รื่องเล็กๆน้อยๆ

ฉัตรชัย ผู้ปฏิเวธ

ประตูไม้สีเทาถูกใส่กุญแจสภาพเหมือนกับไม่เคยได้ถูกเปิดมาเป็นเวลานาน มองขึ้นไปเหนือวงกบ มีป้ายไม้แขวนอยู่ ฉันเอื้อมมือขึ้นไปปัดฝุ่นที่เกาะอยู่บนแผ่นป้าย ตัวหนังสือที่เขียนอยู่บนแผ่นป้ายนั้นปรากฏให้เห็น ฉันรู้สึกเย็นวาบ ตัวเบาเหมือนกับจะลอยได้ภาพในอดีตย้อนกลับมาให้เห็นอีกครั้ง อดีตที่ฉันไม่อาจลืมเลือนไปได้ แผ่นป้ายนี้ฉันเป็นคนทำและเขียนกับมือของฉันเอง เมื่อกว่ายี่สิบปีที่แล้ว ข้อความตัวอักษรสีขาวที่เขียนบนแผ่นไม้คือ “ห้องวงโยธวาทิต”

ครูบุญยืน เป็นผู้สอนวิชาดนตรีสากล และสอนกิจกรรมวงโยธวาทิตของโรงเรียน ครูบุญยืนเป็นครูหนุ่มไฟแรง ทุ่มเทการทำงานให้กับกิจกรรมวงโยฯทั้งกำลังกาย กำลังใจ และกำลังทรัพย์ ทำทุกอย่างเพื่อให้กิจกรรมวงโยธวาทิตของโรงเรียนสามารถออกไปบรรเลงตามที่ต่างๆ อย่างไม่อายใคร ถึงแม้โรงเรียนของฉันจะเป็นเพียงโรงเรียนเล็กๆ ไม่ใช่โรงเรียนที่ร่ำรวย แต่ก็มีวงโยธวาทิตที่ไม่น้อยหน้าใคร เครื่องดนตรีทั้งวงกว่าสามสิบชิ้น ส่วนใหญ่เป็นเครื่องทำในไต้หวัน และจีน ทุกเครื่องดูใหม่อยู่เสมอ เพราะครูสอนให้เราดูแลรักษาเครื่องเหมือนกับเราดูแลตัวเอง เครื่องดนตรีจึงไม่ค่อยมีปัญหา นอกจากครูจะสอนให้เราดูแลรักษาเครื่อง สอนให้รู้จักทำความสะอาดเครื่องดนตรีอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเครื่องเสียครูก็จะซ่อมให้นักเรียนดู ต่อไปหากเครื่องเสียเล็กน้อยนักเรียนก็จะสามารถซ่อมเองได้ เครื่องดนตรีที่ฉันเล่นคือปี่คลาริเน็ท ทำในจีน ตามที่ครูสอนก่อนที่จะเล่นเครื่องดนตรี จะต้องล้างลิ้นปี่ และปากปี่ให้สะอาด และทุกครั้งที่เล่นเสร็จจะต้องทำความสะอาด ทุกๆส่วนให้ดูเหมือนใหม่อยู่ตลอดเวลา คราบเหงื่อ คราบไคล น้ำลาย จะต้องไม่มีปรากฏให้เห็น เครื่องดนตรีพวกแตรทั้งหลายจะต้องล้างเครื่องทุกเดือน กำพวดแตรต้องล้างทำความสะอาดทุกครั้งในการฝึกซ้อม กล่องใส่เครื่องดนตรีจะต้องไม่มีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ครูบอกว่ากลิ่นเหม็นในกล่องเก็บเครื่องดนตรี เกิดจากเชื้อโรค และจำทำให้คนที่เล่นเครื่องดนตรีติดเชื้อโรค และไม่สบายได้ ครูบุญยืนเป็นคนที่ระเบียบจัด และรักความสะอาดมากๆ เรื่องสำคัญที่ครูเน้นย้ำมากๆก็คือ เครื่องดนตรีที่นักเรียนเล่น นักเรียนจะต้องรักและดูแลเป็นอย่างดี ห้ามไม่ให้ใครไปหยิบจับหรือเล่นเครื่องดนตรีของคนอื่นโดยเด็ดขาด ครูจะบอกว่า “ห้ามมั่วเครื่อง”

