ชื่อพ้อง Panolia acuticauda Fray, 1843 Rucervus Tthamin Thomas, 1918 อันดับ Artiodactyla วงศ์ Cervidae
ละองหรือละมั่ง จัดอยู่ในสัตว์จำพวกกวา� ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำพวกแรกที่มีเขาบนหัวลักษณะเป็นคู่แบ� "Antlers" หรือเรียกว่า เขากวา� เนื่องจากเป็นเขาที่มีลักษณะเฉพาะของสัตว์จำพวกกวา� ตัวเขาตั� ไม่มีปลอกเขาและแกนอย่างเขาวัวควา� งอกติดกันส่วนของกะโหลกศรีษ� ชิ้นหน� ลำเขามีการแตกกิ่งก้า� จำนวนกิ่งก้านและรูปร่างเขาขึ้นกับชนิดของกวาง มีการผลัดเขา โดยเขาเก่าจะผลัดหลุดไปเมื่อเขาแก่เต็มที่ เขาใหม่จะงอกขึ้นแทนที่เป็นประจำทุกปี เขาจะเจริญใหญ่และมีการแตกกิ่งก้านออกไปตามอายุและ ขนาดของกวา� เขากวา� เป็นลักษณะแสดงของกวางเพศผู�
ตัวเมียไม่มีเข� เขาช่วงที่งอกใหม่เรียกว่� "เขาอ่อ�" ลักษณะเป็นเข�
ที่มีชีวิต มีหนังหุ้มเขานุ่มคล้ายกำมะหยี่ และมีเส้นเลือดเส้นประสาทมาเลี้ยง
เมื่อเขาแก่เต็มที่หนังหุ้มเข� จะแห้ง ลอกหลุดไ� เส้นเลือดเส้นประสาทตายหม�
คงเหลือแต่ลำเขาแข็งที่ตายแล้� และจะผลัดหลุดไปในที่สุ� เขาชุดใหม่จะงอกขึ้นแทนที่เป็นวงจรทุกปีตลอดชีวิ�
ลักษณะของละองหรือละมั่� เป็นกวางค่อนข้างขนาดใหญ่ ตัวเล็กและเพรียวบางกว่ากวางป่า ซึ่งเป็นกวางขนาด ใหญ่ที่สุดของไทย เส้นขนตามตัวละเอียดแน่นอย่างขนเก้ง สีน้ำตาลแกมเหลือ� ช่วงคอยา� ใบหูกางใหญ� โดยเฉลี่ยแล้วตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย มีเส้นขนรอบคอหยาบยาว และสีขนตามตัวเข้มคล้ำกว่� ลูกเกิดใหม่จ� มีแต้มจุดขาว� ตามตัว เมื่อโตขึ้นจะจางหายไ� ลักษณะเขาของละมั่งตัวผู้ มีลักษณะเฉพาะต่างไปจากเขาของกวางไทยชนิดอื่นๆ เขากิ่งหน้าหรือกิ่งรับหม� ยาวยื่นโค้งทอดไปบนหน้าผา� ทำมุมแคบกันสันหน้าผา� ปลายกิ่งเรียวแหล� ดูคล้ายกวางมีเขาที่หน้าผาก จึงได้ชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า "Brow-antlered Deer" ส่วนตัวลำเขาทอดโค้งลาดไปทางด้านหลั� ช่วงปลายเขาวกงอกกลับมาด้านหน้าคล้ายกับตะขอ ส่วนโค้งของกิ่งรับหมากับลำตัวเขารับกันพอดีที่ตรงฐานเขา จนดูเหมือนเป็นลำเขาเดียวกั� ไม่ตั้งทำมุมกันอย่างเขากวางทั่วๆ ไป ช่วงปลายลำเขาจะบิดถ่างแยกจากกั� ปลายเขาที่งอเป็นตะขอจะแตกออกเป็นแขนงเขาแยกกั� คล้ายนิ้วมือหลายแขนง เขาบางคู้มีแขนงเขาปลายกิ่งมา� จะทำให้ปลายเขามีลักษณะแบนใหญ่ออกไป นอกจากนี้บริเวณช่วงต่อของกิ่งรับหมากับลำเข� จะมีแขนงเขายื่นขึ้นมาคล้ายนิ้วมือข้างล� 2-3 กิ่งอีกด้ว� ละมั่งพันธุ์ไท� จำแนกเป็นชนิดย่อ� Cervus eldi siamensis Lydekker, 1915 มีลักษณะปลายลำเข� แบนใหญ� แตกเป็นแขนงเล็กๆ หลายแขนงคล้ายมือ และบริเวณรอยต่อกิ่งรับหมากับลำเขามีแขนงเขาเล็ก� ยื่นขึ้นมา 2-3 กิ่ง ส่วนอีกชนิดพันธุ์หนึ่ง เป็นพันธ์พม่� ที่เรียกว่� "ทมิน" ในภาษาพม่า เป็นชนิดย่อย Cervus eldi thamin Thomas, 1918 มีลักษณะสีขนตามลำตัวเข้มกว่าพันธุ์ไท� ปลายลำเขาค่อนข้า� มีแขนงเข� น้อยกว่า และส่วนใหญ่จะไม่มีแขนงเยายื่นขึ้นมาบริเวณลำตัวเข� ละมั่งทั้ง 2 ชนิดมีพบในประเทศไทยทั้งคู่ ขนาดของละมั่งในประเทศไทย ขนาดตั� 1.5-1.7 เมตร หางยาว 0.22-0.25 เมตร ส่วนสูงที่ช่วงไหล่ 1.2-1.3 เมตร ใบหูยา� 0.15-0.17 เมตร น้ำหนั� 95-150 กก.
