กวาวเครือขาว (อีกตำราหนึ่ง)

สืบค้นจาก http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05076150850&srcday=2007/08/15&search=no

สืบค้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2550

สืบค้นโดย ดร.ชยพร  แอคะรัจน์  www.geocities.com/university2u

-----------------------------

กวาวเครือ สมุนไพรพึ่งได้ ถ้าอยาก...อึ๋ม

(โดย กลุ่มส่งเสริมการผลิตสมุนไพร กรมส่งเสริมการเกษตร โทร. (02) 579-9547 -เทคโนโลยีชาวบ้าน

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 19 ฉบับที่ 413 )

 

ในขณะนี้สมุนไพรที่โดดเด่น พุ่งแรงนำหน้าสมุนไพรชนิดอื่นๆ และได้รับความสนใจอย่างมากคือ "กวาวเครือขาว" เพราะมีการประชาสัมพันธ์ชูประเด็นที่ว่าช่วยเพิ่มขนาดหน้าอก ดังนั้น ทั้งสาวอกไข่ดาว สาวน้อยสาวใหญ่ และสาวประเภทสอง ต่างให้ความสนใจกันอย่างคึกคัก เกิดการตื่นตัวในการแสวงหากวาวเครือมาใช้ นอกจากนี้ ทั้งนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ และประชาชนทั่วโลกต่างให้ความสำคัญมากเช่นเดียวกัน เนื่องจากมีสรรพคุณในเรื่องคุมกำเนิด เสริมเต้านม แก้อัลไซเมอร์ และเพื่อความสวยงาม จึงได้มีการนำเอากวาวเครือขาวมาผลิตเป็นยาลูกกลอน หรือบดผงใส่แคปซูลเพื่อรักษาแบบครอบจักรวาล อีกทั้งนำมาผลิตเป็นครีมชนิดต่างๆ เพื่อเพิ่มขนาดทรวงอก ครีมทาหน้าเพื่อลดริ้วรอย และรักษาฝ้า ประกอบกับที่สื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวอย่างต่อเนื่องว่ากวาวเครือขาว เป็นสมุนไพรมหัศจรรย์ ยิ่งทำให้ประชาชนตื่นตัว สนใจและต้องการใช้กันมากขึ้น

 

ทั้งที่ยังไม่แน่ใจในผลดี และผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น เนื่องจากยังไม่มีงานวิจัยชิ้นใดที่มีผลการวิจัยชี้ชัดถึงผลดีและผลเสียอย่างชัดเจน

 

กวาวเครือขาว เป็นพืชอยู่ในวงศ์ Leguminosae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pueraria mirifica Airy Shaw and Suvatabundhu เป็นสมุนไพรซึ่งมีลักษณะเป็นไม้เลื้อย มีอายุหลายปี สะสมอาหารไว้ในหัวใต้ดิน พบมากในป่าทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบในพื้นที่ 28 จังหวัด ตั้งแต่จังหวัดชุมพรขึ้นไป ผลผลิตเกือบทั้งหมดเก็บจากป่าธรรมชาติ ยังไม่มีการปลูกเป็นการค้าในเชิงพาณิชย์ ส่วนใหญ่ปลูกเพื่อการศึกษาทดลอง หรือเพื่อใช้ในวงแคบๆ เท่านั้น

 

ในทางพฤกษเคมี หัวกวาวเครือมีสารสำคัญที่น่าสนใจหลายตัว ที่จัดอยู่ในกลุ่มไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์เช่นเดียวกับเอสโตรเจน เป็นฮอร์โมนที่ควบคุมลักษณะทางเพศ และการทำงานของระบบสืบพันธุ์ในเพศหญิง ในยาแผนปัจจุบันได้มีการนำเอาสารในกลุ่มเอสโตรเจนมาใช้ เป็นส่วนประกอบของยาคุมกำเนิด และใช้เป็นฮอร์โมนทดแทนในสตรีวัยหมดประจำเดือน ซึ่งการใช้ในลักษณะดังกล่าวมานี้จะปลอดภัยที่สุดก็ต่อเมื่อได้รับการตรวจร่างกายจากแพทย์ก่อนใช้

 

กวาวเครือ เป็นสมุนไพรที่คนไทยรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเฉพาะทางภาคเหนือใช้กันมากในรูปของยาอายุวัฒนะ บำรุงเลือด บำรุงกำลัง ทำให้หน้าอกเต่งตึง ผมดำ ผิวพรรณดี นอนหลับสนิท แก้โรคตาฟาง ต้อกระจก และความจำดี (หลวงอนุสารสุนทร, 2474)

