COMPLAIN OR OPINION

16 ธันวาคม 2544 :: by จารุวรรณ ยั่งยืน

"ชีวิตที่ถูกเจียระไนแล้ว!!"

วันศุกร์ที่แล้วในช่วงที่ดิฉันจัดรายการคุยประเด็นเรื่อง"ทำอย่างไรให้คนไทยรักการอ่าน" สืบเนื่องมาจากการที่ผู้ควบคุมรายการบางคนไปอ่านเจอข้อมูลเดียวกับที่ดิฉันอ่านเจอจากใน หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ว่าคนไทยเราอ่านหนังสือเฉลี่ย 8 บรรทัดต่อปี!!!!

น่าตกใจใช่ไหมค่ะ?

แต่น่าแปลกที่คนคุยประเด็นแสดงความคิดเห็นกลับไม่แปลกใจกับตัวเลขเหล่านี้

ในขณะที่อธิบดีกรมวิชาการเองก็ไม่มั่นใจเกี่ยวกับที่มาของตัวเลข 8 บรรทัดต่อปี(ทั้งที่ในนสพ.ผู้จัดการ บอกว่าเป็นคำพูดของท่าน)สิ่งที่ท่านบอกในการพูดคุยกับพวกเราก็คือ"ประเด็นที่เราดูจริงๆแล้วไม่ได้อยู่ที่จำนวน บรรทัด ตัวเลขที่นานาประเทศเค้าเอามาดูกัน คือ จำนวนกระดาษที่ใช้ต่อคนต่อปี ในประเทศนั้นเป็นเท่าไหร่ โดยคิดออกมาเป็นกิโลกรัม เช่น ในสหรัฐอเมริกา 146/กก/คน,สิงคโปร์ 111/กก/คน,ในขณะที่ประเทศไทย 14 กก/คน/ปี

ใช้กระดาษน้อยจนน่าใจหายใช่ไหมค่ะ สำหรับประเทศไทยเรา ...คำพูดของอธิบดีกรมวิชาการ สอดคล้องกับคำพูดของคุณสมหมาย ปาริฉัตร ที่พูดไว้ในการประชุม สมัชชา "การส่งเสริมการอ่าน "สถิติของผู้ซื้อหนังสือพิมพ์รายวันมีไม่เกิน 3 ล้านฉบับต่อวัน ทั้งที่ประชากรเรามี 60 กว่าล้านคน!!!

ในขณะที่งานวิจัยบางชิ้นของกรมวิชาการชี้ชัด เด็กไทยเรา ใช้เวลาส่วนใหญ่กับการดูทีวี เฉลี่ยวันละ 3 ชั่วโมง อาทิตย์ละ 24 ชั่วโมง

หนังสือที่เรากำลังพูดถึง คือหนังสืออ่านนอกเวลา ที่ไม่ใช่ตำราเรียนนะคะ

หลากหลายความคิดเห็นค่ะ ในข้อแนะนำเกี่ยวกับการสร้างนิสัยให้คนไทยรักการอ่าน!!!

แต่มีอยู่ 1 ความคิดเห็นค่ะ ที่ทำให้ดิฉันร้องกรี๊ดดดดดในใจ

"อย่างหนังสือนิยาย ผมกล้าพูดได้เลยว่าบางคน อ่านหนังสือนิยาย อ่านหนังสือการ์ตูน แม่บ้าน ผู้หญิง สกุลไทย สตรีสาร มันไม่มีสาระไม่ว่าคุณอ่านไปกี่เล่มมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรจากตรงนั้น มีแต่ความรัก ผมว่ามันเอาไปใช้ไม่ได้ มันทำลายตัวผม เป็นความจริงที่ไร้สาระ ความรักในหนังสือ เป็นความรักระหว่างชายหญิง ที่ไม่ได้สร้างอะไรขึ้นมา"

