวลาซะด้วย)

แต่พี่นักแปลไม่ยอมแปลให้ค่ะ บอกว่า …ไร้สาระ..เออ..แฮ่ะ ท่าจะจริง!!! เอาเถอะน่ะ แม้ไม่ใช่ผู้เก่งกล้าสามารถมากนัก แต่ดิฉันก็พอเดินหลงเข้าไปโดยผ่านทาง หัวข้อ Articles จนเจอ บทความเจ้าปัญหาและยังมีโอกาสได้อ่านในอีกหลายบทความที่กล่าวถึงประเทศไทย โดยผู้เขียนที่ไม่ใช่ ดร.ติน วิน

คุณพรพิมล ตรีโชติ นักวิจัยประจำสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(ผู้เชี่ยวชาญด้านพม่ามากกกในความคิดของดิฉันที่ติดตามงานของคุณพรพิมลมาตลอด) เขียนถึงหนังสือพิมพ์แสงใหม่ของพม่า (The News light oF Myanmar) ไว้ในนสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 28 มิถุนายน ว่า "หนังสือพิมพ์แสงใหม่ของพม่า เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาล ดังนั้น ข่าวทุกชิ้นและทุกบทความล้วนถูกเลือกสรรและตรวจสอบจากหน่วยงานและเจ้าหน้าที่รัฐบาลว่าจะสามารถ"สื่อสาร"ที่รัฐบาลต้องการไปให้ประชาชนพม่า ซึ่งน่าเสียดายที่ดูเสมือนว่ารัฐบาลรับผิดชอบเฉพาะการ"ส่งออก"เท่านั้น ส่วนผู้รับสารจะรับหรือจะมีอารมณ์ร่วมหรือไม่ ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลหรือหนังสือพิมพ์แสงใหม่จะต้องเข้าไปตรวจสอบ

คุณพรพิมล ยังได้กล่าวถึงบทบาทพิเศษของหนังสือพิมพ์แสงใหม่ของพม่า ไว้ว่า เป็นเครื่องมือของรัฐในการโจมตีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่รัฐบาลพม่าถือว่าเป็นศัตรูหรือฝ่ายตรงข้าม ตัวอย่างที่เห็นเป็นรูปธรรมถึงบทบาทเฉพาะด้านของคอมลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ก็คือ การเขียนข่าวโจมตี เสียดสี เยาะเย้ย เหยียดหยาม เพื่อทำลายเกียรติยศของนางอองซานซูจี เพราะรัฐบาลพม่าถือว่าเป็นบุคคลอันตรายและเป็นคู่แข่งของรัฐบาลพม่า

คอลัมนิสต์เมื่อได้รับคำบัญชามาก็ตั้งหน้าตั้งตาเขียนบทความ พวกวาดภาพการ์ตูนล้อเลียน ก็วาดรูปล้อกันไปทุกวัน มีหน้าที่ทำกันมาตั้งแต่ปี คศ .1989 เพิ่งจะมาเพลามือเมื่อปี 2001 ช่วงที่มีการเจรจาระหว่างพรรค NLD และรัฐบาลพม่าเท่านั้น"

มาถึงตรงนี้ดิฉันเริ่มเห็นด้วยมากขึ้นกับพี่นักแปลค่ะ กับประโยคที่กล่าวถึงความ "ไร้สาระของบทความใน The News light oF Myanmar และยิ่งเห็นด้วยมากขึ้น เมื่อเจอประโยคซึ่งเป็นเหมือนหมัดหมัดฮุกของคุณพรพิมล

"เห็นได้ชัดว่าบทความที่โจมตีประเทศไทยต่อเนื่องมาหลายฉบับ คงไมได้หมายให้คนไทยอ่านแน่ๆเพราะคนไทยไม่อ่านหนังสือพิมพ์แสงใหม่ของพม่าอยู่แล้ว ต่างกับคนพม่าที่อ่านหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นและบางกอกโพสต์ของไทย(ฮา)"

แล้วเราจะไปใส่ใจมันทำมายยยยยยยยย(อิอิ)