เครื่องดนตรีของใครก็เล่นของตัวเองไป อย่าไปเล่นเครื่องดนตรีของผู้อื่น และก็อย่าให้คนอื่นมาเล่นเครื่องดนตรีของเรา เวลาที่ครูสอนครูก็จะเอาเครื่องดนตรีของครูมาเอง หากครูไม่มีเครื่องดนตรีมาครูจะไม่ไปใช้เครื่องดนตรีของนักเรียนเลย ครูเป็นแบบอย่างที่ดีในหลายๆเรื่องให้ฉันเห็น

เมื่อขึ้น ม.๔ ฉันมีความตั้งใจที่จะเก็บเงินเพื่อซื้อเครื่องดนตรีเป็นของตัวเอง ฐานะทางบ้านของฉันไม่ใช่คนรวย จึงต้องเก็บเงินซื้อเครื่องดนตรีเอง เงินค่าอาหาร ค่ารถ ที่แม่ให้มาฉันแทบจะไม่ได้ใช้ ข้าวกลางวันก็ห่อไปกินที่โรงเรียน ระยะทางจากบ้านไปกลับโรงเรียน ๘ กิโลเมตร ก็พอที่จะเดินได้ไม่ต้องเสียค่ารถ วงโยฯไปออกงานที่ไหนได้เบี้ยเลี้ยงมาทุกครั้งฉันก็จะเก็บไว้ ทุกวันศุกร์ก่อนกลับถึงบ้านฉันจะไปแวะที่ธนาคารออมสิน เอาเงินไปฝากทุกสัปดาห์ เวลาผ่านไปสามปี ฉันสามารถเก็บเงินเอาไปซื้อเครื่องดนตรีชิ้นแรกได้สำเร็จ เป็นปี่คลาริเน็ทที่ทำจากประเทศญี่ปุ่น ถึงแม้จะเป็นเครื่องดนตรีที่ราคาถูก แต่ฉันก็ภูมิใจในเครื่องดนตรีของฉันเป็นอย่างมาก หลังจากที่มีเครื่องดนตรีเป็นของตัวเองแล้วฉันก็ตั้งใจฝึกซ้อมอย่างหนักเพราะจุดมุ่งหมายของฉันในตอนนี้คือจะศึกษาต่อทางด้านดนตรี

ฉันขึ้น ม.๖ แล้ว เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อนก็เกิดขึ้น ครูบุญยืนได้ตัดสินใจลาออกจากราชการครูไม่ได้บอกว่าจะไปทำอะไร ผ่านไปสองสัปดาห์หลังจากที่ครูบุญยืนได้ลาออกไป โรงเรียนก็ได้รับครูดนตรีคนใหม่เข้ามา ครูจำรัส เป็นครูดนตรีคนใหม่ ครูจำรัส เป็นครูที่มีความสามารถสูงเล่นเครื่องดนตรีได้ทุกชิ้นที่วงมีอยู่ ครูบอกว่าปีนี้จะทำวงของเราเข้าร่วมประกวด นักเรียนจะต้องฝึกซ้อมอย่างหนักทุกวัน

