เลือกด้วยใจ

ฉัตรชัย ผู้ปฏิเวธ

บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน ท้องฟ้าปกคลุมด้วยกลุ่มเมฆสีดำ อากาศร้อนอบอ้าวผสมกับควันจากท่อไอเสียรถยนต์จำนวนนับไม่ถ้วนที่วิ่งอยู่บนถนนราชดำเนิน วันนี้เป็นวันที่ไม่เหมาะกับการทำงานของผมเลย งานที่ต้องการแสง งานที่ต้องการบรรยากาศที่สดใส ผมตัดสินใจเก็บเครื่องมือหากินใส่กระเป่า ทันทีที่เม็ดฝนได้ตกลงมากระทบกันพื้นถนนที่ร้อนระอุ ไอร้อนมากระทบตัวจนรู้สึกได้ “ไปหาที่นั่งเย็นๆ กินอะไรสักหน่อย ฝนหยุดตกแล้วจะได้ มาทำงานต่อ” คิดแล้วก็เดินมาที่หัวมุมถนนดินสอ มีร้านอาหารติดแอร์ มีวงดนตรีบรรเลงประกอบการกินมื้อเทียง ราคาอาหารค่อนข้างแพง เป็นเรื่องปกติที่ผมจะเข้าไปกินในร้านอาหารประเภทนี้เพราะรายได้จากการทำงานของผม มากกว่าเงินเดือนของราชการบรรจุใหม่หลายเท่า

ผมเป็นช่างภาพอิสระทำงานนี้มาปีกว่าแล้ว ตั้งแต่เรียนอยู่ปี ๓ ตอนนี้จบแล้ว งานของผมรับถ่ายภาพทุกประเภท ผลงานมีปรากฏให้เห็นในนิตยาสารดังๆหลายเล่ม งานประกวดภาพถ่ายเกือบทุกงานจะมีผลงานให้เห็นอยู่เสมอ ฝีมือในการถ่ายภาพไม่เคยร่ำเรียนมาจากไหนศึกษาเอง จากตำราทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษ มุมมองภาพถ่ายจะเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง มีหลายๆคนชื่นชอบในฝีมือ เป็นที่มาของรายได้จำนวนมากในแต่ละงานที่ทำ กล้องตัวแรกที่ซื้อเป็นกล้องนิคอน ระบบซิงเกิ้ลเลนส์รีเฟล็ก หรือที่นิยมเรียกย่อๆว่า SLR เงินที่เอามาซื้อกล้องตัวนี้ได้จากการขาย แซ็กโซโฟน เครื่องดนตรีที่ผมรักมาก เรื่องมันเป็นมายังไง ผมจะเล่าย่อๆให้ฟัง

ก่อนที่จะมาเป็นช่างภาพอิสระ ผมเป็นนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐแห่งหนึ่ง เรียนวิชาเอกดนตรีสากล มีแซ็กโซโฟนเป็นเครื่องดนตรีประจำกาย แซ็กตัวนี้เก็บเงินซื้อเองตั้งแต่สมัยที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษา ความฝันของผมคือเป็นนักดนตรีที่ดี เป็นครูดนตรีที่ดี และมีความคาดหวังว่าสถาบันที่ได้เข้ามาเรียนจะมีส่วนช่วยสร้างฝันให้เป็นจริงได้ เพื่อนสนิทของผมคือ “กุล”

กุลเป็นนักเรียนดนตรีเครื่องเอกฟลู้ท แต่เครื่องดนตรีที่กุลถนัดและรักมากที่สุดคือ กีตาร์ไฟฟ้า จริงๆแล้วกุลไม่อยากเล่น ฟลู้ท แต่ด้วยความจำเป็นที่ต้องใช้ฟลู้ทในการสอบเข้าเรียน เพราะสถาบันแห่งนี้ไม่ได้รับนักเรียนเครื่องมือเอกกีตาร์ไฟฟ้า ในสมัยมัธยมกุลเป็นนักเรียนวงโยธวาทิตโรงเรียนเดียวกับผม กุลเป่าฟลู้ท ผมเป่าแซ็ก