ดิฉันชอบความเห็นอย่างนี้นะคะ เพราะเป็นสายที่กระตุ้นอารมณ์ ของคนอื่นได้ดีนักล่ะคะ แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คิด กระหน่ำมาเลยค่ะ สายที่มีอาการกรี๊ดดดด(แต่ไม่ยอมเฉพาะ ในใจอย่างดิฉัน)บรรดาคนรักการอ่านนิยาย บรรดาแฟนนิตยสารที่ถูกพาดพิงถึง....โทรศัพท์มาแสดงความเห็นและยืนยันกับความ คิดของดิฉันที่แย้งไปว่า "นวนิยายไม่ได้มีเฉพาะความรักระหว่างหญิงสาวและนิวนิยายไม่เคยทำร้ายหรือทำลาย คนที่อ่านนวนิยายเป็นและหลายครั้งที่เราสามารถศึกษาความเป็นไปของคนจากตัวละครในนวนิยายที่เราอ่าน เพียงแต่ว่าคุณต้องรียนรู้ที่จะเลือกอ่าน นวนิยายไม่เคยทำลายคนที่อ่านเป็นค่ะ"

ดิฉันอยากให้คนพูด ว่านวนิยายเป็นเรื่องไร้สาระ ไปอ่านเรื่องสั้น "สี่วันนรกในเขมร"หรือ "จำหลักไว้ในแผ่นดิน"ของคุณกฤษณา อโศกสิน นักเขียนคนโปรดของดิฉันยังลยค่ะ !!!หลังจากนั้นค่อยมาคุยกันใหม่ ว่า นวนิยายมีแต่เรื่องที่เป็นความรักระหว่างหนุ่มสาว

ความคิดเห็นที่สื่อออกมา ที่ค่อนข้างบอกได้ชัดเจนนะคะ เกี่ยวกับตัวตนของคนคนนั้น

ดิฉันบังเอิญไปค้นไฟล์ลเก่าๆเจอเรื่องสั้นบางเรื่องที่ตัวเองพิมพ์ไว้ นานมากแล้วค่ะ เป็นเรื่องที่ดิฉันเคยส่งไปให้คนพิเศษที่อยู่แดนไกลอ่าน เพราะรู้สึกซาบซึ้งในความสวยงามของภาษา ที่ใช้รวมไปถึงความลึกซึ้งของอารมณ์ของคนเขียน

ดิฉันอยากให้อ่านนะคะ สำหรับใครที่มองว่า นิยาย,นวนิยายหรือเรื่องสั้น เป็นเรื่องที่มีเนื้อหา เฉพาะความรักของหนุ่มสาว ไม่มีสาระอะไร.....

หลายประโยคในเรื่องสั้นเรื่องนี้ "สอนและเตือนตัวเรา"ค่ะ

- - - - - - >>

เพล้ง!
ถ้วยกระเบื้องใบเล็กหลุดจากมือทารกวัยเกือบ 2 ขวบ แตกกระจายบนพื้น ทันทีที่เห็น ความเสียดายทำให้ดิฉันเกือบจะตีเข้าให้ที่ขาน้อยๆนั้นแล้ว แต่ก็ยั้งมือไว้ได้ สิ่งที่ทำได้คือส่งเสียงเข้มเข้าใส่

อุ๊บอิ๊บ! ลูกสาวจอมซนของแม่บ้านร้องไห้จ้า กับการกระทำที่ไม่รู้ประสีประสาของตัวเอง และคงนึกฉงนว่าทำไมผู้ใหญ่ต้องดุมากถึงขนาดนี้ เธอเคยทำของเล่นและถ้วยชามแตกหักมาหลายครั้งแแต่ไม่เคยโดนดุมากถึงขนาดนี้

แต่นั้นก็คงจะเป็นการเรียนรู้ในเบื้องต้นของเธอว่า ทำไมของบางอย่างทำเสียหายได้ แต่ทำไมของบางอย่างทำให้คนอื่นโกรธ อีกหน่อยเธอก็จะรู้เองว่าเพราะของสิ่งนั้น มีค่าต่อความรู้สึกของคนนั้นเอง