 

ในอดีตผู้เฒ่าผู้แก่ หรือคนที่มีปัญหาเรื่องเลือดลมไม่ปกติ จะไปขุดเอาส่วนหัวของ "กวาวเครือขาว" ที่ตำราหมอไทยโบราณว่าไว้ว่าทำให้เลือดลมเดินเป็นปกติ โดยขุดหัวจากป่า นำมาบดแล้วปั้นเป็นยาลูกกลอน กินหลังอาหาร โดยหวังว่าจะรักษาแค่อาการของเลือดลมเท่านั้น แต่กินไปกินมาผมหงอกที่เคยขาวโพลน หรือเป็นสีดอกเลา และร่วงหล่นตามอายุขัย กลับดกดำขึ้น ผิวหนังและทรวงอกที่เคยเหี่ยวย่นตกสะเก็ด ก็กลับกระชุ่มกระชวยมีน้ำมีนวลขึ้นมาอีก โดยการเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลังจากกินสมุนไพรตัวนี้เข้าไป ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นกับคนเพียงคนเดียว แต่เกิดเกือบกับทุกคน จนเป็นที่ยอมรับกันว่า "กวาวขาว" เป็นเสมือนอายุวัฒนะ เพราะช่วยให้คนแก่กลับกระชุ่มกระชวย...อีกครั้ง

 

ในการสัมมนาวิชาการเรื่อง "กวาวเครือ" กับการพัฒนาและคุ้มครองที่ยั่งยืน ที่มูลนิธิการแพทย์แผนไทยพัฒนาจัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2548 ที่กระทรวงสาธารณสุข โดยมี พ.ญ. เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ นำทีม

 

ที่ประชุมได้สรุปและฟันธงในการใช้กวาวเครือขาวไว้ว่า

 

"กวาวเครือขาว ต้องใช้กับคนวัยทองหรือหมดประจำเดือนแล้วเท่านั้น ห้ามใช้ในคนหนุ่มสาว และรับประทานแบบยาโบราณ รับประทานเพียงวันละ 1 เม็ด (ขนาดเท่าเม็ดพริกไทย) หรือไม่เกิน 50 มิลลิกรัม ต่อวัน"

 

สรรพคุณอันน่าอัศจรรย์ของกวาวเครือขาวมีมากมาย จากการที่ รองศาสตราจารย์ ยุทธนา สมิตะสิริ และคณะ ได้ศึกษาจากตำรายาหัวกวาวเครือของหลวงอนุสารสุนทร (2474) และได้ทำการวิจัยอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 จนถึงปัจจุบัน พอสรุปได้ดังนี้

 

หัวกวาวเครือขาว สามารถออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน (ฮอร์โมนเพศหญิง) และออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอ่อนที่สุดในบรรดากวาวเครือ 3 ชนิด ได้แก่ กวาวเครือขาว กวาวเครือแดง และกวาวเครือดำ

 

การใช้กวาวเครือขาวในปริมาณน้อย จะออกฤทธิ์ในเชิงกระตุ้น แต่ถ้าใช้ในปริมาณมาก จะออกฤทธิ์ในเชิงยับยั้ง (จากตำรายาหัวกวาวเครือมุ่งใช้ในปริมาณน้อย แต่ให้ใช้นานๆ) ฤทธิ์ของกวาวเครือขาวเป็นฤทธิ์ที่ไม่ถาวร ถ้าหยุดกินฤทธิ์ของกวาวเครือขาวจะหมดไปภายใน 2-3 สัปดาห์ กวาวเครือขาวที่เก็บแต่ละฤดูล้วนออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตเจน แต่ฤทธิ์อาจแรงน้อยต่างกัน รวมทั้งกวาวเครือขาวที่เก็บจากแหล่งต่างๆ ก็ออกฤทธิ์ต่างกันด้วย

 

