------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กลับบ้านแล้วไปดูรูปกันดีกว่ามีเกมอะไรอีกแล้วใน Board มีอะไรจดไรไว้บ้างข่าวบันเทิงนะมีอะไรบ้างอ่ะมีเวปดีๆป่าว
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ให้ออกครูยาพิษพบปมใหม่ความลับค้ายาบ้า




ให้ออกครูยาพิษ พบปมใหม่ ความลับค้ายาบ้า

ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
กรณีนายสุพจน์ มีสม อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่83/1 ต.วังยาง อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี ได้เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ต.สมจิตร เจริญสลุง สารวัตรเวร สภ.อ.ศรีประจันต์ กล่าวโทษนางพนิตตา หรืออัมพร หนูทอง อายุ 46 ปี อาจารย์ 2 ระดับ 7 ร.ร.วัดไก่เตี้ย อ.ศรีประจันต์ ว่าจ้างให้ ด.ญ.อ้อย (นามสมมติ) นักเรียนชั้น ป.6 วางยาพิษใส่กล่องข้าว ด.ญ.พรรณิภา มีสม อายุ 12 ปี ลูกสาวนักเรียนชั้น ป.6 ร.ร.วัดไก่เตี้ย ถึง 8 ครั้งเพื่อฆ่าให้ตาย

แต่ ด.ญ.พรรณิภาเห็นความผิดปกติข้าวบูดเน่าเททิ้งเสียก่อนทุกครั้ง ทั้งนี้ โดยมีสาเหตุมาจาก ด.ญ.พรรณิภา แอบไปเห็นนางพนิตตาแสดงความรักกับชายรูปร่างท้วมผิวดำ ในห้องพักครู นางพนิตตาได้ขู่ ด.ญ.พรรรณิภาหลายครั้งไม่ให้เปิดเผยความลับ ทั้งที่ ด.ญ.พรรณิภาก็ไม่กล้าบอกใคร แต่นางพนิตตายังไม่วางใจ กลัวความลับเปิดเผย คราวหนึ่งเคยให้ชายฉกรรจ์ 3 คน สวมหมวกไหมพรมเป็นไอ้โม่งจับ ด.ญ.พรรณิภาขึ้นรถตู้ไปมัดติดต้นไม้แล้วซ้อม ด.ญ.พรรณิภาต่อหน้านางพนิตตาที่ถือมีดปลายแหลมยืนคุมเชิงขู่ไม่ให้แพร่งพรายความบัดสีที่เกิดขึ้น

ในที่สุด ด.ญ.อ้อย เพื่อนนักเรียนได้มาเปิดเผยว่า เป็นคนนำยาพิษไปใส่กล่องอาหารกลางวันของ ด.ญ.พรรณิภาเองด้วยความจำใจ เพราะถูกนางพนิตตาจ้างแกมบังคับให้ทำด้วยเงิน 200 บาท ด.ญ.พรรณิภาสิ้นสุดความอดทน ไปบอกกับนายสุพจน์ บิดา และพามาแจ้งความเป็นข่าวอื้อฉาวเกรียวกราวสะท้านวงการศึกษานั้น

ที่โรงเรียนวัดไก่เตี้ย อ.ศรีประจันต์ เมื่อเช้าวันที่ 26 ก.ย. ปรากฏว่า มีกองทัพสื่อมวลชนทั้งผู้สื่อข่าวทีวี และ น.ส.พ. เดินทางไปปักหลักทำข่าวกันคึกคักและมีองค์กรต่างๆทยอยกันเดินทางเข้าไปสอบข้อเท็จจริง เช่นตัวแทนจากคณะกรรมาธิการกิจการสตรีเยาวชนและผู้สูงอายุ วุฒิสภา เจ้าหน้าที่มูลนิธิคุ้มครองเด็ก ชุดสืบสวนสอบสวนของ บก.ภ.จ.สุพรรณบุรี และชาวบ้านที่ไปจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กัน

ขณะนั้นนางพนิตตา หรือ อัมพร หนูทอง ที่ถูกกล่าวโทษเดินทางมาทำงานด้วยใบหน้าเคร่งเครียด พอมาถึงก็ถูกเพื่อนครูกับชาวบ้านตรงเข้าไปรุมซักถามความเป็นมา นางพนิตตาปฏิเสธที่จะตอบคำถาม พร้อมเดินเข้าไปเก็บตัวเงียบในห้องทำงานทันที

