อย่าเข้าใจว่าต้องเรียนมาก
ต้องปฏิบัติลำบากจึงพ้นได้
ถ้ารู้จริงสิ่งเดียวก็ง่ายดาย รู้ดับให้ไม่มีเหลือเชื่อก็ลอง
เมื่อเจ็บไข้ความตายจะมาถึง อย่าพรั่นพรึงหวาดไหวให้หม่นหมอง
ระวังให้ดีดีนาทีทอง คอยจดจ้องให้ตรงจุดหยุดให้ทัน
ถึงนาทีสุดท้ายอย่าให้พลาด ตั้งสติไม่ประมาทเพื่อดับขันธ์
ด้วยจิตว่างปล่อยวางทุกสิ่งอัน สารพันไม่ยึดครองเป็นของเรา
ตกกระไดพลอยโจนให้ดีดี
จะถึงที่มุ่งหมายได้ง่ายเข้า
สมัครใจดับไม่เหลือเมื่อไม่เอา ก็
" ดับเรา " ดับตนดลนิพพาน
เพื่อท่านพุทธทาส
|
โดย
น.พ.สันต์ หัตถีรัตน์
|
ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน
ฉบับวันเสาร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๖
|
|
บทเรียนจากกรณีอาพาธ
ของท่านพุทธทาส
|
โดย
น.พ.สันต์ หัตถีรัตน์
|
*
* ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์สยามโพสต์ ฉบับวันศุกร์ที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๖
|
ในขณะที่เขียนบทความนี้
(คืนวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๓๖) การอาพาธของท่านพุทธทาสได้ทรุดลงอย่างมาก เช่น
:- ๑. ไตของท่านหยุดทำงานหรือทำงานไม่พอ (ไตวาย) จนท่านบวมทั้งตัว และต้องทำการฟอกเลือด ๒. ปอดอักเสบ สายเสียงอักเสบ คออักเสบ ฯลฯ เพราะใส่ท่อช่วยหายใจมานานจึงต้อง "เจาะคอ" ช่วยหายใจแทน ๓. หัวใจทำงานไม่ไหว (หัวใจวาย) เพราะต้องแบกรับภาระการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ที่กำลังจะหมดแรงทำงานเช่นเดียวกัน และเพราะเป็นโรคหัวใจอยู่ด้วย ๔. สมองของท่านก็อาจถือได้ว่าเกือบไม่ทำงานแล้ว (สมองวาย) การอาพาธของท่านพุทธทาส ได้ให้บทเรียนแก่เราชาวไทยและเราชาวพุทธหลายประการ ก. ด้านแพทย์ เช่น :- ก.๑ ความคาดหมาย (การอนุมานโรค) ต่าง ๆ ของแพทย์ ผิดพลาดอย่างมหันต์ เช่น การคาดหมายว่า (๑) ท่านพุทธทาสจะดีขึ้นถ้าได้รับการเคลื่อนย้ายมารักษาที่กรุงเทพฯ (๒) ท่านพุทธทาสจะหายเป็นปกติ หรือหายจนสามารถเทศน์ให้ญาติโยมฟังใหม่ได้ ก.๒ คำมั่นสัญญาต่าง ๆ ของแพทย์ เชื่อไม่ได้ เช่น :- (๑) ไม่เจาะคอแน่ ๆ ก็ได้ทำการเจาะคอแล้ว (๒) ไม่เจาะนั่นเจาะนี่หรือผ่านั่นผ่านี่ ก็ได้ทำแล้ว เช่น การผ่าตัดใส่สายต่าง ๆ การฟอกเลือดเป็นต้น ก.๓ แถลงการณ์ของแพทย์ไม่โปร่งใสและสร้างความสับสนแก่ประชาชน เช่น แทนที่จะแถลงว่า "อาการดีขึ้น เลวลง หรือคงเดิม" กลับแถลงถึงตัวเลขชีพจร อุณหภูมิ ความดันเลือด จำนวนปัสสาวะ และผลการตรวจเลือด แล้วสรุปว่าปกติหรือใกล้ปกติ แต่ยิ่งรักษา อาการอาพาธยิ่งทรุดลง จนทำให้สงสัยว่า แถลงการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นเกิดจาก อวิชชา (ความโง่เขลา) ตัณหา (ความทะยานอยาก) หรืออุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่นอย่างหลงผิด) กันแน่ ข. ด้านการรักษาพยาบาล : จากกรณีของท่านพุทธทาส ทำให้เห็นได้ชัดว่าการรักษาพยาบาลที่ขัดกับเจตนารมณ์ของผู้ป่วยสามารถกระทำได้ในประเทศไทย ต่อไปในอนาคตคงจะไม่ต้องให้ผู้ป่วยเซ็นชื่ออนุญาตให้แพทย์ผ่าตัดได้ หรือรักษาพยาบาลใด ๆ เพราะแพทย์จะทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาต และถึงแม้ว่าผู้ป่วยจะไม่ยอมไปโรงพยาบาล แพทย์ก็สามารถจะไปเอาตัวมาจากบ้าน และถือว่าเป็นผู้ป่วยของตน และของโรงพยาบาลได้ การรักษาพยาบาลเพื่อยืดการตาย แม้จะเป็น "การตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ" เป็นการทำลายทรัพยากร (ธรรมชาตฺและสิ่งแวดล้อม) เป็นการทรมานผู้ป่วยและญาติมิตร และเป็นการเบียดเบียนผู้ป่วยอื่นและสังคม แต่กลับยอมรับกันว่าถูกต้อง เพราะได้กระทำอย่างครึกโครมและมีเกียรติ (ได้ออกโทรทัศน์ด้วย ค. ด้านศาสนา : แม้จะมีผู้อ้างว่าท่านพุทธทาสได้ "ดับขันธ์" แล้ว ตั้งแต่วันที่ ๒๕ หรือ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๓๖ แต่เราคงจะต้องยอมรับว่า กระบวนการยืดการตายได้กระตุกภาวะ "ละร่าง" หรือ "ละขันธ์" นั้น ให้กลับมาใหม่เป็นครั้งเป็นคราวได้ จนคณะแพทย์ถึงกับออกแถลงการณ์หลายครั้งว่า "ท่านกระดิกนิ้วได้แล้ว ลืมตาแล้ว รู้เรื่องแล้ว เพราะแววตาของท่านแสดงว่าท่านรู้เรื่อง" เป็นต้น ทำให้การ "ละขันธ์" ของท่านต้องถูกกระชากกลับเป็นครั้งคราว ไม่อาจบรรลุสู่ความสุขสงบอันเป็นนิรันดรได้ ง. ด้านค่านิยมและวัฒนธรรมใหม่ : การรักษาพยาบาลท่านพุทธทาสและการแถลงข่าวอย่างครึกโครม สร้างความมั่นคงให้แก่ค่านิยมใหม่และวัฒนธรรมใหม่ เช่น (๑) การยอมรับการตายในโรงพยาบาล (โดยเฉพาะการตายใน ไอ.ซี.ยู. ในโรงพยาบาล) ว่าเป็นการตายที่ดีที่สุด (๒) การยอมรับคำวินิจฉัยและคำตัดสินของแพทย์โดยไม่มีเงื่อนไข หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ แพทย์จะทำอะไรก็ได้ ผู้ป่วยและญาติจะปฏิเสธไม่ได้ แม้แพทย์จะผิดคำมั่นสัญญาหรือขาดวิจารณญาณที่ดีก็ตาม (๓) การยอมรับการแทรกแซงจากผู้อื่น (ที่ไม่ใช่ญาติของผู้ป่วย) โดยแพทย์ ในการเคลื่อนย้ายและการรักษาพยาบาลผู้ป่วย ท่านพุทธทาสได้ให้คุณประโยชน์แก่มนุษยชาติอย่างมหาศาลทั้งในยามปกติและยามป่วย การอาพาธของท่านได้ให้บทเรียนแก่มนุษยชาติอย่างมากมาย ถ้ามนุษยชาติไม่สามารถนำบทเรียนเหล่านี้มาศึกษาให้เข้าใจแล้ว ความทุกข์ทรมานจากการรักษาพยาบาลที่ไท่จำเป็นและไม่ถูกต้อง ย่อมจะเกิดขึ้นอีกและจะเกิดขึ้นตลอดไป. |
๘
กรกฎาคม ครบรอบปี มรณกาล ท่านพุทธทาส
|
โดย
น.พ.สันต์ หัตถีรัตน์
|
ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน
ฉบับวันเสาร์ที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๓
|
ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกฺขุ (อินฺทปัญโญ) ได้จรรโลงพุทธศาสนาที่แท้จริงตามหลักธรรม
พุทธศาสนาตามหลักธรรมหรือพุทธธรรม
จึงเป็นวิทยาศาสตร์ รู้เองเห็นเองได้ (สันทิฏฐิโก) ไม่ขึ้นกับกาลเวลา (อะกาลิโก)
และเป็นของจริงที่พิสูจน์ได้ (เอหิปัสสิโก) อย่าเข้าใจว่าต้องเรียนมาก
ต้องปฏิบัติลำบากจึงพ้นได้ ท่านพุทธทาสได้วางแผนการตายของท่านและเหตุการณ์หลังตายของท่านไว้เป็นอย่างดี
ตามแบบฉบับของวัฒนธรรมการตายของพุทธบริษัทที่ดี แต่ก็มี "มารผจญ"
จนการตายของท่านต้องผิดธรรมดา - ผิดธรรมชาติ และไม่เป็นไปตามความปรารถนาของท่าน
ดังที่ท่านได้ปลงสังขารไว้ พุทธทาสจักอยู่ไปไม่มีตาย พุทธทาส อินทะปัญโญ ขอน้อมนำคำสั่งสอนของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ มาเผยแพร่ให้พุทธบริษัทและศาสนิกชนในศาสนาอื่นได้ร่วมกันศึกษา เพื่อให้ผู้ที่ศึกษารู้จัก "ตายเป็น" และ "ตายดี" ได้ ดังคำของท่านพุทธทาสว่า "ดีอยู่ที่ละ
พระอยู่ที่จริง นิพพานอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย" นั่นเอง. |
|
|
แม้แต่ "การตาย" "ความตาย" และ "เหตุการณ์หลังความตาย" ของท่าน ก็ยังสามารถจรรโลงพุทธศาสนาให้เป็นไปตามหลักธรรม
เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่าแก่พุทธบริษัทและศาสนิกชนในศาสนาอื่นด้วย |