" การฟื้นฟูวิทยาศาสตร์และศิลปะช่วยสร้างหรือทำลายศีลธรรมของมนุษย์ "

 

     การฟื้นฟูวิทยาศาสตร์และศิลปะทำให้ผู้คนเปิดกว้างทางความคิด เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกระบวนทัศน์ในทางรัฐศาสตร์ การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) หมายถึงการเกิดใหม่ของการศึกษา การฟื้นฟูอุดมคติ ศิลปะและวรรณกรรม เป็นยุคเริ่มต้นของการแสวงหาสิทธิเสรีภาพและความคิดอันไร้ขอบเขตของมนุษย์ที่เคยถูกจำกัดโดยกฎเกณฑ์และข้อบังคับของคริสต์ศาสนา  สาเหตุของการฟื้นฟูศิลปวิทยาการคือ  เมื่อยุโรปฟื้นตัวจากการซบเซาเศรษฐกิจ ผู้คนจึงหันมาใส่ใจในศิลปะมากขึ้นอีกทั้ง พระประพฤติตนไม่เหมาะสม ประชาชนเสื่อมศรัทธาในศาสนา วิทยาศาสตร์สร้างความรู้ที่ทำให้ผู้คนศรัทธาในพระเจ้าเปลี่ยนไป มนุษย์จึงหันมานิยมในความสวยงามที่มนุษย์ด้วยกันสร้างสรรค์ขึ้น ยุคเรเนซองส์ (Renaissance )อยู่ในช่วงศตวรรษที่ 14-15 เป็นยุคที่มนุษย์ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย หรูหรา หลงในกามรมณ์อย่างที่สุด ช่วงเวลาหรือยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปวิทยาการในยุโรป ทำให้เกิดเสรีภาพใหม่ในการพัฒนาตนเอง มีการพัฒนาการในเรื่องแนวคิดใหม่ๆ ของศิลปะและสถาปัตยกรรม, วรรณคดี, ดนตรี, ปรัชญา, การเมือง และวิทยาศาสตร์

     สิ่งที่เกิดขึ้นจากการฟื้นฟูวิทยาศาสตร์และศิลปะทำให้เกิดวิวัฒนาการใหม่ทางศิลปะและเทคโนโลยีรวมถึงรูปแบบการปกครองที่เหมาะสมต่อยุคสมัย  แต่ในเวลาเดียวกันก็ทำให้มนุษย์เคยชินต่อเหตุและผลคำนึงถึงการพัฒนาทางวัตถุมากเกินไป มุ่งแต่แสวงหาผลประโยชน์จากการล่าอาณานิคม ยึดดินแดนทรัพยากรของดินแดนที่พัฒาน้อยกว่า กดขี่ข่มเหงด้วยกำลังทหารและเอาเปรียบทางเศรษฐกิจต่อชาวชนเผ่าพืนเมืองในดินแดนต่างๆ  ทำให้เกิดความเสื่อมทางศีลธรรมและจริยธรรมอันเกิดจากการทำเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่ผิด รวมถึงการสร้างผลประโยชน์จากการโฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อต่างๆ ลัทธิและความเชื่ออันทำให้เกิดความเป็นวัตถุนิยมมากเกินไป  ความเสื่อมทางศิลธรรมอันเกิดจากการฟื้นฟูทางวิทยาศาสตร์และศาสนาที่เห็นได้ชัดคือ การห่างจากคำสอนทางศาสนา มนุษย์เกรงกลัวในบาปน้อยลงเพราะมีความรู้ว่าไม่มีสวรรค์อยู่บนโลกและไม่มีนรกอยู่ใต้โลกอย่างที่คำสอนในศาสนาเคยสอนไว้ มนุษย์มีความสามัคคีน้อยลงเพราะต้องแข่งขันแย่งชิงมากขึ้นในยุคของทุนนิยมการช่วยเหลือซึ่งกันและกันมีน้อยลง

บทสรุปของเรื่องนี้ก็คือคือการฟื้นฟูวิทยาศาสตร์และศิลปะนั้นให้ประโยชน์กับมนุษย์มากแต่มนุษย์เองกลับนำมาใช้ในทางที่ไม่ถูกต้องและละทิ้งสิ่งดีงามที่มีในอดีต  แต่ก็ใช่ทั้งหมดที่นำการพัฒนานี้มาใช้อย่างผิด ยังมีมนุษย์บางกลุ่มที่พัฒนาเทคโนโลยีควบคู่กับศีลธรรม เมื่อเป็นดังนี้จึงเกิดความสมดุลย์บ้างเพราะท่ามกลางผู้ทำลายยังมีผู้สร้างสรรค์ พยามยามหาทางแก้ออกจากบ่วงปัญหาเดิม แสวงหารูปแบบการดำเนินชีวิตและหลักการที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสังคมมีความสมดุล์เกิดเป็นเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกระบวนทัศน์ใหม่ที่พัฒนาทั้งระบบเสรษฐกิจการเมืองที่เท่าเทียมและมีคุณธรรม แต่ก็จะถูกผู้มีอิทธิพลเจ้าลัทธิเดิมคอยขัดขวางทุกวิถีทางเพื่อรักษาประโยชน์จากระบบที่เคยได้สร้างไว้มาหลายศตวรรษ

 

ดร.สุปรีชา หิรัญบูรณะ
23 กันยายน 2563