ต่อมา พ.ต.ท.วชิระ ลภเลิศ รอง ผกก.สส.บก.ภ.จ. สุพรรณบุรี เดินทางเข้าไปพบกับนางพนิตตาในห้อง สอบถามความเป็นมาของเหตุที่เกิดขึ้น เพียงครู่เดียวก็เดินออกไปตามตัว ด.ญ.พรรณิภา กับ ด.ญ.อ้อย (นามสมมติ) เพื่อนคนที่อ้างว่าเป็นผู้นำยาพิษไปใส่กล่องอาหาร ไปชี้จุดเกิดเหตุ คือห้องที่ ด.ญ.พรรณิภาแอบดูนางพนิตตากับเพื่อนชาย จุดที่นำยาพิษไปใส่กล่องอาหาร จุดที่ถูกชายฉกรรจ์นำไปมัดกับต้นไม้แล้วซ้อม แล้วนำเด็กทั้งสองไปสอบปากคำที่ห้องสอบสวน สภ.อ.เมืองสุพรรณบุรี

พ.ต.ท.วชิระชี้แจงกับผู้สื่อข่าวก่อนเดินทางกลับว่า มาสืบหาข้อเท็จจริงและประจักษ์พยาน แต่ยังไม่ได้แจ้งข้อหาและควบคุมตัวนางพนิตตา เพราะต้องรอผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการจากพนักงานสอบสวน ที่จะต้องสอบร่วมกับอัยการและนักสังคมสงเคราะห์เสียก่อน เมื่อมีพยานหลักฐานเพียงพอจึงแจ้งข้อหาจับกุม เชื่อว่านางพนิตตาคงไม่หลบหนีไปไหน ถ้าหนีไปคงหนีตั้งแต่วันที่ถูกแจ้งความแล้ว

หลังจากนั้น นายสุรินทร์ ศรีสนิท ผช.หน.ปจ.สุพรรณบุรี ได้นำคณะเดินทางถึง ร.ร.วัดไก่เตี้ย พร้อมกับเปิดเผยว่า ได้รับคำสั่งจากนายกิจ เกียรติสมกิจ ผอ.ปจ.สุพรรณบุรี ให้เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยมีนายไพฑูรย์ โกพัฒตรา หน.ปอ.เมืองสุพรรณบุรี เป็นกรรมการ นายสำเภา ปทุมมานนท์ อาจารย์ 2 ระดับ 7 ช่วยราชการงานนิติกร สปจ.สุพรรณบุรี เป็นกรรมการและเลขานุการ ขอเวลาให้คณะกรรมการสอบสวนผู้เกี่ยวข้องทุกปากก่อน จึงจะสามารถสรุปออกมาได้ว่านางพนิตตามีความผิดหรือไม่ขนาดไหน

เบื้องต้น ผอ.ปจ. ได้มีคำสั่งย้ายนางพนิตตาไปช่วยราชการที่ ร.ร.วัดโคกหม้อ สปอ.ดอนเจดีย์ เวลานี้ได้รับโทรศัพท์จากนายสุวิทย์คุณกิตติ รมว.ศึกษาธิการ นางสิริกร มณีรินทร์ รมช.ศึกษาธิการ นายทองอยู่ แก้วไทรฮะ เลขาธิการ สปช. ซึ่งได้สั่ง ให้สอบสวนให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และให้ได้ข้อเท็จจริงออกมาเร็วที่สุด

ด้านนางพนิตตา หลังจากพบกับคณะกรรมการสอบสวน สปจ.สุพรรณบุรี แล้วเดินร่ำไห้น้ำตาไหลพรากออกมาเปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่า ได้แต่งงานแล้ว มีบุตรหญิงอายุ 27 ปี บุตรชาย อายุ 25 ปี สามีหย่าขาดจากกัน ผ่านการสอนหนังสือมานาน 26 ปี แต่เพิ่งย้ายมาอยู่ ร.ร.วัดไก่เตี้ย ได้ 3 ปี ปัจจุบันสอนประจำชั้น ป.3 และ ป.4 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง เพราะเป็นครูสอนนักเรียนมานานถึง 26 ปี มีความผูกพันกับเด็กนักเรียนมาตลอดชีวิต จะไปทำกับลูกศิษย์ อย่างที่ถูกกล่าวหาได้อย่างไร

วันที่เห็นว่าตนกอดจูบอยู่ กับผู้ชาย ก็มีหลักฐานว่าวันนั้นไม่ได้อยู่ที่โรงเรียน ไปพักผ่อนอยู่ที่ จ.ราชบุรี และการกล่าวหาวางยาพิษ ไปมัดผูกติดต้นไม้ทำร้าย เป็นเรื่องไม่จริงทั้งหมด ถึงเวลานี้รู้สึกมึนงงว่าคนที่วางแผนทำแบบนี้เพื่ออะไร ทำไมจึงเล่นไม่เลิก เวลานี้พร้อมแล้วที่จะต่อสู้เปิดโปงสาเหตุทั้งหมดในศาล ขอเวลาให้ตรวจสอบที่มาที่ไปให้ชัดเจนเสียก่อน