ถ้วยใบนี้ เป็นถ้วยขนาดเล็ก เหมาะเป็นถ้วยชาหรือถ้วยกาแฟรสเข้มข้นแบบเอสเพรสโซ เป็นของฝากจากเพื่อนรักของดิฉันเมื่อครั้งที่เธอทำงานอยู่ที่ยุโรป สิ่งนี้อาจไม่มีความสำคัญมากเท่าไหร่ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่ามันมีความทรงจำติดมากับถ้วยใบนี้ด้วย

ในห้วงเวลานั้น เมฆมืดครึ้มได้เข้ามาครอบงำชีวิตเพื่อนดิฉัน เธอและสามีชาวต่างประเทศเพิ่งหย่ากันได้ไม่ถึง 2 ปี แผลนั้นยังใหม่หมาดและ ชวนให้นึกถึงอยู่เสมอ เป็นห้วงเวลาของการตั้งคำถาม ค้นหาคำตอบและเยียวยาตัวเอง ดิฉันรับรู้เรื่องราวทั้งหมด เห็นใจเพื่อน แต่ทำได้แค่เพียงช่วยปลอบใจ

ชีวิตต่างแดนที่เคยอบอุ่น มีคนอยู่เคียงข้าง ในวันหยุดได้ขับรถท่องเที่ยวไป ตามเมืองต่างๆอย่างมีความสุข กลับกลายเป็นชีวิตที่ต้องอยู่ตามลำพัง ที่เลวร้ายที่สุดคืออยู่กับความเงียบเหงา และนี้คือที่มาของถ้วยใบนี้ เมื่อรู้สึกหมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่แก้ไขไม่ได้นานเกินควรแล้ว เพื่อนดิฉันเริ่มท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆบ่อยครั้งที่มีช่วงหยุดยาว เธอขึ้นรถไฟไปเวียนนา ปารีส บรัสเซลล์, และทีอื่นๆเพื่อคลายความโศกเศร้าและทำตัวให้เคยชินกับการดื่มกาแฟ คนเดียว กินอาหารตามลำพังแต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงเฝ้าครุ่นคิดคำถาม …..ที่อย่างไรๆไม่ได้คำตอบที่ถูกใจสักที

เพื่อนรักของดิฉันอีกคนหนึ่ง เมื่อจบคอร์สสัมมนาที่อังกฤษ ได้แวะไปเยี่ยมเธอ เมื่อถึงเวลากลับก็ได้ประคับประหงมถ้วยใบนี้มาให้ดิฉันมันเป็นของฝากจากเพื่อน ขณะที่ในใจปกคลุมไปด้วยความหมองหม่น ว้าเหว่ และเดียวดายอยู่ที่เมืองชายแดนเล็กๆแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส มันเป็นถ้วยเก่าที่เนื้อกระเบื้องมีรอยแตกร้าวแล้ว แต่ยังสวยงามด้วยลวด ลายอ่อนหวานของใบไม้สไตล์อาร์ตนูโว เธอบอกว่าเวลาใช้ถ้วยใบนี้ดื่มชาหรือกาแฟ จะรู้สึกเหมือนได้กินดื่มใบไม้สวยๆที่หล่นอยู่ก้นถ้วยไปด้วย

เพราะอยากใช้มันบ่อยๆดิฉันจึงไม่คิดที่จะเก็บมันไว้ในตู้เพื่อดูเท่านั้น นอกจากใช้เป็นถ้วยกาแฟยามที่ต้องการดื่มเพียงเล็กน้อยแล้ว ดิฉันยังใช้มันเป็นถ้วยใส่วิตามินที่กินเป็นประจำ และบางทีก็เปลี่ยนเป็นหน้าที่ของ มันเป็นถ้วยใส่วิตามินที่กินประจำ และบางทีเปลี่ยนหน้าที่ของมันเป็นถ้วยใส่ของจุกจิก เช่น คลิปหนีบกระดาษ วางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ

