วิเคราะห์อุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ของ กองทัพบก
และกองทัพอากาศ (ต่อ)
วิจารณ์
จากข้อมูลอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ ที่รวบรวมได้ทั้งหมด
ไม่สามารถคำนวณหาอุบัติการณ์การเกิด อุบัติเหตุได้
เนื่องจากไม่ทราบจำนวนชั่วโมงบินทั้งหมด
หรือจำนวนครั้งที่เครื่องบินขึ้นลง
แต่วิเคราะห์จากแนวโน้มการเกิดอุบัติเหตุโดยรวม
มีแนวโน้มในการเกิดอุบัติเหตุมากขึ้นเล็กน้อย
การเปลี่ยนแปลงทางด้านกองทัพอากาศ
มีแนวโน้มการเกิดอุบัติเหตุค่อนข้างคงที่
แต่ทางกองทัพบกค่อนข้างมากขึ้น อาจเนื่องจากภารกิจที่มากขึ้น
โอกาสเกิดอุบัติเหตุจึงสูงขึ้น สำหรับแนวโน้มเสียชีวิตในอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์
จะเห็นได้ว่าใน ปี พ.ศ.๒๕๓๐ มีอัตราการเสียชีวิต
และการบาดเจ็บค่อนข้างสูงมากกว่าปีอื่นๆ
เนื่องจากในปีนี้มีจำนวนอุบัติเหตุสูง
ประกอบกับอุบัติเหตุมีความเสียหายอยู่ในขั้นจำหน่ายหลายรายการ
ทำให้ความรุนแรงในอุบัติเหตุสูง จำนวนผู้บาดเจ็บ
และเสียชีวิตจึงสูงตามไปด้วย ส่วนข้อมูลในปี พ.ศ.๒๕๓๑
ไม่มีอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์เกิดขึ้นในกองทัพอากาศ และกองทัพบก
การสูญเสียอยู่ในเกณฑ์ต่ำ คือ ๒ ราย ในจำนวนนี้
มีความเสียหายขั้นจำหน่ายเพียง ๑ รายการ
ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในปี พ.ศ.๒๕๓๑ ส่วนแนวโน้มในปี
พ.ศ. ๒๕๓๒ - ๒๕๓๔ โดยรวมแล้ว การบาดเจ็บและเสียชีวิต
อยู่ในเกณฑ์เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
สัมพันธ์กับจำนวนอุบัติเหตุที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน
แต่ถ้าพิจารณาโดยแยกแล้ว เกณฑ์การบาดเจ็บและเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น
อยู่ในส่วนของกองทัพบกเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในปี พ.ศ.๒๕๓๔
กองทัพบกมีการสูญเสียเป็นจำนวนมาก เปรียบเทียบกับกองทัพอากาศ ในปี
พ.ศ. ๒๕๓๓ - ๒๕๓๔ มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุคงที่
แต่มีจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตน้อยลง
เปรียบเทียบข้อมูลอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์กองทัพบกและทัพอากาศพบว่า
กองทัพบก
เฉลี่ยเฮลิคอปเตอร์เกิดอุบัติเหตุใหญ่
๔.๔ เครื่อง ต่อปี
มีการเสียชีวิตเฉลี่ย
๒ คน
ต่ออุบัติเหตุ ๑ ครั้ง
มีการบาดเจ็บเฉลี่ย ๒.๔๕ คน
ต่ออุบัติเหตุ ๑ ครั้ง
กองทัพอากาศ
เฉลี่ยเฮลิคอปเตอร์เกิดอุบัติเหตุใหญ่
๑.๔ เครื่อง ต่อปี
มีการเสียชีวิตเฉลี่ย
๑.๗ คน
ต่ออุบัติเหตุ ๑ ครั้ง
มีการบาดเจ็บเฉลี่ย ๑.๒๕ คน
ต่ออุบัติเหตุ ๑ ครั้ง
จากข้อเปรียบเทียบดังกล่าว
จะเห็นได้ว่าโดยเฉลี่ยแล้วกองทัพบก
การเกิดอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์มากกว่ากองทัพอากาศ
และมีอัตราการสูญเสียชีวิตและการบาดเจ็บมากกว่ากองทัพอากาศอย่างเห็นได้ชัด
สาเหตุน่าจะเป็นภารกิจทางด้านกองทัพบกใช้ยานเฮลิคอปเตอร์ในการสนับสนุนด้านการรบและยุทธวิธีซึ่งมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูง
ประกอบกับสนามที่เฮลิคอปเตอร์ใช้ลงในพื้นที่ที่ปฏิบัติภารกิจทางด้านกองทัพบก
มีความยากลำบาก
และไม่สมบูรณ์พร้อมเต็มที่ในการใช้เป็นสนามขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์
จากข้อมูลจะเห็นได้ว่าการสูญเสียและเกิดอุบัติเหตุหลายครั้งในการนำเครื่องขึ้นหรือลงจอด
ในภูมิประเทศที่เป็นป่าเขาที่ไม่คุ้นเคย
ตามภารกิจที่ได้รับมอบ
การบาดเจ็บและเสียชีวิต
ข้อมูลในส่วนนี้มิไม่สมบูรณ์
เท่าที่รวบรวมได้การเสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากการบาดเจ็บที่ศีรษะมากถึง
๘๕% ตามมาด้วยการบาดเจ็บที่ทรวงอก
๗๑%
รองลงมาเป็นการบาดเจ็บที่แขนและมือ เท่าที่ขาและเท้า คือประมาณ
๕๗%
การบาดเจ็บและเสียชีวิตส่วนใหญ่มีการบาดเจ็บหลายแห่ง(multiple
injury)
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิต มักเป็นการบาดเจ็บที่ศีรษะ
เพราะจากข้อมูลพบว่ามีความรุนแรงมากโดยเฉพาะที่ศีรษะส่วนหน้าส่วนการบาดเจ็บที่ทรวงอกมักเป็นกระดูกซี่โครงหักทิ่มแทงปอด
หรือหักทะลุ พบปอดซ้ำหรือฉีกขาดบ้าง
บางรายมีเลือดคั่งในปอดรวมด้วย
การบาดเจ็บบริเวณหัวใจไม่พบรายงาน
การบาดเจ็บที่แขนขามักเป็นกระดูกทิ่มออกมา
หรือหักแตกโดยเฉพาะกระดูกใหญ่ๆ
จะเห็นว่า
ในอุบิติเหตุใหญ่ในแต่ละครั้ง
มีการบาดเจ็บค่อนข้างรุนแรงและพบการบาดเจ็บหลายแห่งโดยเฉพาะส่วนหน้าคือบริเวณที่อยู่นักบิน
นักบินส่วนใหญ่เสียชีวิตจาการบาดเจ็บที่ศีรษะ
และถึงแม้ในรายงานจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าหมวกนักบินสามารถป้องกันอุบัติเหตุนี้ได้หรือไม่
หากมี ๒ รายงาน พบว่าหมวกยังอยู่ในสภาพดีแต่หลุดออก
และนักบินเสียชีวิตจาการบาดเจ็บที่ศีรษะเช่นกัน
ส่วนการบาดเจ็บทั้งการบาดเจ็บสาหัสและการบาดเจ็บเล็กน้อย
ข้อมูลในส่วนนี้ไม่สมบูรณ์ในรายงานการสอบสวนทางการแพทย์
โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่และผู้โดยสารไม่สามารถมีข้อมูลในรายละเอียดของการบาดเจ็บเลย
จากข้อมูลส่วนน้อยที่ได้ซึ่งเป็นกลุ่มนักบิน
พบว่าในกรณีบาดเจ็บสาหัสมักเป็นกระดูกชิ้นเล็กหัก หรือกระดูกแขนหัก
ส่วนบาดเจ็บเล็กน้อยมักเป็นบาดแผลถลอก ฟกซ้ำ
หรือบาดแผลฉีกขาดบริเวณที่ศีรษะและแขนขาเป็นต้น
การเกิดไฟไหม้หลังเกิดอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์
(PCF)
ในรอบ ๕ ปี
พบอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ แล้วเกิดไฟไหม้รวม
๕ ราย