เขตการกระจายพันธุ์ขอ� มีพบในแถบตะวันอออกเฉียงเหนือของอินเดีย พม่า ไท� ลา� กัมพูช� เวียตนาม และเกาะไหหลำของประเทศจีน ไม่พบแพร่กระจายลงทางใต� แถบภาคใต้ของไท� ตลอดแนวแหลมมลายู ทั้งนี� ชนิดพันธุ์พม่ามีพบในแถบประเทศพม่าและภาคตะวันตกของไทย ส่วนชนิดพันธุ์ไทยมีกระจายพันธุ์ในแถบ ประเทศอินโดจีน ไหหล� และทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไท� ประเทศไทยจึงถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางการกระจายพันธุ� ของละมั่� แต่เดิมเคยมีชุกชุมตามป่าโปร่งเกือบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ต่อมาในช่ว� 50 ปีที่ผ่านม� ละมั่งถูกล่าจนสูญพันธุ์หมดไปเกือบทุกแหล่� ปัจจุบันคาดว่ายังคงม� เหลืออยู่บริเวณเทือกเขาพนมดงรั� ชายแดนไท�-กัมพูช� ซึ่งเป็นถิ่นชนิดพันธุ์ไท� และบริเวณเทือกเขาตะนาวศร� ชายแดนไท�-พม่า ซึ่งเป็นถิ่นชนิดพันธุ์พม่าหรือทามิ�
โดยทั่วไปชอบอาศัยตามป่าเต็งรัง ป่าโปร่ง หรือทุ่งใกล้� หนองน้� ตอนกลางวันที่อากาศร้อนละมั่ง จะหลบร้อนไ� อยู่ใต้ร่วมไม้ชายป่า ถ้าเป็นตัวผู้ขนาดใหญ่ซึ่งขี้ร้อนกว่า มักจะลงนอนแช่ปลักโคล� ตามหนองน้ำอย่างพวกควาย ปกติไม่ชอบอยู่อาศัยตามป่ารกทึบ โดยเฉพาะตัวผู้ เนื่องจากเขาบนหัวมีกิ่งรับหมายาวปลายแหลมยื่นมาข้างหน้า อีกทั้งปลายลำเขาที่โค้งงอมาด้านหน้� และแตกปลายออกเป็นแขนงกิ่งเล็กๆ ทำให้เวลาเข้าป่ารกทึ� กิ่งและแขน� จะ ไปขัดเกี่ยวกิ่งไม้ และเถาวัลย์ต่างๆ คาดว่าด้วยสาเหตุนี� จึงไม่พบละมั่งตามป่าทางภาคใต้และมาเลเชีย ซึ่งสภาพป่าส่วนใหญ่เป็นป่าดิบทึบ ไม่เหมาะเป็นที่อยู่อาศัยของละมั่� นิสัยการกินอาหารของละมั่งคล้ายพวกวัวควาย
ปกติชอบกินหญ้าและลูกไม้ต่างๆ ตามพื้นทุ่งโล่� หรือป่าโปร่ง ไม่ค่อยชอบกินใบไม้นั�
นอกจากนี� อหล่งที่อยู่อาศัยสำคัญที่ยังมีละมั่งอยู่ในแถบประเทศกัมพูชา และแถบประเทศพม่า ล้วนอยู่ในสถาณ การณ� สู้รบต่อเนื่องมาโดยตลอ� ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อความปลอดภั� และการดำรงชีวิตของละมั่ง ในพื้นที่ดงกล่าว ทำให้สถานการณ์ของละมั่งในป่าล่อแหลมต่อการสูญพันธุ์เป็นอย่างยิ่� ปัจจุบันมีการนำเอาละมั่งมาเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ในสวนสัตว์ ฟาร์มปศุสัตว์ต่างๆ และหน่วยงานเพาะเลี้ย� สัตว์ป่าของกรมป่าไม้ ได้อย่างแพร่หลาย แต่ส่วนใหญ่เป็นละมั่งพันธุ์พม่าหรือทามิน มีละมั่งพันธุ์ไทยน้อยมาก
|