จริงๆแล้วโรงเรียนนี้มีปัญหามากมาย แบ่งกันเป็นฝักฝ่าย เมื่อเช้าหลังจากได้เห็นข่าวรู้สึกเครียดมาก เกรงจะกระทบกระเทือนใจลูกสองคน แต่ก็เริ่มสบายใจ เมื่อลูกปลอบใจ เชื่อว่าแม่ไม่ได้ทำสิ่งเลวร้าย ยอมรับว่า รู้สึกโกรธมากกับคนที่กลั่นแกล้ง แต่ไม่สามารถยืนยันได้ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง

ส่วนความคืบหน้าในการสอบสวน เมื่อเวลา13.00 น. พ.ต.ท.สมจิตร เจริญสลุง สารวัตรเวร สภ.อ.ศรีประจันต์ ได้เดินทางไปขอใช้ห้องสอบสวน สภ.อ.เมืองสุพรรณบุรี สอบสวนนายสุพจน์ มีสม กับ ด.ญ.พรรณิภา มีสม ลูกสาว ด.ช.อรรถพล มีสม ลูกชาย ซึ่งเป็นน้อง ด.ญ.พรรณิภา และ ด.ญ.อ้อย (นามสมมติ) พยาน โดยสอบสวนร่วมกับนายนพพล กฤษณะเศรณี รองอัยการจังหวัดสุพรรณบุรี นายมาโนชญ์ ศึกษา นักสังคมสงเคราะห์ 5 ปิดห้องสอบนาน 3 ชม. ก่อนการสอบสวน นายนพพลกล่าวว่า หลังการสอบสวน ตำรวจสามารถเรียกครูที่ถูกกล่าวหามาแจ้งข้อหาได้ทันที ซึ่งคงหนีไม่พ้นข้อหาทำร้าย ร่างกาย พรากผู้เยาว์

ส่วนข้อหาพยายามฆ่า ต้องรอพิสูจน์ของกลางที่ผู้เสียหายนำมามอบให้ก่อนว่าสิ่งมีพิษที่ถูกนำไปใส่กล่องข้าวทำให้เสียชีวิตได้หรือไม่ แต่ถึงไม่ใช่สิ่งมีพิษ ก็จะแจ้งข้อหาปลอมปนอาหาร ส่วนเพื่อนนักเรียนที่ถูกจ้างให้นำยาพิษไปใส่กล่องข้าวแล้วออกมาเป็นพยาน ให้กับเพื่อนนั้น ตามกฎหมายจะถูกแจ้งให้เป็นผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีด้วย

วันเดียวกันนี้ นายมนตรี สินทวิชัย ส.ว.สมุทรสงคราม ในฐานะเลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก เดินทางไปที่ ร.ร.วัดไก่เตี้ย ชี้แจงว่า จะดำเนินการช่วยเหลือ ด.ญ.พรรณิภาและด.ญ.อ้อย พยานสำคัญ ในด้านความเป็นธรรมและจัดหาทนายความ คุ้มครองไม่ให้ได้รับอันตราย สำหรับ ด.ญ.อ้อยที่ถูกชักนำในลักษณะของการว่าจ้างแบบบังคับ ให้ทำไปด้วยความหวาดกลัวครูที่ข่มขู่ต่างๆนานา เด็กอายุน้อยต้องทำไปด้วยความจำใจ ครูบังคับแบบนี้ ไม่ทำก็กลัวถูกฆ่าตามคำขู่

ซึ่งกรณีนี้แล้วแต่ศาลจะเป็นผู้พิจารณา ตามสภาพความเป็นจริง ด.ญ.อ้อยน่าจะไม่มีปัญหาในเรื่องคดี แต่หนักใจว่าตำรวจจะยินยอมให้มูลนิธิฯเข้าไปดูสำนวนการสอบสวน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมหรือไม่เท่านั้น อย่างไรก็ตาม มูลนิธิจะพยายามช่วยทุกวิถีทาง

ในขณะที่นายประยูร เทพวงศ์ อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 297 หมู่ 2 ต.วังยาง อ.ศรีประจันต์ กรรมการศึกษาโรงเรียนวัดไก่เตี้ย กล่าวว่า โรงเรียนนี้มีปัญหาเยอะมาก ได้มีการบอกย้ำไปหลายครั้ง ให้คณะผู้บริหารแก้ไข แต่ไม่ค่อยได้รับการตอบสนอง โดยเฉพาะปัญหาของนางพนิตตา คณะกรรมการศึกษาได้ตั้งข้อสังเกตให้ไปแก้ไข เพราะทราบว่านางพนิตตาไม่ค่อยมาสอนหนังสือ หายตัวไปบ่อยๆ แจ้งเตือนผู้บริหารไป 5-6 ครั้ง ยังไม่เห็นมีการแก้ไขอะไร