โดยจากองทัพบกจำนวน ๔ ราย และกองทัพอากาศ
๑ ราย
โดยเฉลี่ยกองทัพบกเกิดไฟไหม้หลังอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์
๑๘.๑% ในขณะที่กองทัพอากาศพบการเกิดไฟไหม้หลังอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์
๑๔.๓% จะเห็นได้ว่าอัตราการเกิดไฟไหม้กองทัพบกมีมากกว่ากองทัพอากาศ
และความเสียหายของอากาศยานเป็นชนิดความเสียหายขั้นจำหน่ายทุกลำ
การบาดเจ็บและเสียชีวิตในกรณีไฟไหม้อุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์
มีอัตราสูง คือ พบว่าในจำนวนผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
๔๙ คน
- มีการเสียชีวิต
๒๗ ราย (๕๕.๑%)
- บาดเจ็บสาหัส ๑๑
ราย (๒๒.๕%)
- บาดเจ็บเล็กน้อย ๗
ราย (๑๔.๔%)
- ปลอดภัย
๔ ราย (๘%)
พบว่ากองทัพบกมีค่าเฉลี่ยการเสียชีวิต
๕.๗๕ คน
ต่ออุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ไฟไหม้
๑ ครั้ง
ซึ่งกองทัพบกอากาศมีค่าเสียชีวิตเฉลี่ย
๔ คน ต่ออุบัติเหตุไฟไหม้
๑ ครั้ง (ข้อมูลกองทัพอากาศมีน้อย
การเปรียบเทียบอาจไม่ได้ผลแน่นอน)
ในจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด
แยกเป็นนักบิน ๖ คน ราย (๒๒.๒%)
ซึ่งสังกัดกองทัพบก
ทุกคนเป็นเจ้าหน้าที่ประจำเฮลิคอปเตอร์
๔ ราย (๑๔.๘%)
และเป็นผู้โดยสาร ๑๗ ราย
(๖๓%)
จะเห็นได้ว่ากรณีไฟไหม้หลังเกิดเครื่องเกิดอุบิติเหตุ
ทำให้สูญเสียผู้โดยสารจำนวนมาก
ปัจจัยสำคัญในการพิจารณาการเสียชีวิตจำนวนมากของผู้โดยสารคือ
ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันไฟประจำตัว (ชุดกันไฟ)
ไม่คุ้นเคยกับสภาพภายในยานอากาศ ไม่ชำนาญในการหลบหนีออกจากเครื่อง
และสิ่งรัดตึงไม่ดีซึ่งมีผลในกรณีเกิดอุบัติเหตุ
ทำให้เกิดการบาดเจ็บสูงและขัดขวางต่อการหลบหนีออกจากเครื่อง
การสอบสวนทางการแพทย์ในอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์
การสอบสวนทางการแพทย์ในอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ไม่ได้แตกต่างไปจากกับอุบัติเหตุอากาศยานประเภทอื่นต้องมีการตรวจร่างกายอย่างละเอียด
มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ตรวจเลือด ปัสสาวะ และตรวจหาสารเคมีที่มีผลต่อระบบประสาท รวมทั้ง x
ray
กระดูกสันหลังและส่วนที่บาดเจ็บในกรณีเสียชีวิตต้องมีการสูตรศพเก็บ
รวบรวมหลักฐานและตัวอย่างเพื่อพิสูจน์แยกตัวบุคคลและหาเหตุการเสียชีวิต
เพื่อนำไปเป็นข้อมูลศึกษาหนทางป้องกันการบาดเจ็บในอนาคตต่อไป
อย่างไรก็ดีมีข้อควรให้ความสนใจคือ
อุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ต่างจากอากาศยานประเภทอื่นที่เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น
ชิ้นส่วนโครงสร้างต่างๆ มักคงอยู่รวมกันไม่กระจัดกระจาย
ไม่ฝังตัวลงดิน