ครูจำรัส มีความชำนาญเครื่อง Brass เป็นพิเศษ ครูจึงให้ฉันช่วยสอนกลุ่ม Woodwind ส่วนเครื่อง Brass ครูจะสอนเอง การสอนของครูจำรัส และครูบุญยืน ไม่เหมือนกันเลย ครูจำรัสจะสอนนักเรียนเหมือนกับเป็นเพื่อนสอนไปเล่นไปเวลาที่สอนครูก็จะเป่าไปกับนักเรียนด้วย ครูจำรัสเป็นคนสบายๆ ไม่ค่อยเข้มงวดในเรื่องของระเบียบวินัย เหมือนกับครูบุญยืน เวลาผ่านไปเกือบสองเดือนวงโยธวาทิตเปลี่ยนไปไม่เหมือนก่อน ฉันไม่แน่ใจว่าวงฯเปลี่ยนไปในทางไหนกันแน่ นักเรียนวงโยธวาทิตสามารถเล่นเพลงที่ยากขึ้นได้ คุณภาพเสียงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามคือเครื่องดนตรีที่เล่นอยู่กับมีสภาพแย่ลงมาก ไม่ได้แย่ลงเพราะการฝึกซ้อมอย่างหนัก แต่เพราะนักเรียนหลายคนเริ่มไม่เห็นความสำคัญของการดูแลรักษา การทำความสะอาดเครื่อง หลายคนเล่นเสร็จเก็บใส่กล่องเลย เครื่องที่เคยล้างเป็นประจำตอนนี้ไม่เคยล้างแล้ว จะออกงานก็ใช้ยาขัดเครื่องอย่างเดียวไม่มีความคิดที่จะล้างเครื่องเลย เครื่องบางชิ้นดูใหม่ แต่ภายในสกปรกมาก กล่องเครื่องดนตรีหลายกล่อง มีกลิ่นเหม็น บางกล่องมดเข้าไปทำรัง แมลงสาปเข้าไปอยู่ก็มี ที่สำคัญนักเรียนเริ่มมั่วเครื่องกันมากขึ้น บางครั้งครูก็เอานักเครื่องดนตรีของนักเรียนเป่า ยกเว้นเครื่องดนตรีของฉันจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องอย่างเด็ดขาด

วันหนึ่งครูได้กำพวดทรัมเป็ต มาใหม่ ๕ อัน ครูบอกว่ากำพวดนี้เหมาะสำหรับเป่ามาร์ชชิ่ง เพราะเสียงพุ่งดี แล้วครูก็เอากำพวดทั้ง ๕ อันมาลองเป่าให้นักเรียนดู เสียงเปลี่ยนไปจากกำพวดเดิมจริงๆ เสียงพุ่งขึ้นแต่ฟังดูบี้ๆ หลังจากที่ครูได้สาธิตให้นักเรียนได้ฟังเสียงแล้วครูก็ให้นักเรียนทรัมเป็ตเปลี่ยนมาเป่ากำพวดอันใหม่ทุกคน

วันประกวดวงโยธวาทิตใกล้เข้ามาทุกที วงโยฯมีความพร้อมที่จะลงสนามประกวดแล้ว ทั้งเพลงและการแปรขบวน ได้ผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างหนัก ฉันยังคงคิดถึงครูบุญยืนอยู่เสมอ พื้นฐานทางดนตรีที่ครูวางไว้ทำให้ครูจำรัส ไม่ต้องมาเริ่มต้นตั้งแต่ศูนย์ ผ่านมาแล้วเกือบปีที่ครูบุญยืนลาออกไป เกือบปีแล้วเช่นกันที่เครื่องดนตรีของโรงเรียนไม่ได้ถูกล้าง ถูกทำความสะอาด อย่างจริงจังสักที

เหลือเวลาอีกสัปดาห์เดียวก็จะถึงวันประกวดแล้ว ครูจำรัสทำงานหนักเพื่อเตรียมประกวดมาโดยตลอด จากตอนที่ครูมาใหม่ๆ รูปร่างอ้วนตัวใหญ่ เป็นที่น่าเกรงขรามสำหรับนักเรียนหลายๆคน ในตอนนี้น้ำหนักครูลดไปหลายกิโล ตัวก็ดำขึ้นเพราะต้องฝึกวงโยฯ กลางแดดทุกวัน อย่าว่าแต่ครูเลยที่ดำ นักเรียนทุกๆคนก็ตัวดำกันทั้งวง ในช่วงเข้าค่ายก่อนประกวดนักเรียนหลายคนกลับดูอ้วนขึ้น รวมทั้งตัวฉันด้วย เพราะได้กินอาหารเป็นเวลาวันละ ๔ มื้อ เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน จะไม่ให้อ้วนได้ยังไง