ถ้วยใบนี้ จึงอยู่ในชีวิตประจำวันของดิฉันตลอดมา เดี๋ยววางไว้ตรงโน้น ตรงนี้ อีกทั้งไม่ได้คอยระวังว่าต้องวางให้ไกลมือเด็ก ในที่สุดมันก็ต้องแตกไปเป็นธรรมดา เมื่ออารมณ์สงบ ดิฉันจึงคิดได้ว่า ไม่น่าที่จะต้องหงุดหงิดมากมาย ที่จริงมันแตกไปก็ดีเหมือนกัน มันอาจเป็นของที่ระลึกที่เกี่ยวพันกับความทรงจำที่สำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตของเพื่อนรัก แต่เหตุการณ์นั้นก็ได้ผ่านไปแล้ว ตอนนี้เพื่อนของดิฉันมียิ้มสดใส และกำลังสนุกกับสิ่งใหม่ๆในชีวิต เธอคงไม่รู้สึกอะไรมากนักหรอกถึงรู้ว่าถ้วยใบนี้แตกไปแล้ว เธอเองเคยพูดสนุกๆด้วยซ้ำว่าบางครั้งเธอก็เป็นคนขี้ลืม!
ดิฉันเห็นด้วย …….เราควรเรียนรู้ที่จะลืมในสิ่งที่ควรลืม


วันหยุดเมื่อไม่นานมานี้ ดิฉันนึกอยากเปลี่ยนภาพประดับในห้องทำงานและห้องนั่งเล่น เพราะซื้อกรอบรูปสำเร็จรูปหลายขนาดมาจากร้านฮาบิแทท ซึ่งทำให้สนุกในการติดรูปต่างๆ ด้วยตัวเอง ที่สำคัญ ไม่ต้องเสียเวลาคอยเหมือนไปสั่งซื้อตามร้าน

ดิฉันให้แม่บ้านขึ้นมาช่วยถือรูปเพื่อติดรูปให้เหมาะกับระดับสายตา ภาพที่ดิฉันเปลี่ยนใหม่ครั้งนี้มีหลายแบบและหลายขนาด เช่น ภาพถ่ายวัยเด็ก ภาพการ์ดถ้อยคำต่างๆซึ่งเป็นงานดีไซน์เก๋ๆภาพรีโปรดักชั่น รูปใบหน้าคน ผลงานของพอล คลี ภาพเส้นสายอ่อนไหวของอักษรจีนและภาพแอบสแตกต์สีสันเจิดจ้า ที่ดิฉันซื้อมาจากแกลลอรีเล็กๆจากฝรั่งเศส ที่ดูครั้งใด คำว่า VIV LA VIE เป็นต้องกระโดด ออกมาจากภาพปลุกเร้าความมีชีวิตชีวาให้เกิดขึ้น

เมื่อติดภาพเสร็จ ดิฉันมองดูด้วยความพอใจ แต่แม่บ้านของดิฉันกลับพูดขึ้นว่า "ภาพชุดใหม่นี้ดูมันไม่ค่อยเข้ากันเลย ปกติคุณจะติดภาพที่มันดูเข้าชุดกันอย่างห้อง รับแขกข้างล่าง ดูสวยดี" ดิฉันอดขำกับความเห็นของเธอไม่ได้ และก็อย่างที่เธอวิจารณ์ ภาพที่ติดใหม่มันดูไม่เข้ากันจริงๆมีทั้งภาพเล็ก ภาพใหญ่ อีกทั้งอารมณ์ ของภาพก็แตกต่างกันออกไป มีทั้งภาพถ่าย ภาพเขียน และภาพลายเส้น

อะไรที่ทำให้ดิฉันติดภาพที่แตกต่างไปจากที่เคยทำ?

นั่นคงเป็นเพราะว่าดิฉันคิดว่าห้องนี้เป็นห้องส่วนตัวอย่างแท้จริง เป็นที่ที่ดิฉันคิดหรือทำอะไรตามลำพัง เลยอยากให้มีอะไรที่ตัวเองชอบทุกอย่าง ไม่เหมือนห้องรับแขกที่มีคนแวะเวียนไปมาบ้าง ทำให้ต้องคิดถึงสายตาของคนอื่นด้วย จึงต้องจัดของตกแต่งและภาพประดับต่างๆให้เข้ากัน จะว่าไปดิฉันกังวลกับคนอื่นมากเกินไปก็น่าจะใช้ เพราะจะว่าไปแล้ว ดิฉันจัดการให้ภาพอยู่ในสไตล์เดียวกัน เพราะอยากให้บรรยากาศโดยรวม ของห้องดูเรียบร้อยและกลมกลืนเท่านั้นเอง