แม้กระทั้งเมื่อเกิดไฟไหม้หลังอุบัติเหตุความสัมพันธ์ต่างๆ
ยังคงอยู่รวมกันแม้ว่าการทำลายดูจะเหมือนรุนแรงหลังไฟไหม้
และจากการที่มีการคงอยู่ของชิ้นส่วนโครงสร้างหลังอุบิติเหตุเฮลิคอปเตอร์ทำให้การ
สอบสวนทางการแพทย์สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพมากขึ้น
สามารถที่จะวิเคราะห์กลไกลหรือความสัมพันธ์ของการบาดเจ็บ
กับความรุนแรงของอุบัติเหตุได้
และยังช่วยในการวิเคราะห์ถึงสภาพของการบาดเจ็บ
ซึ่งสัมพันธ์กับอุปกรณ์ช่วยชีวิตต่างๆ ว่าเหมาะสมเพียงใด
เพื่อประโยชน์ในการป้องกันการเสียชีวิตในอุบัติเหตุครั้งต่อไป
สำหรับความสัมพันธ์ที่เหมาะสมระหว่างการบาดเจ็บ
และสาเหตุที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บ
การสอบสวนทางการแพทย์ต้องให้ความสำคัญกับสถานที่เกิดเหตุสภาพภายในห้องนักบินและห้องผู้โดยสาร
อุปกรณ์ต่างๆรวมทั้งบังคับมีความใกล้ชิดกับผู้บังคับการบินหรือผู้โดยสารมาก
สภาพคันบังคับการบิน นอกจาการบังคับจะแตกต่างจากอากาศยานทั่วไป
ส่วนที่โปร่งแสงซึ่งเป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่บริเวณหัวอากาศยานไม่เฉพาะตรงส่วนหน้า
ยังมีส่วนข้าง ส่วนล่างและส่วนเหนือศีรษะ
นอกจากนี้เฮลิคอปเตอร์ยังมีฐานเป็นสกีมากกว่าที่จะเป็นล้อ
โดยเฉพาะบริเวณส่วนหน้า
การสอบสวนทางการแพทย์
ถ้าเป็นความร่วมมือระหว่างแพทย์ทางนิติเวชและแพทย์เวชศาสตร์การบินผู้มีความชำนาญ
เกี่ยวกับชนิดของอากาศยานที่เกิดอุบัติเหตุ
จะทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตามทีมสอบสวนทางการแพทย์ความร่วมมือกันวิเคราะห์ตรวจสอบความเสียหายของอากาศยานอย่างใกล้ชิด
และถ้าเป็นไปได้
การเปรียบเทียบกับอากาศยานชนิดเดียวกันที่ปฏิบัติงานได้
ทำให้ช่วยในการชันสูตรศพในกรณีเสียชีวิต
และทราบถึงความสัมพันธ์กันของการบาดเจ็บและสาเหตุของการบาดเจ็บ
ซึ่งมีส่วนช่วยในการปรับปรุงการออกแบบอากาศยานสิ่งอุปกรณ์ช่วยชีวิต
หรือสิ่งอุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ
ในอนาคตเพื่อช่วยในการพิทักษ์รักษาในอุบัติเหตุครั้งต่อไป
หลักการออกแบบเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
ในอุบัติเหตุในเฮลิคอปเตอร์
สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์
คือการรอดชีวิตของผู้โดยสารและผู้ทำการในอากาศซึ่งขึ้นอยู่กับการออกแบบที่ดีเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
โดยสรุปพอสังเขปดังนี้
ห้องผู้โดยสารและห้องโครงสร้าง
ควรมีความแข็งแรงเพียงพอที่จะป้องกันสภาพภายในหลังเกิดอุบัติเหตุ
และควรป้องกันการยุบตัวหรือการแทรกเข้ามาของส่วนประกอบของภายนอกและใบพัด
อุปกรณ์รัดตึงควรเป็นชนิดรัด 5 จุด
มีความแข็งแรงทนทานสามารถปลดรัดได้สะดวกและรวดเร็วแต่ต้องไม่หลุดง่ายขณะเกิดอุบัติเหตุ