ผมและกุล เรียนด้วยกันจนถึงปี ๓ สิ่งที่เราคาดหวังว่าจะได้เรียนรู้จากสถาบันอุดมศึกษาแห่งนี้ ไม่เป็นไปตามที่หวัง ครู-อาจารย์ที่สอนหลายคนต้องหางานพิเศษทำ เพราะเงินเดือนไม่พอใช้ ทำให้สอนได้ไม่เต็มที่ เงินเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตของคนในสังคมเมือง ความคิดนี้ถูกปลูกฝังในชีวิตของคนในเมืองหลวงโดยไม่รู้ตัวรวมทั้งตัวผมเองด้วย

“เราจะไปเรียนต่อที่อเมริกา เมืองไทยคงไม่มีที่ๆเราจะเรียนได้ เราอยากเรียนกีตาร์ นายมีอะไรให้เราช่วยก็บอกได้เลย” กุลพูดกับผม ฐานะทางบ้านของกุลค่อนข้างดี ผมจึงไม่รู้สึกลำบากใจที่จะขอความช่วยเหลือจากกุล

“นายช่วยซื้อแซกโซโฟนของฉันได้ไหม! ฉันไม่อยากเล่นดนตรีแล้ว” กุลไม่ได้ถามเหตุผล และไม่ได้ปฏิเสธ กุลได้เดินทางไปเรียนดนตรีต่อที่อเมริกาตามที่พูดไว้

ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไร ผมเอาเงินที่ขายแซ็กได้ ไปซื้อกล้องถ่ายรูป แล้วก็เริ่มฝึก เริ่มเรียนรู้อย่างจริงจัง ฟิล์มหลายม้วนที่หมดไปคล้ายกับตำราแบบฝึกหัดเล่มใหญ่ในการถ่ายภาพ แต่ละเฟรมที่จะถ่ายจะต้องหามุมมองที่ดีที่สุด แสงและเงาจะต้องสมดุลกันตามที่ต้องการ มีหลายสิ่งที่การถ่ายรูปเหมือนกับการเล่นดนตรี จังหวะ ลีลาที่ดี องค์ประกอบของภาพ ส่วนต่างๆเหมือนกับเสียงของดนตรีที่สอดประสานกันอย่างลงตัว

ผมตัดสินใจไปสมัครเป็นช่างภาพที่บริษัทแห่งหนึ่ง โดยนำผลงานที่ถ่ายไว้ไปเสนอ ทั้งที่ยังเรียนไม่จบ บริษัทตัดสินใจรับผมไว้ทำงานทันที แต่ผมขอทำเป็น Part time ทางบริษัทก็ไม่ขัดข้อง ในช่วงนี้ผมเริ่มส่งรูปเข้าประกวดในรายการต่างๆ ได้รางวัลมาหลายรายการ เหลือเวลาไม่ถึงสองเดือน ก็จะสำเร็จการศึกษาแล้ว ผมตัดสินใจที่จะเป็นช่างภาพอิสระเต็มตัว ไม่รู้สึกเสียดายวิชาดนตรีที่เรียนมาเลย ผมรู้สึกเพลิดเพลินกับการถ่ายภาพ และรายได้ที่ได้มาเป็นเงินจำนวนไม่น้อย สาเหตุที่ผมเลือกทำงานนี้ก็คือความรู้สึกอิสระ และที่สำคัญมากๆก็คือมีรายได้ดี คุณคงเข้าใจแล้วว่าทำไมผมถึงเลือกอย่างนี้

อาหารที่สั่งมาเสริ์ฟที่โต๊ะแล้ว ข้างนอกร้านฝนยังคงตกอยู่ บนถนนรถติดแทบไม่เคลื่อนที่ อากาศเย็นสบายภายในร้านทำให้ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร วงดนตรีประจำร้านเริ่มบรรเลง เสียงเพลงเคล้ากับอาหารราคาแพงทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขจริงๆ ไม่มีความรู้สึกใดๆกับคนที่ต้องเดินตากฝนอยู่บนถนน ต้องทนห้อยโหนรถเมล์ที่ติดไฟแดงอยู่ เสียงเพลงจากวงดนตรีบรรเลงสไตล์ป็อบคลาสสิก มีเสียงกีตาร์คลาสสิกบรรเลงนำช่างไพเราะจริงๆ ชวนให้ผมอยากรู้ว่าใครเป็นคนเล่นกีตาร์