จากการสังเกตกวาวเครือขาวในขนาดที่ตำราฯ แนะนำ คือ 1 เม็ดพริกไทย ต่อคน ต่อวัน เมื่อป้อนให้กับหนูทดลองที่ตัดรังไข่ โดยเทียบจากน้ำหนักตัว ปรากฏว่า ไม่แสดงฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งผลที่ได้นี้คล้ายกับฮอร์โมนทดแทนในขนาดที่แพทย์ให้กับหญิงหมดประจำเดือน ซึ่งก็ไม่แสดงฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนเช่นกัน แต่ถ้าเพิ่มขนาดของกวาวเครือขาวหรือขนาดของฮอร์โมนทดแทนกับหนูทดลองที่ตัดรังไข่ จึงปรากฏให้เห็นฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน แสดงให้เห็นว่าการที่คนโบราณให้กินกวาวเครือขาวในขนาดตามตำราฯ ผู้ที่ได้รับกวาวเครือจะได้รับฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนเข้าสู่ร่างกายในขนาดที่ต่ำมากๆ ซึ่งเป็นการบำรุงร่างกายมากกว่าจุดประสงค์อื่น

 

การเก็บข้อมูลจากผู้ที่กินกวาวเครือขาวในขนาดตามตำราฯ พบว่า ทำให้ดูหนุ่มสาวกว่าวัย ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดชื่นไม่เหี่ยวย่น ช่วยบำรุงทรวงอก เส้นผม ช่วยให้รับประทานอาหารได้ นอนหลับดี ช่วยบรรเทาอาการบางอย่างในหญิงวัยหมดประจำเดือน เช่น อาการร้อนวูบวาบ ช่องคลอดแห้ง หงุดหงิด และอาจควบคุมต่อมลูกหมากไม่ให้โตในชายวัยทองหรือผู้สูงอายุ

 

จากการศึกษาประโยชน์ของกวาวเครือขาวในสัตว์พบว่า กวาวเครือขาวช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของสัตว์ ได้แก่ สุกร ไก่ แพะ สุนัข และกบ ช่วยบำรุงเส้นขนสุนัข กระต่าย และแพะ ช่วยเพิ่มผลผลิตของไข่ไก่ ใช้ในการแปลงเพศกบ ช่วยเสริมขนาดเต้าสุนัข แพะ และสุกร ช่วยเพิ่มจำนวนเต้านมสุกรเมื่อให้ตั้งแต่เป็นลูกสุกรและหยุดให้ก่อนเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ช่วยลดความก้าวร้าวในปลากัด กระต่าย และสุนัข ช่วยคุมกำเนิดสัตว์และคุมกำเนิดหลังผสมในสุนัข หนู นกพิราบ ยุงรำคาญ ยุงก้นปล่อง แมลงหวี่ แมลงสาบ และปลา ฤทธิ์ของกวาวเครือขาวในสัตว์จะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับขนาดและช่วงเวลาในการให้กวาวเครือขาวด้วย

 

นอกจากนี้ ยังพบว่า การให้กวาวเครือขาวในขนาดสูงๆ กับสัตว์ทดลองพบผลข้างเคียงในทางลบบ้าง เช่น พบการเกิดตุ่มฝี ภูมิคุ้มกันลดลง การแท้ง การระงับการหลั่งน้ำนม แสดงว่าการรับประทานกวาวเครือขาวในขนาดสูงเกินไป หรือขนาดสูงเป็นเวลานาน อาจมีอันตรายต่อผู้บริโภคได้ ดังนั้น จึงแนะนำให้กินกวาวเครือขาวในแบบของการบำรุงสุขภาพ โดยกินในขนาดต่ำๆ และไม่จำเป็นต้องกินทุกวัน ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับคุณประโยชน์จากกวาวเครือขาวอย่างเต็มที่ (ยุทธนา, 2547)

 

ศักยภาพด้านการตลาดในประเทศ

 

ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์กวาวเครือ เป็นที่รู้จักกันดีในตลาดภายในประเทศ มีทั้งยาแผนโบราณ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเครื่องสำอาง มีการขอขึ้นทะเบียนเป็นยาแผนโบราณจาก อย. 240 ตำรับ ยังไม่รับจดทะเบียนเป็นอาหารเสริม ในกรณีที่เป็นเครื่องสำอางไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนกับ อย. ปัจจุบันมีภาคเอกชน ประมาณ 30 บริษัท สร้างผลิตภัณฑ์ต่างๆ เป็นครีมพอกหน้า ครีมบำรุงผิวหน้า ยาแผนโบราณชนิดเม็ด กวาวเครือขาวแคปซูล กวาวเครือแดงแคปซูล เบรสครีมสำหรับทาเต้านม ในปี 2542 ที่มีการตื่นตัวเรื่องกวาวเครือยอดขายสินค้าที่ผลิตจากกวาวเครือภายในประเทศนั้นคาดว่าไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท

 