ส่วนเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องที่มีหน้าที่ปฏิบัติงานภายในห้องโดยสาร
ดังนั้นสิ่งรัดตึงมักเป็นชนิดสายเพื่อป้องกันการตกจากเครื่อง
แต่ไม่สามารถป้องกันการบาดเจ็บได้ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ
ภายในห้องนักบินและผู้โดยสาร จะต้องไม่มีส่วนที่แหลม
หรือปลายยื่นออกมา และควรมีวัสดุลดแรงกระแทกบุอยู่ภายในห้องนักบิน
และโดยสารด้วยอย่างไรก็ดีการป้องกันศีรษะด้วยการสวมหมวกนิรภัยยังมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
วิธีลดแรงและความเร็ว
ที่มากระทำต่อเฮลิคอปเตอร์
ในขณะเกิดอุบัติเหตุมีความสำคัญมากฐานสกีต้องทนทานต่อการยุบตัว
ซึ่งหากมีการยุบตัวข้างใดข้างหนึ่ง โอกาสพลิกคว่ำตะแกงจะสูงขึ้น
โครงสร้างลำตัวต้องแข้งแรงพอที่จะป้องกันตัวที่จะฝั่งในดิน
หรือตะแคลงตีลังกา ต้องมีความยึดหยุ่นสามารถยุบตัวได้อย่างน้อย
๓๐ ช.ม. เมื่อมีแรงกระทำ
อัตราเสี่ยงของการเกิดไฟไหม้หลังอุบัติเหตุ จะต้องน้อยที่สุดต้อง มี
สวิตช์ซึ่งสามารถตัดไฟได้เมื่อเกิดอุบัติเหตุในการงลงกระแทก
และสามารถป้องกันกระแสไฟลัดวงจรท่อน้ำมันต้องยืดหยุ่นได้
ข้อต่อข้อท่อเชื้อเพลิงต้องมีระบบอุดรอยรั่วด้วยตัวเอง
ทางออกฉุกเฉิน
ควรมีให้มากที่สุดคือ มีอย่างน้อย
๑ ทางออก ต่อผู้ทำการในอากาศ
๑ คน
ขนาดต้องพอเหมาะ สามารถแยกภายในและภายนอก
แม้ขณะมีอุบัติเหตุหรือแรงมากมากระทำบริเวณทางออก
ในเฮลิคอปเตอร์ที่ต้องบินผ่านน่านน้ำ
ควรมีระบบป้องกันการจมดิ่งลง
ระบบลอยตัวฉุกเฉินและระบบป้องกันการพลิกหงายท้องเมื่อจมน้ำ
ข้อเสนอแนะ
๑.ต้องให้ความสำคัญต่อรายงาน
การสอบสวนอวกาศยานอุบัติเหตุทางการแพทย์ข้อมูลส่วนนี้ต้องมีความสมบูรณ์ดีที่สุด
อันได้แก่ การตรวจร่างกายหรือสภาพศพ การถ่ายภาพทางรังสี
การเก็บรวบรวมตัวอย่างทางชีวเคมี
รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างสภาพการบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
กับอุปกรณ์ป้องกันตัวและอากาศยาน
ข้อมูลด้านการแพทย์ของผู้เกี่ยวข้องกับการบิน เช่น
เจ้าหน้าที่ประจำเครื่อง
และผู้โดยสารต้องมีสมบูรณ์ในรายงานด้วย
๒.
เพิ่มกำลังพลสายแพทย์ในหน่วยบิน
และมีการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องเวชศาสตร์การบิน
และการปฏิบัติทางการแพทย์ต่อผู้ประสพภัยทางอากาศยานอุบัติเหตุถูกวิธี
รวมทั้งทำหน้าที่บันทึกการบาดเจ็บเบื้องต้นเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับคระสอบสวนที่จะเดินทางมาทีหลัง
๓. ควรมีการแนะนำชี้แจง
ให้นักบินปฏิบัติตามกฎนิรภัยการบินเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
และไม่ละเลยต่อการใช้อุปกรณ์ป้องกันตัว รวมทั้งการดูแลรักษา
และการปฏิบัติต่ออุปกรณ์เหล่านั้นให้รัดกุมอย่างถูกต้อง
|