นักดนตรีหน้าตาคุ้นๆ …กุล…เพื่อนรักของผมเอง ไม่ได้เจอกันปีกว่า เป็นมายังไงต้องคุยกันหน่อย ทันทีที่เพลงจบผมเข้าไปหากุล และพูดคุยกันตามประสาเพื่อน

กุล : เป็นไงบ้างสบายดีไหม

ผม : ฉันน่ะสบายดี ว่าแต่นายเป็นมายังไง ถึงได้มาเล่นดนตรีที่นี่ ไหนว่าจะไปเรียนต่อเมืองนอก

กุล : ช่วงนี้ปิดภาคเรียน เลยกลับมาช่วยเล่นดนตรีที่ร้าน

ผม : คิดยังไง มาเล่นกีตาร์คลาสสิก สมัยก่อนเล่นแต่กีตาร์ไฟฟ้า

กุล : และนายคิดยังไงถึง มาเป็นช่างภาพ ยังเป่าแซ็กได้อยู่หรือเปล่า

กุลไม่ตอบคำถามผม ผมก็ไม่ตอบคำถามกุล แต่การสนทนายังคงดำเนินต่อไป

กุล : นายเปลี่ยนไปมากรู้ไหม ความตั้งใจที่จะเป็นนักดนตรีที่ดี เป็นครูดนตรีที่ดีหายไปไหน

ผมเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำตอบตรงๆ

ผม : นายรู้ไหมว่ากล้องถ่ายรูปที่ฉันใช้อยู่ เหมือนกับเครื่องดนตรี ทุกครั้งที่ฉันได้มองผ่านเลนส์ ตั้งความไวชัตเตอร์ ปรับรูรับแสง จัดองค์ประกอบภาพ แล้วกดชัตเตอร์ มันเหมือนกับการได้บรรเลงเพลง เหมือนกับได้ประพันธ์เพลง ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

กุล : นายเป็นส่วนหนึ่งของความล้มเหลวของระบบการศึกษาไทย เรียนจบมาแต่ไม่ได้ใช้วิชาที่เรียนมาเลย

ผม : นายก็เหมือนกันเรียนไม่ทันจบ ก็ไปต่อนอกแล้ว ทำให้ประเทศเสียดุลต่างชาติ

เราสองคนนิ่งไปชั่วครู่ ผมเริ่มบทสนทนาก่อน

ผม : นายรู้ไหมว่ามีนักเรียน หรือนักศึกษาวิชาดนตรีกี่คนที่จบไปแล้วไม่ได้ทำงานตามที่ตัวเองเรียนมา

กุล : ไม่รู้ ก็มีนายคนหนึ่งยังไง

ผม : แล้วมันผิดตรงไหน

กุล : ทำไมไม่ไปเรียนถ่ายรูปตั้งแต่แรก

ผม : ถ้าฉันไปเรียนถ่ายรูปตั้งแต่แรก ตอนนี้คงไม่ได้เป็นช่างภาพแล้ว ฉันคงถ่ายภาพไม่ได้อย่างนี้ แนวความคิดในการถ่ายภาพ เป็นแนวความคิดทางดนตรีทั้งสิ้น ภาพที่ฉันถ่ายออกมาจึงไม่เหมือนใคร นี่คือจุดขายของฉัน ที่สำคัญฉันไม่อยากเป็นครูดนตรี หรือนักดนตรีไส้แห้ง

ผมรู้ตัวว่าสิ่งที่พูดออกไปเป็นส่วนหนึ่งของข้ออ้างที่จะนำมาแก้ตัว ตั้งแต่หยุดเล่นดนตรีผมรู้สึกว่าชีวิตขาดบางสิ่งบางอย่างไป แต่รายได้จากงานถ่ายภาพทำให้ผมไม่คิดถึงเรื่องอื่น

กุล : นายมันเห็นแก่เงินมากกว่าอุดมการณ์ จำได้ไหมสมัยที่เล่นวงโยฯ ด้วยกันนายเคยบอกว่า ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนาย ความสามารถของนายยังมีประโยชน์ต่อเด็กๆอีกหลายคน นายเป็นนักเรียนวงโยธวาทิตที่ดี เป็นนักเรียนดนตรีที่เก่ง ฉันเสียดายจริงๆ หากนายทิ้งดนตรีที่นายเคยรัก เงินไม่สามารถซื้อได้ทุกอย่างหรอก