มีโอกาสได้ยินหลากความเสียงความคิดเห็นของผู้ที่ร่วมแสดงความคิดเห็นในรายการ ซึ่งบ่งบอกถุงเลือดรักชาติ-ความรู้ในเรื่องประวัติศาสตร์ -ตื้นลึกหนาบางของเหตุการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้น ไม่ว่าสถานการณ์ชายแดน โยงไปถึงเรื่องของมือที่ 3 ประเทศที่ 3 แล้วทำให้ดิฉัน นั่งถามตัวเองคนเดียวในใจ….ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่มันจำเป็นหรือไม่ที่เราต้องพูดถึงความจริงออกมาทั้งหมด และในโลกของยุคข้อมูลข่าวสาร สารพันสื่อ ที่ทำให้เราสามารถได้มาซึ่งความรู้ …อะไรคือลวงและอะไรคือข้อเท็จจริง….แน่ใจหรือว่าสิ่งที่เราคิดว่าเรารู้จริง นั้นคือ ความจริง….ในเมื่อสมัยนี้ รูปแบบการรบเปลี่ยนแนวทางและพัฒนาเป็นการรบแบบไม่จำเป็นต้องเสียเลือดเนื้อ แต่ฆ่ากันได้ด้วยข้อมูล-ข่าวสาร…คำตอบที่ดิฉันให้กับตัวเอง…การคิดอย่างและการพูดอย่างสติ ทำให้เรารอด..เราต้องเป็นนายของคำพูด ไม่ใช่ให้อารมณ์มาเป็นตัวกำหนดและผลที่ออกมา คือ คำพูดที่ฆ่าภาพพจน์และภาพลักษณ์ของคนพูดจนไม่มีเหลือ…"

ดิฉันรู้สึกชอบใจ จนต้องยิ้มคนเดียว ตอนอ่านบางบทวิเคราะห์พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา จากหนังสือ "กฤษฎาภินิหาร อันบดบังมิได้"ของมรว คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งแปลความและวิเคราะห์ความจากบันทึกของฝรั่งของฮอลันดา ชื่อ Jermias Van Vliet ผู้ซึ่งเดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาในระหว่าง พศ.2136-2185 ในสมัยพระเจ้าปราสาททองครองกรุงศรีอยุธยา ที่ดิฉันยิ้มพราะอ่านไปแล้วนึกถึงคำพูดของหลายๆคนที่ว่า "ถ้าจะอ่านปะวัติศาสตร์ไทย ให้ได้ข้อเท็จจริงต้องอ่านจากบันทึกของชาวต่างชาติ ..แต่หากคนพูดประโยคเหล่านี้ มาเจอบางประโยคของ มรว.คึกฤทธิ์ ที่วิเคราะห์ เกี่ยวกับบันทึกที่เขียนถึงบางแง่มุม ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไว้ อาจจะกรี๊ดดดดสลบไปเลยก็ได้ค่ะ

"อย่างไรก็ตาม เรื่องทั้งหมดนี้ก็ต้องฟังหูไว้หู เพราะรายละเอียดต่างๆเหล่านี้ วัน วลิต จะต้องได้จากปากคนบอกเล่า มิใช่หลักฐานที่เป็นเอกสาร คนไทยนั้นต่อเติมเรื่องราวเก่งอยู่แล้ว ใครไม่เชื่อก็ขอให้อ่านนังสือพิมพ์ทุกวันนี้เอาเอง เพราะฉะนั้นเรื่องความโหดร้ายเหล่านี้ วัน วลิต อาจไปเชื่อข่าวพาดหัวใหญ่ของกรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้นเข้าหลายหัวก็ได้"

ถึงแม้บทความของมรว.คึกฤทธิ์ จะเขียนไว้ตั้งแต่ปี พศ.2533 แต่ก็ยังคงสะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนถึง บางมุมของสื่อมวลชนปัจจุบัน

ไม่ว่าบทความใน The News light oF Myanmar จะมีพาดพิงถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราชอย่างไร…สิ่งหนึ่งที่คนไทยต้องจดจำ เราเป็นไท เพราะสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