เวลาบ่ายสามโมง ก่อนที่วันประกวดจะมาถึงนักเรียนวงโยฯ ต้องมาซ้อมแปรขบวน ครูจำรัสก็ลงมาคุมวง เสียงของวงดังอย่างมีพลัง ทุกคนเคลื่อนที่ไปตามจังหวะของเพลง ตามจุดที่ได้ฝึกซ้อมมา ผู้อำนวยการ ครูในโรงเรียน พ่อแม่ เพื่อนทุกๆคนในโรงเรียนมาชมการฝึกซ้อมใหญ่ เป็นการฝึกซ้อมครั้งสุดท้าย ทุกอย่างต้องเหมือนจริง วันนี้ฟ้าครึ้มไม่มีแดด แต่อากาศร้อน คล้ายกับว่าจะมีฝนตก นักเรียนทุกคนแต่งตัวเต็มยศ ครูจำรัสทำหน้าที่ให้สัญญาณการบรรเลงอยู่หน้าวง นักเรียนทุกคนตั้งใจกันอย่างเต็มที่ จนสิ้นเสียงโน้ตตัวสุดท้าย ทุกคนที่ชมการฝึกซ้อมปรบมือให้กำลังใจนักเรียน สิ้นเสียงปรบมือครูจำรัสเป็นลมล้มอยู่หน้าวง ครูหลายคนต้องรีบเข้าไปปฐมพยาบาล ถ้าอากาศเป็นแบบนี้ ในวันประกวดคงไม่ดีแน่ ใส่เครื่องแบบวงโยฯไม่ต่างกับใส่เสื้อกันหนาวสามชั้นไปยืนกลางแดด

แล้ววันประกวดก็มาถึง ก่อนลงสนามครูจำรัสได้พูดกับนักเรียนว่า “พวกเราทุกคนต้องทำให้ดีที่สุด เหมือนกับที่ได้ซ้อมมา วันนี้เป็นวันที่นักเรียนจะได้มีประสบการณ์ชีวิต ที่จะไม่มีวันลืม ปีนี้เป็นปีแรกที่เราลงประกวด ถ้าเราทำได้ดี ในปีต่อๆไปวงโยฯของเราก็จะไม่เป็นรองใคร” ความหมายที่ครูพูดทำให้นักเรียนเกิดพลังขึ้นภายใน แต่ในความรู้สึกของฉันน้ำเสียงของครูแฝงด้วยความรู้สึกที่ฉันไม่สามารถอธิบายได้ในตอนนั้น ในใจของฉันคิดว่าในปีนี้เราต้องได้แชมป์ ในปีหน้าฉันก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ลงสนามแล้ว

เวลาที่รอคอยมาถึงแล้วทุกสายตาของนักเรียนในวงจ้องมองไปที่ครู ทันทีที่ครูให้สัญญาณเริ่มบรรเลง เสียงดนตรีได้ดังกระหึ่มขึ้นทั้งสนามกีฬา ทุกคนทำได้ดีตามที่ฝึกซ้อมมาอย่างหนัก จนกระทั้งเพลงสุดท้ายมาถึง เป็นเพลงที่ทำนองมีความสง่าผ่าเผย รูปแบบของการแปรขบวนดูยิ่งใหญ่อลังการ ในขณะที่บรรเลงฉันรู้สึกขนลุก หัวใจเต้นแรงขึ้น น้ำตาแห่งความปลาบปลื้มไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เพียงแต่รู้ว่าสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่พร้อมกับเพื่อนๆในตอนนี้ มันเป็นสิ่งที่มีค่ามาก คุ้มค่ากับการที่ได้ฝึกซ้อม ทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่ สิ่งนี้มีค่ากว่ารางวัลที่ฉันหวังไว้เสียอีก

สิ้นเสียงดนตรี ทุกๆอย่างเหมือนกับจะหยุดอยู่กับที่ทั้งสนามเงียบกริบ.... จนกระทั่งครูหันกลับไปหาผู้ชม แล้วโค้งคำนับ เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วสนาม ทุกคนในวงหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ถึงแม้การประกวดในครั้งนี้ฉันจะได้เพียงรางวัลรองชนะเลิศ ก็ไม่รู้สึกเสียใจ เพราะสิ่งที่ฉันได้รับมีค่ากว่ารางวัลใดๆทั้งสิ้น......