อย่างไรก็ตาม ดิฉันนิ่งกับคำทักของแม่บ้าน ขณะที่เธอคอยอยู่ว่าดิฉันจะตัดสินใจอย่างไร จะเปลี่ยนใจหรือไม่ แต่แล้วดิฉันก็บอกกับเธอสั้นๆว่า "เดี่ยวนี้ฉันชอบแบบนี้ ถึงมันจะดูไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าไหร่"

ดิฉันพินิจดูภาพแต่ละภาพที่เพิ่งติดไปใหม่ๆเมื่อมองดูโดยรวมแล้วการจัดภาพครั้งนี้ออก จะสะเปะสะปะไปสักหน่อย แต่จะทำอย่างไรได้ ดิฉันผูกพันกับภาพทั้งหมดเหล่านี้ไปเสียแล้ว แต่ละภาพเป็นตัวแทนอารมณ์และความรู้สึกในแต่ละขณะของดิฉัน บางภาพเป็นความทรงจำดีๆในวัยเด็ก บางภาพให้ความรู้สึกดื่มด่ำในสิ่งที่ดิฉัน กำลังสนใจใฝ่หา และบางภาพคอยเตือนสติให้ดิฉันรู้ว่าอารมณ์ในขณะนั้นๆเป็นอย่างไร อย่างภาพรูปใบหน้าคน ของพอล คลี ถ้าวันไหนอารมณ์ดี เบิกบาน ดิฉันรู้สึกว่าภาพนั้นยิ้มหัวไปด้วย ถ้าวันไหนเซ็ง หงุดหงิด ภาพนั้นกลับมีใบหน้าบึ้งตึงให้เห็น

ภาพทั้งหมดอาจดูไม่เข้ากัน ไม่สมดุล และไม่กลมกลืน แต่ชีวิตจริงมันก็เป็นอย่างนี้ด้วยไม่ใช่หรือ ? ชีวิตไม่ได้สวยงามทุกขณะ และเราก็ไม่อาจบังคับให้มันดูดี หรือเป็นอะไรที่สวยงามทุกขณะ และเราก็ไม่อาจบังคับให้มันดูดี หรือเป็นอะไรที่สวยๆอย่างที่เราต้องการให้มันเป็น ดังใจได้ทุกครั้ง เราอาจจะไม่ชอบ แต่นี้คือชีวิตของเรา

ภาพสวยๆที่ดูเหมาะวางคู่กันนั้น อาจเปรียบได้กับชีวิตของคนคู่หนึ่ง ที่สายตาคนภายนอกมองว่าเหมาะสม เป็นคู่ที่ไปกันได้ดี แต่ใครจะรู้บ้างว่าในความเหมาะสม และดูดีนั้น มันอาจมีความไม่สมดุลกันอยู่ มันเป็นเรื่องยากเพราะบางทีเจ้าตัวก็ยังไม่รู้เลย

ดิฉันคิดถึงถ้วยกาแฟจากเพื่อนที่แตกไป และนึกถึงความรักของเธอเมื่อครั้งที่ยังหวานชื่น จำได้ว่าเมื่อพบกันดิฉันชื่นชมสามีของเธอมาก ไม่ใช่เพียงเพราะคุณสมบัติภายนอกของเขาที่เป็นคนรูปร่างหน้าตาดีเท่านั้น ดิฉันเคยออกปากชมว่าเขาเป็นฝรั่งที่อ่อนโยน จิตใจดี เข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของคนเอเชีย ซึ่งก็เหมาะกับเพื่อนดิฉันซึ่งเป็นคนนุ่มนวลและมองโลกในแง่ดีเป็นที่สุด แต่ภายใต้ท่าทีที่ดูเหมาะสมกัน ดิฉันไม่รู้ว่าความหมายไม่เข้าใจกันเริ่มตั้งเค้า และนำไปสู่การหย่าร้างในที่สุด

ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญในการประคับประคองชีวิตคู่อย่างที่ผู้ใหญ่บอก บางคู่โชคดีที่ชีวิตไม่มีปัญหาใดๆบางคู่ต้องใช้เวลาปรับตัวเข้าหากัน บางคู่โชคดีที่ชีวิตไม่มีปัญหาใดๆบางคู่ต้องใช้เวลาปรับเข้าหากัน บางคู่แยกจากกันด้วยความรู้สึกที่ปวดร้าวเพราะอีกฝ่ายเห็นแก่ตัวและทำผิดร้ายแรง และบางคู่ต้องทำใจยอมรับว่าต่างเหมาะสมกันเพียงชั่วขณะ และไม่มีใครผิดถูกอย่างที่คนถั่วไปชอบตัดสิน

ดังเช่นคู่ของเพื่อนดิฉัน ถึงแม้เพิ่อนดิฉันจะเป็นคนที่เธอเคยผูกพัน เศร้าเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ทั้งสองก็ไม่ได้กล่าวหากันรุนแรง ทั้งคู่รู้ว่าถึงจุดที่ชีวิตไม่อาจร่วมทางกันไปได้ และความที่ทั้งสองต่างก็เป็นตัวของตัวเอง เรื่องนี้จึงจบเร็วขึ้น

ในส่วนของเพื่อนดิฉันนั้น เธอเหลือช่องว่างไว้สำหรับทำความเข้าใจ เมื่อเวลาผ่านไป ความเจ็บปวดหายไป ความเข้าใจก็แจ่มชัดขึ้น เธอตระหนักรู้ว่าชีวิตเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและซับซ้อน นอกจากนั้นทัศนคติในการมองโลกและชีวิตของคนเรา ก็ยังเปลี่ยนแปลงไปตามวัย เปลี่ยนไปตามหตุการณ์ที่เข้ามากระทบในแต่ละช่วงของชีวิตด้วย

ตอนนี้เพื่อนรักของดิฉันกลับมาทำงานที่กรุงเทพแล้ว ล่าสุดเธอให้ของขวัญดิฉันชิ้นหนึ่ง เป็นเข็มกลัดแก้วคริสตัล ดิฉันไม่ได้ดีใจเพราะว่ามันเป็นงานดีไซน์ของสวารอฟสกี้ แต่ก็ยอมรับว่าชอบดุณความงามของแก้วธรรมดาๆที่ได้รับการเจียระไนมาเป็นอย่างดี สวยงมด้วยเหลี่ยมมุมที่มหัศจรรย์โดยช่างฝีมือประณีต

เมื่อมองดูชีวิต ดิฉันคิดว่าชีวิตก็ควรที่จะได้รับการเจียระไนด้วยเช่นเดียวกัน ผิดกันแต่ว่า ความสูญเสีย ความไม่สมหวัง และความเศร้าโศกมักเป็นนายช่างที่มีฝีมือเยี่ยมที่สุด

ชีวิตที่ถูกเจียระไนแล้ว เป็นชีวิตที่น่าสนใจ เป็นชีวิตที่มีค่า มันส่งประกายความสุข ความทุกข์ และความเข้าใจ ดูสวยงามทีเดียว สวยเหมือนประกายระยิบระยับของแก้วคริสตัลที่ดิฉันกำลังชื่ชมความงามของมันอยู่ในขณะนี้ "น่าเสียดายที่ในชีวิตจริง คนบางคนไม่ได้เอาประสบการณ์ที่มีค่านี้ มาใช้เจียระไนชีวิตของตัวเองเท่าไหร่"

จากหนังสือ "ชีวิตที่ถูกเจียระไนแล้ว" ของ ณิพรรณ กุลประสูตร สำนักพิมพ์บ้านและสวน






>> กลับไปหน้าเดิมค่ะ...:)

| HOME | WORK'S EXPERIENCE | SIGN &VIEW GUESTBOOK |

© 2001 "Complain or Opinion" Created and Published by JaRuWaN yUnG-yUeN All rights reserved.
 
Hosted by www.Geocities.ws

1