ศักยภาพด้านตลาดต่างประเทศ

 

ผลิตภัณฑ์กวาวเครือหรือผลิตภัณฑ์ที่มีกวาวเครือเป็นส่วนประกอบ เป็นที่รู้จักกันดีในตลาดต่างประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และยุโรป มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์กวาวเครือปีละประมาณ 1,500 ล้านบาท ปี 2548 ประเทศญี่ปุ่นและออสเตรเลียได้สั่งซื้อกวาวเครือขาวตากแห้งจากไทย 10 และ 20 ตัน ตามลำดับ คาดว่าในอนาคตมูลค่าการส่งออกวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์จะสูงขึ้น จากผู้บริโภคส่วนใหญ่จะหันมาสนใจในเรื่องความสวยงามกันมากขึ้น

 

ย้อนกลับมาที่ เรื่องของคนอยากอึ๋ม...เพราะเกิดมาเป็นผู้หญิงจึงต้องให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตา ส่วนไหนเล็ก ส่วนไหนใหญ่ ก็จะพยายามตกแต่งให้เข้าที่เข้าทางจนพอใจ และเป็นที่ต้องตาของคนรอบข้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดเด่นของร่างกาย คือทรวงอก ที่พยายามเสริมเติมให้สวยงาม ดูดี จึงนำไปสู่การหาวิธีการต่างๆ เพื่อสร้างความพอใจให้กับกลุ่มเป้าหมาย

 

โบราณกล่าวไว้ว่า หน้าอกของผู้หญิงมีอยู่ 7 ประเภท คือ สัตตบงกช งากุญชร กระท้อนห่อ ตอสะแก แลไม่โปร่ง ส่งแต่เศียร และเหรียญฝรั่ง ความหมายดังนี้

 

สัตตบงกช หน้าอกลักษณะเหมือนดอกบัวตูม

 

งากุญชร หน้าอกงอนเหมือนงาช้าง

 

กระท้อนห่อ หน้าอกลักษณะเป็นหัวจีบ

 

ตอสะแก หน้าอกลักษณะหัวนมบอด

 

แลไม่โปร่ง หน้าอกคล้ายลูกฟัก ใหญ่กว่าปกติ

 

ส่งแต่เศียร หัวชูขึ้นมาไม่เต่งตึง มีขนาดเล็ก

 

เหรียญฝรั่ง แบนราบ

 

ทั้ง 7 ประเภท มีแต่เฉพาะสัตตบงกชและงากุญชรเท่านั้นที่สมส่วน อีก 5 ประเภท ยังต้องปรับปรุง

 

ได้มีสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งสำรวจความคิดเห็นในการทำศัลยกรรมหน้าอก พบว่า หญิงไทย ร้อยละ 17.2 คิดที่จะทำศัลยกรรมทรวงอก และที่ผ่านมา การเพิ่มขนาดหน้าอก จะให้แพทย์ผ่าตัดยัดซิลิโคน เกิดของแปลกปลอมในร่างกาย เกิดความเจ็บปวด และเสียเงินราคาแพง กวาวเครือจึงเป็นทางเลือกที่น่าจะพึ่งได้ สำหรับสาวอยากจะเต่งตึงทั้งหลาย โดยเฉพาะสาวประเภทสองที่ไม่อยากเจ็บตัว และไม่ต้องเสียเงินมากมายคงจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น และน่ายินดีเป็นอย่างสุดๆ ถ้าเรานำกวาวเครือมาใช้โดยไม่ต้องเสี่ยงกับโอกาสที่จะเกิดมะเร็งหรือเป็นหมัน เหมือนที่เกิดกับสัตว์ทดลอง เพราะกวาวเครือมีฤทธิ์ทำให้ต่อมน้ำนมโตขึ้นได้จริงช่วยให้หน้าอกเด้งดึ๋ง เต่งตึง ผิวพรรณสดใส...แต่เมื่อเลิกใช้หน้าอกจะเหี่ยว ยาวขึ้น และทุกอย่างกลับสู่สภาพเดิมภายใน 2-3 สัปดาห์ ดังนั้น ก่อนจะใช้กวาวเครือ จึงต้องคิดไตร่ตรองดูให้ดี ว่าใช้แค่ไหนจึงจะปลอดภัย เพราะชีวิตน่าจะเป็นสิ่งที่ต้องถนอม ดูแลให้ดีมากกว่าความสวยงาม

-------------------------------------

Hosted by www.Geocities.ws

1