ทางด้านนายเฉลย พูลสวน รองเลขาธิการคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.) กล่าวว่า ได้รับรายงานจากนายกิจ เกียรติสมกิจ ผอ.ปจ.สุพรรณบุรี ว่า ได้สั่งย้ายครูคนดังกล่าวออกจากพื้นที่แล้ว และได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้ ผอ.ปจ. ตรวจสอบว่ามีการแจ้งความจริงหรือไม่ ซึ่งพบว่ามีการแจ้งความจริง จึงให้ ผอ.ปจ.สุพรรณบุรีพิจารณาให้สั่งพักราชการ

ส่วนนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ว่า ตนได้สั่งการ สปช. ซึ่งเป็นต้นสังกัดสั่งให้ครูคนดังกล่าวออกจากราชการไว้ก่อน เพราะกระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายชัดเจนว่า หากมีข้าราชการกระทำผิดวินัยร้ายแรงต้องให้ออกจากราชการไว้ก่อน เพื่อไม่ให้มีการใช้อำนาจไปข่มขู่นักเรียนและผู้ที่เกี่ยวข้อง และให้เร่งตั้งกรรมการสอบสวนตามขั้นตอนโดยเร็ว

หากพบว่ากระทำการตามที่ถูกกล่าวหาจริงก็ต้องลงโทษทางวินัยร้ายแรง คือให้ออกจากราชการ เพราะถือว่าเป็นคนที่มีความโหดร้ายมาก และนอกจากโทษทางวินัยร้ายแรงแล้วคดีดังกล่าวถือเป็นคดีอาญา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องสอบสวนและดำเนินการลงโทษไปตามความผิด ส่วนกรณีที่ครูคนดังกล่าวออกมาระบุว่าเป็นการกลั่นแกล้งโดยใช้นักเรียนเป็นเครื่องมือ

เนื่องจากครูทะเลาะกันเองนั้น ตนไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของ สปช. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะเรื่องนี้มีการแจ้งความถ้าเป็นเรื่องไม่จริงก็ถือเป็นการแจ้งความเท็จ ผู้ที่แจ้งความก็ติดคุก

ผู้สื่อข่าวรายงานเวลา 18.00 น. หลังจากการสอบสวนของคณะกรรมการผ่านพ้นไปแล้ว นายกิจ เกียรติสมกิจ ผอ.ปจ.สุพรรณบุรี ได้รับทราบผลการสอบสวนว่าเรื่องบานปลายมีปัญหายาเสพติดเข้าไปเกี่ยวข้องกับนักเรียนด้วย รีบเดินทางมาพบกับ ด.ญ.พรรณิภา และ ด.ญ.อ้อย ที่ สภ.อ.เมืองสุพรรณบุรี และสอบปากคำเด็กทั้งสองด้วยตัวเอง โดย ด.ญ.พรรณิภาได้เปิดเผยว่า วันที่เห็นนางพนิตตาอยู่กับผู้ชายร่างท้วมผิวดำในห้องพักครูนอกจากจะมีการแสดงความรักกันแล้ว ชายคนดังกล่าวได้ส่งยาเม็ดสีส้มใส่หลอดกาแฟให้นางพนิตตา และนางพนิตตาได้ส่งเงินจำนวนหนึ่งให้ด้วย

ส่วน ด.ญ.อ้อยก็เปิดเผยว่า นางพนิตตาเคยใช้ให้เป็นคนนำยาเม็ดสีส้มดังกล่าวไปส่งให้พระวัดไก่เตี้ย และรับเงินจากพระมาให้นางพนิตตา หลังเกิดเหตุการณ์ที่จับได้ว่า ด.ญ.พรรณิภาไปแอบดูนางพนิตตาในห้องพักครู วันหนึ่งนางพนิตตาได้นำยาเม็ดสีส้ม 8 เม็ด มาสั่งให้ ด.ญ.อ้อยนำไปแบ่งให้ ด.ญ.พรรณิภากินคนละ 4 เม็ด บอกว่าเป็นยาแก้ปวดท้องและเด็กทั้งสองได้กินเข้าไป เกิดความผิดปกติขึ้น ซึ่ง ด.ญ.พรรณิภาได้เล่าว่า หลังจากกินยาเข้าไปเกิดรู้สึกขยันลุกขึ้นมาซักเสื้อผ้าตอน 2 ทุ่ม และยังทำงานอื่นอีกโดยไม่ง่วงนอนอย่างน่าประหลาดใจ เมื่อนำเรื่องไปเล่าให้เพื่อนฟัง ทำให้รู้ว่ายาที่กินเข้าไปนั้นคือยาบ้า

Hosted by www.Geocities.ws

1