.....เวลาผ่านไปแล้วเกือบยี่สิบปีนับจากวันที่ฉันได้เข้ร่วมประกวดวงโยธวาทิต ฉันไม่ได้กลับมาเยี่ยมที่โรงเรียนอีกเลยเพราะต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัด เพื่อนๆบางคนได้ทำงานเป็นใหญ่เป็นโต บางคนก็ล้มหายตายจากทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาอันควร วัยสามสิบกว่าๆน่าจะเป็นวัยที่แข็งแรง เป็นช่วงวัยของการสร้างเนื้อสร้างตัว

ฉันได้มีโอกาส กลับมาที่โรงเรียนอีกครั้งหลังจากที่จากไปนาน สภาพของโรงเรียนเปลี่ยนไปมาก วันนี้เป็นวันหยุดไม่มีนักเรียนมาเรียน มีแต่ครูเวรซึ่งเป็นครูใหม่ที่ฉันไม่รู้จัก แต่ก็เข้าไปคุยด้วยและขออนุญาตเดินชมบริเวณโรงเรียน ฉันตั้งใจที่จะเดินไปที่อาคารหลังเก่าไปยังห้องที่ฉันคุ้นเคยดี

ประตูไม้สีเทาถูกใส่กุญแจสภาพเหมือนกับไม่เคยได้ถูกเปิดมาเป็นเวลานาน มองขึ้นไปเหนือวงกบ มีป้ายไม้แขวนอยู่ฉันเอื้อมมือขึ้นไปปัดฝุ่นที่เกาะอยู่บนแผ่นป้าย ตัวหนังสือที่เขียนอยู่บนแผ่นป้ายนั้นปรากฏให้เห็น ฉันรู้สึกเย็นวาบ ตัวเบาเหมือนกับจะลอยได้ภาพในอดีตย้อนกลับมาให้เห็นอีกครั้ง อดีตที่ฉันไม่อาจลืมเลือนไปได้ แผ่นป้ายนี้ฉันเป็นคนทำและเขียนกับมือของฉันเอง เมื่อกว่ายี่สิบปีที่แล้ว ข้อความตัวอักษรสีขาวที่เขียนบนแผ่นไม้คือ “ห้องวงโยธวาทิต”

เกิดคำถามขึ้นในใจ ทำไมห้องวงโยฯถึงถูกปิดตาย วงโยธวาทิตที่ฉันเคยร่วมเล่นอยู่หายไปไหน ฉันรีบเดินกลับไปหาครูเวรเพื่อสอบถามให้รู้ คำตอบที่ฉันได้ยินทำให้ถึงกลับรู้สึกเข่าอ่อน

“ครูจำรัสได้เสียชีวิตไปกว่าสิบปีแล้ว สาเหตุมาจากเชื้อไวรัสบางชนิด ที่สามารถติดต่อได้ทางสารคัดหลั่ง เช่นน้ำมูก น้ำตา น้ำลาย ฯลฯ และนักเรียนหลายคนในวงฯ ก็ได้รับเชื้อไวรัสประเภทเดียวกัน แต่โชคดีที่หมอสามารถช่วยรักษาไว้ได้ก่อนที่จะถึงขีดอันตราย” ทันทีที่ฉันได้ฟังครูเวรเล่าให้ฟังจนจบ ทำไห้นึกถึงเพื่อนที่ต้องจากไปก่อนวัยอันควรเป็นนักเรียนทรัมเป็ตซึ่งครูจำรัส รักมาก ยอมให้เป่าเครื่องดนตรีของครูเอง

นึกถึงคำพูดของครูบุญยืน ทีว่า “ห้ามมั่วเครื่อง”

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

Hosted by www.Geocities.ws

1