ผม : ฉันว่าเราคงพูดกันไม่รู้เรื่อง เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า ไม่อยากทะเลาะกัน

ผมมองออกไปนอกร้าน ฝนหยุดตกแล้ว การสนทนาสิ้นสุดลง ผมไม่รู้สึกโกรธ กุล ที่ต่อว่าผม การสนทนาครั้งนี้ทำให้รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ยังคาใจ บรรยากาศหลังฝนตก ท้องฟ้าโปร่ง อากาศเย็นสบาย สายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาช่วยชะล้างถนนให้สะอาด ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ก็หายไปด้วย แต่ที่น่าแปลกก็คือ รถยนต์บนท้องถนนหายไปไหนหมด

เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากถนนราชดำเนินกลาง เสียงนี้ผมได้ยินมากว่าสิบปี เป็นเสียงของวงโยธวาทิต บรรเลงนำขบวน วันนี้เป็นวันที่ ๑๒ สิงหาคม เป็นวันแม่ ทุกๆปีจะปิดถนน มีการเดินเทิดพระเกียรติจากถนนราชดำเนินไปยังลานพระราชวังดุสิต โดยมีวงโยธวาทิตจากโรงเรียนต่างๆมานำขบวน ผมรีบหยิบกล้องขึ้นมาบันทึกภาพไว้

เด็กๆนักเรียนวงโยธวาทิตหลายวงเดินผ่านหน้าผมไป ภาพที่ผมถ่ายเห็นทุกรายละเอียด ทุกความรู้สึก ทุกๆคนมีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะบรรเลงเพลงเต็มความสามารถ โน้ตทุกตัวที่บรรเลงออกมาถูกต้องชัดเจน เครื่องแบบวงโยฯประกอบท่าทางการเดินที่สง่างาม และบทเพลงที่ไพเราะ ทุกอย่างสะท้อนให้เห็นภาพเบื้องหลังความงดงามเหล่านี้ เบื้องหลังที่ต้องฝึกซ้อมอย่างหนัก เบื้องหลังที่ทุกคนต้องเหนื่อย ทั้งครูและนักเรียน แต่สิ่งที่ได้กลับมามันมีค่าคุ้มเกินความเหนื่อย ผู้คนสองฝากทางที่มาเฝ้าชมวงโยธวาทิตต่างชื่นชม ประทับใจในการบรรเลง รอยยิ้ม สีหน้า และแววตา ที่แสดงออกอย่างจริงใจ สิ่งนี้เงินไม่อาจซื้อได้

…………………………………………….

….เกือบสิบปีแล้วที่ผมไม่ได้พบ กุล เกือบสิบปีเช่นกันที่ผมไม่ได้แตะกล้องถ่ายภาพ ผมรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก เพราะทุกนาทีที่ผ่านมาผมใช้มันอย่างคุ้มค่า

“ครูครับ โน้ตตัวซอลสูงจับยังไงครับ” นักเรียนคลาริเนตเดินเข้ามาถามผม

“เธอต้องหัดดู Fingering chart ให้เป็นนะ แล้วโน้ตตัวอื่นๆก็จะวางนิ้วได้ถูกต้อง” ผมอธิบายให้นักเรียนฟัง

เวลาทุกนาทีที่ผ่านไปผมทุ่มเทให้กับการสอนนักเรียนวงโยธวาทิต คำพูดของ กุล ในวันนั้นทำให้ผมตัดสินใจทำในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก เกือบสิบปีของชีวิตครูดนตรี ชีวิตครูวงโยธวาทิต นักเรียนรุ่นแล้วรุ่นเล่า สำเร็จการศึกษา ไปศึกษาต่อไปศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา ผมจะบอกกับนักเรียนอยู่เสมอว่า

“เงินไม่สามารถซื้อได้ทุกสิ่ง ขอให้เลือกทางเดินชีวิตด้วยใจของตนเอง”

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

Hosted by www.Geocities.ws

1