มรว คึกฤทธิ์ ปราโมช กล่าวไว้ในบทส่งท้ายของ "กฤษฎาภินิหาร อันบดบังมิได้"ไว้ว่า

"ความปลอดภัยที่แท้จริงมาเกิดขึ้น เพราะพระนเรศวรเป็นพระองค์เดียว ผู้ทรงก่อให้เกิดความคิดใหม่ วิธีการใหม่ และความหวังใหม่ ขึ้นในใจคนไทย ถึงคนไทยจะเกรงกลัวพระราชอาญาแห่งพระนเรศวรเป็นเจ้ายิ่งกว่าความตาย ความกลัวนั้นก็ยังดีกว่าความกลัวพม่า หรือความหวาดหวั่นผู้มีอำนาจจาทิศอื่น เช่น พระยาละแวก ความเกรงกลัวพระราชอาญาพระนเรศวรเป็นเจ้านั้นเกิดจากความเคารพรักและความภูมิใจ เพราะพระนเรศวรเป็นเจ้าทรงปฎิบัติพระองค์ให้แลเห็นได้ชัดทั่วกันว่า พระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ร่วมกันของคนไทยและเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง มิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ร่วมกันของคนไทยและเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง มิได้เป็นเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเลยแม้แต่น้อย จะเห็นได้ว่า ส่วนใหญ่แห่งพระชนมชีพนั้นอยู่ในสนามรบหรือในชนบท ประทับแต่ในพลับพลาหรือในค่าย มิได้เสวยสุขอยู่แต่ในปราสาทราชมณเทียรหรือในพระนคร ในยามสู้ศึกก็มิได้ทรงปล่อยให้ทหารสู้รบแต่ตามลำพัง แต่ได้ทรงเข้ารบเคียงบ่าเคียงหล่กับทหารทั้งปวง เมื่อครั้งทรงกระทำยุทธหัตถีนั้น ได้ทรงสละพระองค์เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองโดยสิ้นเชิง หากแต่ความชำนิชำนาญในการสู้รบและอำนาจเทพยดาที่รักษาพระมหาเศวตฉัตรของไทยได้คุ้มพระองค์ กลับมีชัยแก่ข้าศึกด้วยพระองค์เองโดยปราศจากรี้พล

วัน วลิต ได้เขียนเรื่องพระราชพงศาวดารสังเขปนี้ไว้อย่างคนต่างชาติเขียน ไม่มีเหตุที่จะยกย่องพระนเรศวรเป็นเจ้าแต่อย่างใด บางครั้งเขียนไปในทางที่จะเสื่อมเสียพระเกียรติยศ เพราะคงจะได้ฟังคำบอกเล่าจากคนไทยในสมัยแผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งเป็นคนที่อยู่ใต้ราชวงศ์ใหม่ อาจเล่าเรื่องราวบางประการให้ฝรั่งฟัเป็นการลบหลู่พระราชวงศ์เดิม เพื่อส่งเสริมพระราชวงศ์ใหม่ก็ได้

ชาวมลายูเรียกพระนเรศวรเป็นเจ้าว่า "พระอัคนิราช"หมายถึง ไฟ อันไฟ นั้นย่อมมีทั้งความร้อน มีพลังงาน และมีแสงสว่าง พระบรมราชกฤษฎาภินิหารของพระนเรศวรเป็นเจ้าก็เป็นอย่างนั้น ถึงแม้ว่าจะมีสิ่งใด มากหรือน้อยมาบดบัง แสงสว่างอันเจิดจ้านั้นก็ยัส่องออกมาให้เห็นปรากฎแก่ตาแก่ใจคนจนได้

พระบรมราชกฤษฎาภินิหารของพระนเรศวรเป็นเจ้า จึงเป็น"กฤษฎาภินิหาร อันบดบังมิได้" ด้วยประการฉะนี้

ส่วนใครที่บ่นนัก-บ่นหนาถึงการทำงานของรัฐบาล ดิฉันแนะนำค่ะ ว่า หาเวลาว่างๆไปหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านแก้อารมณ์หงุดหงิด หนังสือสนุกๆที่ทำให้เรายิ้มแก้มแทบปริ กับความแสนรู้ของบรรดาตัวเอกในเรื่อง The Starlinght Barking (Rut-ta-baan-maa) วรรณกรรมเด็ก ของโดดี้ สมิฑ แปลโดยสาลินี คำฉันท์ บางทีคุณอาจยิ้มแบบดิฉันยิ้ม เพราะความสนุก.. สนุกแบบทึ่งๆเมื่อเห็นการทำงานของบรรดาคุณ 4 ขา เมื่อหมาได้เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี แล้วต้องมาแก้ไขปํญหาใหญ่ ปัญหาสำคัญของส่วนรวม ของโลก อะไรจะเกิดขึ้น!!!

สนุกสิคะ….. ยิ้มได้เต็มหน้า กับความสุขเล็กๆน้อยๆเมื่อหลงเข้าไปในเหตุการณ์สมมุติของ"หมา"หรือ"สุนัข"แทนการคาดหวังจากความเป็นปัจจุบัน !!!





>> กลับไปหน้าเดิมค่ะ...:)

| HOME | WORK'S EXPERIENCE | SIGN &VIEW GUESTBOOK |

© 2001 "Complain or Opinion" Created and Published by JaRuWaN yUnG-yUeN All rights reserved.
 
Hosted by www.Geocities.ws

1